ถ้าได้ศึกษาธรรมของพระพุทธองค์ จะเห็นว่าทุกหมวดทุกข้อ ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุข ไม่มีข้อไหนยุให้เกิดการแตกแยก โดยที่ท่านไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน หลักธรรมที่เป็นจริงที่คงอยู่ได้มาหลายพันปี แบบนี้ควรเชื่อไหมครับ
ส่วนธรรมที่เป็นส่วนของการปฎิบัติ ท่านก็ไม่ได้ให้เชื่อในทันที ให้ปฎิบัติดูก่อน แบบนี้คุณจะไม่ลองปฎิบัติก่อนแล้วค่อยมาถามเหรอครับ
พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า ความเพียรสำหรับเผาบาป ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ตถาคต (พระพุทธเจ้า) เป็นผู้บอกทางให้เท่านั้น
ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา
อยู่ในขุททกนิกาย พระไตรปิฎกเล่ม 25 ก็น่าสนใจ อยู่ในมรรควรรค
บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 เป็นทางที่ประเสริฐที่สุด บรรดาสัจจะทั้งหลาย อริยสัจ 4 เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด บท 4 ก็หมายถึงอริยสัจ 4 สจฺจานํ จตุโร ปทา บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือความปราศจากราคะ ทั้งในกามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ ประเสริฐที่สุด บรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด ทางนี้ (หมายถึงมรรคมีองค์ 8) เป็นทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งทรรศนะคือความรู้ความเห็น ไม่ใช่ทางอื่น ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติไปตามทางนี้เถิด จะทำให้มารหลง คือมารหาไม่เจอ ท่านทั้งหลายปฏิบัติไปตามนี้แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ทางที่เป็นไปเพื่อความรู้ เพื่อสลัดลูกศรคือความโศกนี้ เราได้บอกไว้แล้ว
ผมเคยเชื่อตัวเองมาตลอด 30 ปี
ดื่มสุรา เล่นการพนัน เจ้าชู้ ชีวิตก็ดูมีความสุขดี
อีกอย่างเป็นคนมองโลกในแง่ดีด้วยยิ่งมีความสุขใหญ่
ดื่มสุรา ก็ไม่เดือดร้อนใคร เล่นการพนัน ก็มีได้มีเสียธรรมดา เจ้าชู้ ก็รักเมียคนเดียว
วันหนึ่งมีโอกาสได้ลองอ่านหนังสือธรรมมะวิทยาศาสตร์ของทันตแพทย์สม
พออ่านจบอยากลองเชื่อพระพุทธเจ้าดูครับ
เลิกหมด รักษาศีล ศึกษาเรื่องสมาธิ ให้ทาน
เชื่อไหมครับ ผมรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริงอย่างหน้าอัศจรรย์ เข้าใจโลกมากขึ้น
รู้เลยครับว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ความสุข
มันเป็นแค่ความเพลิน
ปัจจุบันยังเชื่อพระพุทธเจ้าอยู่ครับ
มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ชีวิตดีขึ้นเยอะครับ
ขอเชิญชวนทุกคนมาลองพิสูจน์ในธรรมมะของพระพุทธองค์ครับ
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้บอกให้ทุกคนต้องเชื่อท่าน แต่ท่านให้หลักกาลามสูตรไว้ ๑๐ ประการ ตลอดจนการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ถ้าอยู่ในโลกให้มีความสุข ท่านได้วางหลักโลกธรรม ๘ ไว้ให้ แล้วทำอย่างไรการเดินทางจึงจะไม่ประมาท ท่านก็ให้หลักการเดินทางสายกลาง อริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะคะ หรือใครมีอะไรเพิ่มเติมก็ช่วยสนับสนุนข้อมูลเพิ่มเติมมาได้นะคะ
อนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้และผู้ให้ความเห็นทุกท่านครับ
เมื่อก่อนผมก็คล้ายๆคุณช่าง พอ คือไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ทำตัวเหมืิอนตายไม่เป็นผิดศีลทั้งหมด จนวันหนึ่ง บุญเก่ามาตักเตือน ทำให้มีโอกาสฟังธรรม ของพระพุทธเจ้า ได้เกิดสติปัญญาเล็กน้อยขึ้นว่า นี่แหละคือสาระของชีวิตที่เหลือ ความเชื่อที่มีต่อพระพุทธเจ้ามีมากขึ้นเป็นลำดับ
เพราะได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่า การเชื่อพระพุทธเจ้า มีแต่ประโยชน์สุขแก่ตนเองสถานเดียว เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต (หรือโลกนี้และโลกหน้า)แน่นอน ผมไม่สงสัยในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เลยและบัดนี้ผมเลิกทำชั่วทั้งหลายด้วยการปฏิบัติศีล5 ตลอดชีวิต อานุภาพของพระรัตนตรัยและศีลนี้ ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะคาดคิดจริงๆหากไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าคงไม่มีโอกาสรู้เลยด้วยตนเองเลย..
ผมขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย จงพากัน ฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้ากันเถิดครับ แม้ท่านอาจจะยังไม่เชื่อ แต่เมื่อท่านได้ประจักษ์ผลด้วยตนเองเองแล้วท่านจะไม่รอให้ใครมาชวนเชื่อหรอกครับ
เพราะท่านเชื่อพระพุทธเจ้าโดยไม่ลังเลเลย ยิ่งกว่านั้นท่านนั่นแหละจะกระตือรือร้นป่าวประกาศถึงคุณอันน่าอัศจรรย์ที่
บังเกิดขึ้นจากการที่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าให้กับบุคคลอื่น ที่ท่านมีความหวังเกื้อกูลอย่างสูงสุดครับ
สิ่งนี้พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง และเป็นความจริงเสมอครับ เพราะผู้ที่มีคุณเท่าพระพุทธเจ้าไม่มีใน
จักรวาล คุณโดยย่อของพระพุทธเจ้า(พุทธคุณ ๙)คือ
๑. อรหํ
เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ
๔. สุคโต
เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา
๕. โลกวิทู
เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยท่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังมาอยู่ในกระแสโลกได้
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
๘. พุทฺโธ
เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย
อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใดๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย
๙. ภควา
ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม
พุทธคุณ ๙ นี้ เรียกอีกอย่างว่า นวารหาทิคุณ
(คุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ มีอรหํ เป็นต้น)
บางทีเลือนมาเป็น นวรหคุณ หรือ นวารหคุณ แปลว่า
คุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ๙ ประการ
ที่มา http://www.dhammalife.com/dhamma/cat/
อันนี้คัดมาจากคำสอนของหลวงตามหาบัว ครับ
เตือน! ลูกหลาน เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด
"...ตั้งแต่ปีหลวงปู่มั่นมรณภาพมาจนกระทั่งป่านนี้ เราได้ครองธรรมะประเภทนี้มา แต่ไม่เคยแสดงอะไรออกมา มีความจริงยังไงก็ว่าไปตามหลักความจริง แต่นี้มันจะตายทิ้งเปล่าๆ ตายทิ้งเปล่าๆ เกิดประโยชน์อะไร
เราเกิดมาก็เพื่อทำประโยชน์ให้ตนเองและโลก แล้วเวลาจะตายก็จะทำประโยชน์ให้โลกบ้างอย่างนี้ มันเป็นความเสียหายแล้วเหรอ ถ้าเป็นความเสียหายก็ผู้ที่ต้องการความเสียหายก็สร้างเอาๆ เท่านั้นเอง นั่นละจึงขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ เราทำประโยชน์เราทำเป็นที่แน่ใจ เพราะฉะนั้นขอให้ยึดหลักนี้ไว้เป็นหลักใจหลักความประพฤติหน้าที่การงาน
อย่าลืมศีลลืมทาน อย่าลืมการกุศลตายแล้วจะไปเป็นเปรตเป็นผีนรกอเวจีเพราะความเชื่อกิเลสตัณหาใช้ไม่ได้นะ ต้องเชื่ออรรถเชื่อธรรม เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้เสาะแสวงหาการทำบุญให้ทาน
นรก สวรรค์ พรหมโลก มีสดๆ ร้อนๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วทุกๆ พระองค์เป็นแบบเดียวกันหมดไม่มีเคลื่อนคลาดไปไหนเลย บาปมีตามเดิม บุญมีตามเดิม นรกมีตามเดิม สวรรค์มีตามเดิม ใครทำบุญทำบาปก็ไปตามสถานที่ที่ตนทำไว้ทั้งดีทั้งชั่วนั้นแล
เพราะฉะนั้นจึงให้เลือกเฟ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ เวลาตายแล้วจึงนิมนต์พระมากุสลา ธัมมา กุสลา ธัมมา ยายนี้ตายแล้วไปไหนนา อย่ามานิมนต์หลวงตาบัวนะ เราเอาค้อนปาอย่าว่าไม่บอกนะ..."
คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 765
และจุรณะเครื่องหอมมีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้นเรียงราย ดุจเมล็ดฝนที่
ปราศจากมหาเมฆทั้ง ๔ ทิศ. เสียงกึกก้องแห่งดนตรีมีองค์ ๕ และเสียง
กึกก้องสดุดีที่เกี่ยวด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ได้เป็นเสมือน
มีปากพูดเต็มไปทั่วทุกทิศ. ดวงตาของเทพ สุบรรณ นาค ยักษ์ คนธรรพ์
และมนุษย์ ได้เป็นเสมือนได้ดื่มน้ำอมฤต. ก็ในที่นี้ ควรจะกล่าวสรรเสริญ
การเสด็จไป โดยเป็นพัน ๆ บท. แต่ในที่นี้ มีเพียงมุขปาฐะดังต่อไปนี้
พระผู้นำโลกไปให้วิเศษ ผู้สมบูรณ์ด้วยสรรพางค์
กายอย่างนี้ ผู้ทำแผ่นดินให้หวั่นไหว ผู้ไม่เบียดเบียน
เหล่าสัตว์ เสด็จดำเนินไปอยู่. พระผู้องอาจใน
หมู่ชน ทรงยกพระบาทขวาขึ้นก่อน ผู้เพียบพร้อม
พื้นพระบาทเบื้องล่างของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้
พื้นพระบาทเบื้องล่างของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้
เสด็จดำเนินไป อ่อนนุ่มลูกพื้นดินอันสม่ำเสมอ นี้
แปดเปื้อนด้วยธุลี. เมื่อพระโลกนายเสด็จดำเนินไป
สถานที่ลุ่ม ย่อมนูนขึ้น สถานที่นูนขึ้นก็สม่ำเสมอ
ทั้งที่แผ่นดินไม่มีจิตใจ. เมื่อพระผู้นำโลกเสด็จ
ดำเนินไป มรรคาทั้งหมดปราศจากหิน ก้อนกรวด
กระเบื้องถ้วย หลักตอและหนาม. ไม่ยกพระบาท
ในที่ไกลเกินไป ไม่ซอยพระบาทในที่ใกล้เกินไป ไม่
หนีบพระชาณุและข้อพระบาททั้ง ๒ เบียดเสียดกัน
เสด็จดำเนินไป. พระมุนีผู้มีการดำเนินเพียบพร้อม
มีพระทัยตั้งมั่น เมื่อเสด็จไปก็ไม่เสด็จเร็วเกินไป ทั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 766
ไม่เสด็จช้าเกินไป. พระองค์เสด็จไปไม่ได้ทอด
พระเนตรดูเบื้องบนเบื้องล่าง เบื้องขวาง ทศน้อย
ทิศใหญ่ก็เหมือนกัน ทรงทอดพระเนตรเพียงชั่วแอก.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสด็จเยื้องกรายดุจพญาช้าง
ย่อมงดงามในการเสด็จดำเนินไป พระองค์เป็นผู้เลิศ
ของโลก เสด็จดำเนินไปงดงาม ทำโลกพร้อมทั้ง
เทวโลกให้ร่าเริง. พระองค์งดงามดุจพญาอุสภะ
ดุจไกรสรราชสีห์ มีการเดินอย่างงดงาม ทรงยัง
เหล่าสัตว์เป็นอันมากให้ยินดี เสด็จเข้าถึงบ้านอัน
ประเสริฐ.
นี้ชื่อว่าเป็นเวลาสรรเสริญ กำลังของพระธรรมกถึกเท่านั้น เป็น
ประมาณในการสรรเสริญพระโฉม และสรรเสริญพระคุณของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ในกาลทั้งหลายเช่นอย่างนี้. ด้วยจุรณียบทที่ผูกเป็นคาถา
ควรจะกล่าวเท่าที่สามารถ ไม่ควรจะกล่าวว่า กล่าวได้ยาก หรือว่าแล่น
ไปผิดท่า. จริงอยู่ ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ย่อมไม่สามารถกล่าวคุณ
ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีพระคุณหาปริมาณมิได้โดยสิ้นเชิง เพราะ
เมื่อสรรเสริญพระคุณอยู่ตลอดกัป ก็ไม่สามารถจะให้พระคุณสิ้นสุดลงได้
จะป่วยกล่าวไปไยถึงหมู่สัตว์นอกนี้เล่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตบแต่งประดับด้วยพระสิริวิลาสนี้ เสด็จ
เข้าไปยังปาฏลิคาม อันชนผู้มีจิตเลื่อมใสบูชาด้วยสักการะ มีดอกไม้ ของ
หอม ธูป และจุณสำหรับอบเป็นต้น เสด็จเข้าไปยังอาวสถาคาร. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองผ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 767
ถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปยังอาวสถาคารดังนี้.
บทว่า ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ความว่า แม้ถ้าเปือกตมคือธุลี ไม่
เปื้อนพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหวังความเจริญยิ่งแห่งกุศล ของอุบาสกและอุบาสิกาเหล่านั้น จึงทรง
ให้ล้างพระบาท เพื่อให้ชนเหล่าอื่นถือเอาเป็นตัวอย่าง. อีกอย่างหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่า พระสรีระอันมีใจครอง ก็ต้องทำให้เย็น เพราะฉะนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงกระทำการสรงสนาน และทรงล้างพระบาทเป็นต้น
แม้เพื่อประโยชน์นี้ทีเดียว.
บทว่า ภควนฺตญ ปุรกฺขตฺวา ได้แก่ กระทำพระผู้มีพระภาค-
เจ้าไว้เบื้องหน้า. ในข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งในท่าม-
กลางของภิกษุทั้งหลาย และของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ทรงให้สรง
สนานด้วยน้ำหอมแล้ว ทำให้น้ำแห้งไปด้วยเสวียนผ้าแล้ว ทำให้เเห้งด้วย
ชาดหิงดุ ย่อมไพโรจน์ยิ่งนัก เหมือนรูปเปรียบที่ทำด้วยแท่งทองสีแดง
ซึ่งประดิษฐานไว้บนตั่ง อันแวดวงด้วยผ้ากัมพลแดง.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 61
นัยว่า เวลานี้เป็นเวลาแห่งพรรณนา. เรี่ยวแรงเท่านี้ เป็นข้อสำคัญ
สำหรับพระธรรมกถึกในการพรรณนาพระสรีระหรือพรรณนาพระคุณของพระ-
พุทธเจ้าในกาลทั้งหลายอย่างนี้. ยังสามารถพรรณนาด้วยคำร้อยแก้ว หรือคำร้อย
กรองได้เท่าใด ก็ควรกล่าวเท่านั้น ไม่ควรพูดว่า กล่าวยาก. แท้จริงพระพุทธ-
เจ้าทั้งหลาย มีพระคุณหาประมาณมิได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าด้วยกันเอง ก็ยังไม่
สามารถพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยไม่ให้หลงเหลือได้ จะป่วย
กล่าวไปไยถึงหมู่สัตว์นอกจากนี้เล่า.
http://www.samyaek.com/pratripidok/index.php?topic=577.msg665#msg665
สาธุๆๆๆๆ
ความเห็นของคนความรู้น้อย
คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ให้ใครเชื่อ แต่ท่านจะบอกเป็นทางให้พิสูจน์ทำตามและจะเห็นผลเอง เช่น ท่านให้มี ศีล สมาธิ ปัญญา คือให้รักษาศีลอย่าทำผิดศีล5,8,10,227 และฝึกสมาธิ จะเกิดปัญญาขึ้นเอง จะรู้สิ่งต่างๆเองมีที่มาที่ไป รู้ธรรมชาติรอบตัวเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นดับไปเอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองปฏิบัติดูแล้วจะรู้เอง
รู้เฉพาะตน
ปฏิปุจฉา กับคำถามที่ว่า "ทำไมต้องเชื่อพระพุทธเจ้า" นะครับ...
*************************************************
ทำไมต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ? ... เพราะพ่อแม่มีความปราถนาดีต่อลูกทุกคนเสมอ
อยากให้ลูกปลอดภัย อยากให้ลูกมีความรู้ อยากให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อยากให้ลูกมีความสุข ฯลฯ
ทำไมต้องเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ? ... เพราะท่านมีความปรารถนาดีต่อลูกศิษย์ทุกคน อยากให้ศิษย์มีเชาว์ปัญญาฉลาดหลักแหลมในวิชาความรู้ที่ท่านถ่ายทอดให้
ตอนเด็กๆ เรารู้ไหม ว่าไฟมันร้อน และอันตราย ? เรารู้ไหมว่าเหรียญบาทมันกินไม่ได้ ? .... แล้วใครล่ะที่คอยห้ามปราม ?
เด็กคนไหนดื้อ ไม่เชื่อฟังก็โดนไฟลวกไป โดนเหรียญบาทติดคอไป
ตอนเด็กๆ เรารู้ไหม ว่าต้องบวกลบเลขในวงเล็บก่อน ได้ผลลัพธ์แล้วจึงนำมาแก้สมการที่อยู่นอกวงเล็บ คิดว่าคงไม่มีใครรู้ได้ด้วยตัวเองหรอกนะ
จนกระทั่งครูบาอาจารย์มาคอยบอก คอยสอนนั่นแหละจึงจะรู้ได้....เด็กคนไหนดื้อ ไม่เชื่อฟัง .... คำตอบเลขข้อนั้นก็ผิด
********************************************
จากกรณีตัวอย่างทั้ง ๒ นี้ ... จะเห็นได้ว่า...เรื่องบางอย่าง ปัญญาของเราก็เข้าไม่ถึง
เช่น เรื่องนรก-สวรรค์ เปรต-อสุรกาย เป็นต้น ... ทั้งสองเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเชื่อ ถามว่า..ทำไมถึงเชื่อ ?
เพราะข้าพเจ้ามี ตถาคตโพธิสัทธา....เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ...... พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งโลกทั้ง ๓ จึงนำมาตรัสบอกไว้ ...
ไอ้ครั้นจะเอากาลามสูตรไปจับ ... ก็จับไม่ติด ...เพราะว่าปัญญาของผมเข้าไม่ถึง (ไม่เคยเห็นด้วยตนเองสักครั้ง) แต่ผมเชื่อ...ในความตรัสรู้ดีโดยชอบของพระพุทธเจ้า
เหมือนที่พระเจ้าพิมพิสารเชื่อตามนัยที่พระองค์ทรงแนะให้ถวายภัตตาหาร และผ้าไตรจีวรแก่ภิกษุสงฆ์เพื่ออุทิศบุญให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง.
*******************************************
สรุปว่า...ทำไมต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ..... เพราะพระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่กว่าบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ ทรงประสงค์ความสุขทั้งที่เป็นโลกียะ และโลกุตตระ
แก่เวไนยสัตว์ทุกหมู่เหล่านั่นเอง อีกอย่างหนึ่ง...เรื่องบางอย่างเราสามารถใช้สติปัญญาที่มี ขบคิดพิจารณาเองได้ กาลามสูตรก็จับติด เราก็เชื่อตามที่สติปัญญาของเราขบคิดพิจารณาได้
แต่ทว่า..เรื่องบางอย่าง กาลามสูตรก็จับไม่ติด เพราะปัญญาเราเข้าไม่ถึง ฉะนั้นจึงควรเชื่อไว้ก่อน ................. พึงมีตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)
เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำ ....... เพราะไม่เช่นนั้น เราก็จะไม่ต่างอะไรกับเจ้าเด็ก ๒ คนที่กล่าวไว้ข้างต้นหรอกครับ
*********************************************
คำตอบนี้เป็นความเห็นส่วนตัว + กับความรู้ทางธรรมอันมีอยู่นิดหน่อยน่ะครับ
อย่าเพิ่งเชื่อ และอย่าเพิ่งปฏิเสธโดยส่วนเดียว
พึงใช้สติปัญญาพิจารณาดูให้ดีก่อนนะครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อุปมาได้อย่างยอดเยี่อมครับคุณ อรุณ DT06943 อนุโมทนาครับ
********************************************************
พระพุทธเจ้าทรงสามารถรู้จิตใจของเรามากกว่าตัวเราเสียอีก
พิจารณาได้จาก ปฏิจสมุบาท (เวทนา ตัณหา อุปทาน เป็นต้น)
********************************************************
ถ้าเราได้พิจารณาพุทธพจ พุทธวจนะ ต่างๆให้ดีนั้น
จะเห็นได้ว่าปุถุชนคนธรรมดาเมื่อ 2500 กว่าปีที่ผ่านมาไม่สามารถคิดได้
แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงมีพระอัจฉริยะภาพในทุกด้าน
เหมาะสมที่ทุกคนในโลกจะเชื่อ จะบูชา จะยึดเป็นที่พึ่ง
ทำไมต้องเชื่อ ผมว่าไม่ต้องเชื่อก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพระองค์ สำหรับผม ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจากปู่ย่าตาทวด คุณพ่อคุณแม่ จนมาถึงผม ผมภูมิใจที่ได้เป็นชาวพุทธ ครอบครัวเรามีลูกชาย 3 คน ทุกคนเต็มใจและดีใจที่ได้บวชครับ ยิ่งบวชก็ยิ่งศรัทธาพระพุทธองค์มากขึ้น ครอบครัวเรามีธรรมะเป็นหลักในการดำรงชีวิต ดังนั้น จึงไม่มีทุกข์ใดจะทำลายเราได้ ทุกข์มีเกิดขึ้นเหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไปครับ แต่เรามีหลักธรรมของพระพุทธองค์มาเป็นหลักในการบรรเทาทุกข์ ทำให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเสมอ การปฏิบัติธรรมและมีศีล (อย่างน้อยศีล 5) ทำให้ผมเชื่อว่า ที่ผมมีความสุขทุกวันนี้ เป็นเพราะได้บุญกุศลจากที่ได้ประพฤติปฏิบัติแบบนี้ บอกก่อนว่าผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูง สมัยก่อนตอนเด็ก ๆ ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่พอโตขึ้น เริ่มรู้จักทุกข์ รู้จักปัญหา ประกอบกับในบทเรียนมีวิชาเกี่ยวกับธรรมะอยู่ด้วย จึงได้เรียนอย่างจริงจัง ทำให้ชอบและศรัทธามากขึ้น ยิ่งเมื่อได้ทดลองปฏิบัติธรรม ก็ยิ่งรู้ได้ด้วยตนเองว่า อะไรคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าอยากจะให้เราเข้าใจ และทำอย่างไร พระองค์ได้มีวิธีที่จะทำให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ เพียงแต่เราต้องปฏิบัติเท่านั้นเอง จึงจะรู้ได้ พระธรรมของพระองค์ เราต้องปฏิบัติจึงจะรู้จริง ถ้าอ่านก็จะรู้แต่เพียงการถ่ายทอดของคนอื่น แต่ถ้าปฏิบัติเองจะรู้ด้วยตัวเราเอง อยากบอกว่า ตั้งแต่บวชจนสึกออกมาทำงานต่อ (ผมยังคงปฏิบัติธรรมเสมอ เพราะไม่อยากลืมความรู้สึกที่เคยได้รับจากการปฏิบัติเมื่อตอนเป็นพระ ความรู้สึกที่เหมือนลอย ๆ เบา ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าแบบนั้นเขาเรียกว่าภาวะอะไร ผมบวชพรรษาเดียว) ผมแก้ไขปัญหาทั้งของตัวเอง ครอบครัว และคนอื่น ๆ ได้แทบทุกเรื่อง และที่สำคัญผมไม่เคยติดขัดเรื่องเงินเลย มีเจ้านายให้ความช่วยเหลือตลอด บางเรื่องผมยังไม่ได้เอ่ยปากเลย ท่านก็ทราบและเสนอความช่วยเหลือให้ก่อน ซึ่งสมัยก่อนตอนที่ผมทำงานแรก ๆ ไม่เป็นแบบนี้เลย อ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่อยากให้ลองปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าดูก่อน เริ่มจากไหว้พระสวดมนต์ก่อนก็ได้ ...สำหรับผม มีแค่นี้ครับ...ธรรมสวัสดีครับ
พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนให้เชื่อใครโดยไม่ใช้ปัญญา
เพราะศรัทธา ที่ปราศจากปัญญา ย่อมนำภัยมาให้โดยง่าย
แต่ท่านสอนให้ใช้ปัญญา ตัดสิน ว่าควรเชื่อหรือไม่
การมีศรัทธานำก่อน ย่อมมีใจประสงค์ที่จะรับฟังคำสอน
เมื่อรับฟัง ทำความเข้าใจในคำสอนได้แล้ว ก็ลองนำไปปฏิบัติดู
เมื่อได้ลองปฏิบัติแล้ว ก็จะรู้ได้เองตามกำลังความสามารถ
ณ วันนี้ผมเชื่อโดยดุษฎีว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีอยู่จริง และเชื่อโดยดุษฎีว่า
ไม่มีมหาบุรุษใดจะประเสริฐได้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
เพราะได้ลองปฏิบัติตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พงศธร เหล่าสกุล
กาลามสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ
1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดว่า "ให้เชื่อท่าน" นะ
ไม่เคยเลย
ถ้าเราพิจารณา ธรรมคุณ 6 (คุณสมบัติของความเป็นธรรมะ มี 6 ประการ)
ร่วมกับ กาลามสูตร
จะพบว่า พระพูดเจ้าพูดยิ่งกว่าชัดว่า ธรรมทั้หลายของพระองค์นั้น ไม่่ได้มีไว้ให้เชื่อ
แต่มีไว้ให้พิสูจน์ แล้วจะพบความจริงนั้นๆด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง)
จึงเกิดความรู้ในสัจจะข้อนั้นขึ้น เรียกว่าเกิดปฏิเวธขึ้น
เหมือนคนหนึ่งดูพี่เบิร์ดจากสื่อ ไม่เคยเจอตัวจริง กับอีกคนเจอตัวจริง
คนที่เจอตัวจริงคือเป้นความรู้แบบเจอกับตังเองจริง ประสบการณ์ตรง (ปัจจัตตัง)
เป็นความรู้ที่เกิดจากการปฏิเวธ คือนำความรู้ไปปฏิบัติทดลองจนเกิดความรู้
ธรรมทั้งปวงของพระพุทธเจ้า เหมือนเป็นแผนที่
ท่านจะบอกไว้หมดว่าตรงไหนทางเอก ตรงไหนทางโท ตรงไหนอย่าไป ตรงไหนเป้นหลุม ตรงไหนหลุดเขตแดนไปแล้ว
การศึกษาพระพุทธศาสนา จึงต้องศึกษาแผนที่ให้ดี แล้วลงมืออกเดินทาง
คือลงมือปฏิบัติตาม ก็จะได้รับประโยชน์ อันตรายไม่กร้ำกราย
เป้นแผนที่สู่ความไม่มี ความหลุดพ้น
ศาสนา เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน
มีผู้มีความรู้ในโลกบางคนบอกว่าทุกศาสนาก็ดีทั้งนั้น
ทุกศาสนาก็มีลักษณะแตกต่างกันไป ผู้คนที่เชื่อมั่นในศาสนาของตน
ก็ล้วนแต่ดำเนินชีวิตไปตามความเชื่อ ที่ตัวเองเลือกไว้
บางศาสนาสอนว่า พระเจ้าหรือเทพเจ้าบันดาลทุกสิ่งให้เป็นไป แต่...
ศาสนาพุทธสอนว่า เราจะได้รับผลที่เรากระทำ เราเป็นผู้เลือกทุกอย่างด้วยตัวเราเอง
อย่าเชื่อแม้ผู้นั้นเป็นครูของเรา แต่จงเชื่อเมื่อพิสูจน์แล้ว ว่าดี แล้วจึงค่อยศรัทธา
นี่คือ เหตุ และ ผล ที่ "ทำไมต้องเชื่อพระพุทธเจ้า" เพราะท่านสอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเราเอง
ว่าเราก็สามารถทำในสิ่งที่ดี เลือกเป็นในทุกสิ่งได้ และไม่ต้องรอให้ใครมาบันดาล
เพราะเราจะได้พ้นจากความทุกขุ์