คือแถวๆที่บ้านมีคนปล่อยเงินกู้กันส่วนมากจะเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 บาทต่อเดือนซึ่งถือว่าแพงมากๆ แต่เขาไม่มีที่พึงไม่มีเงนทุนเขาก็จำใจต้องกู้.......ต่อมามีคนที่เคยกู้เงินที่มีดอกเบี้ยแพงๆเหล่านั้นมาขอร้องให้ช่วยเหลือเขา โดยเขาขอให้ช่วยเหลือเขาโดยการปล่อยเงินกู้ให้เขา และเขาก็เต็มใจให้ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนซึ่งจะถูกกว่าที่เคยกู้มา มาคิดดูว่าในเมื่อเขามาขอร้องให้ช่วยเหลือจึงตัดสินใจให้เขากู้ไป โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนดังกล่าว จึงอยากถามว่าจะเป็นบาปไหม
บาป ในการปล่อยเงินกู้ คือ โลภ ทำให้คิดดอกเบี้ยแพงเกินไป จากคนที่เดือดร้อน
ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน นั้นถูกกว่าดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 แต่จะเหมาะสมหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ร้อยละ 5 คือ หน้าเลือดน้อยกว่าร้อยละ 10-20
แต่ร้อยละ 5 = ร้อยละ 60 ต่อปี (ถ้าดอกเบี้ยจ่ายตอนปลายปี) แต่ถ้าต้องจ่ายทุกเดือน ผมก็คำนวณไม่เป็น น่าจะเท่ากับหรือมากกว่าร้อยละ 100 ต่อปี เพราะเท่ากับคุณให้เงินเขายืมแค่ 40 เท่านั้น แต่ดันได้ดอกเบี้ยคืนไป 60
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า โหดเกินไป บีบคอคนขอยืมให้เป็นหนี้ที่ไม่มีทางหลุดหนี้ สุดท้ายคนกู้ก็หนีไม่พ้นความเดือดร้อน เพียงแต่โยนความเดือดร้อนไปในอนาคตเท่านั้น ตัวคุณก็ต้องเดือดร้อนเหมือนกัน เพราะได้เงินมาจากความไม่สบายใจของคนอื่น ผลย้อนกลับต้องมีแน่
ผมภาวนาให้คุณถูกชักดาบ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่า อย่าใช้วิธีการแบบนี้กับคนที่เดือดร้อน เขาหนีเสือ ดันมาเจอจรเข้เช่นคุณ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน แม้ว่าจะตายช้ากว่าที่เขายืมร้อยละ 10-20 ต่อเดือน
ถ้าคุณเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน 2 ปีคุณก็ได้เงิน 120 บาทแล้ว ผมคิดว่าอัตรานี้น่าจะเหมาะสม ถ้าพอเขาจ่ายครบ 120 บาทก็ยกหนี้เงินต้นให้เขาไป ไปใช่ไปเก้บปีที่ 3 4 5 ฯลฯ อีก ไอ้คนยืมคุณตายสถานเดียว
อ้อ! ลืมไป คุณถามบาปไหม?
ผมตอบว่า.... โคตรบาปเลย
ถ้าคุณทำลงไป สักวันหนึ่งในชาตินี้หรือชาตต่อๆไป เมื่อคุณเดือดร้อน คุณจะได้รับผลกรรมแบบเดียวกันนี้คืน คุณควรทำแบบผมว่าคือ บอกลูกหนี้ว่า พอเขาจ่ายเงินครบ 2 ปี คุณได้เงิน 120 บาทแล้ว คุณยอมยกเงินต้นนั้นให้เจ้าหนี้
สิ่งที่เป็นบาปก็จะกลายเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง
เราไม่ได้มีอาชีพปล่อยเงินกู้ แต่ในเมื่อเขามาขอร้องให้ช่วยเหลือและเขาเสนอให้ดอกร้อยละ 5 เอง โดยเราไม่ได้เรียกร้องอะไรเพราะถือว่าเป็นการช่วยเหลือเขา ที่ตั้งกระทู้มานั้นเพียงต้องการถามว่าเป็นบาปไหมเท่านั้นเอง
แต่....กรณีนี้เมื่อมีคนมาภาวนาให้ถูกชักดาบอย่างนี้เป็นการแช่งถูกหรือไม่และเป็นบาปไหม ขอขอบคุณ
คุณyo ครับ
1. เมื่อ 5 ปีก่อน มีคนมายืมเงินแม่ผม แม่ผมก็เหมือนคุณ ใจดีให้ยืม ดอกเบี้ยถูกกว่าถ้าไปยืมคนอื่นเท่าตัว แต่ก็ถือว่าแพงหน้าเลือด แสดงว่าไม่ได้มีเจตนาช่วยเขาจริง แต่โลภ เจตนาเอาผลประโยชน์จากคนที่เดือดร้อนเรื่องเงิน พอเขาจ่ายเงินมาให้ 3 หรือ 4 ครั้ง เขาก็จ่ายต่อไม่ไหว
แม่ผมก็ไม่สบายใจ เพราะถูกเบี้ยวเงิน คนกู้เงินก็ไม่สบายใจ ต้องเดินหลบหน้าตลอด ตั้งแต่นั้นแม่ผมก็ไม่อยากให้ใครยืมเงินอีก ถ้าให้เขายืม ก็ไม่เคยคิดดอกเบี้ย จะมาคืนเมื่อไรก็ได้ ไม่คืนก็ได้
2.
เมื่อมีคนมาภาวนาให้ถูกชักดาบอย่างนี้เป็นการแช่งถูกหรือไม่และเป็นบาปไหม
บาปหรือไม่บาป ขึ้นอยู่กับจิตเจตนาที่ผมพูดออกไป ถ้าเจตนาผมคือแช่งคุณ จิตก็เป็นอกุศล = บาป แต่ถ้าจิตเจตนาผมคือ เตือนสติให้
คุณเห็นคุณเห็นโทษของการเบียดเบียนเอาเปรียบผู้อื่นเมื่อเขากำลังลำบาก จิตผมเป็นกุศล = บุญ
ผมตั้งกระทู้ถามเรื่องการปล่อยเงินกู้จะเป็นบาปหรือไม่นั้น ผมตั้งขึ้นมาเพื่อประกอบการพิจารณาว่าสมควรทำหรือไม่ทำดีต่างหาก (ขณะที่ตั้งกระทู้ยังไม่ได้ทำ) และที่ตั้งกระทู้ที่นี่ก็หวังพึ่งพาผู้รู้ทางธรรมได้เมตตาช่วยชี้แนะหรือชี้ทางสว่างให้ว่าสมควรหรือไม หากไม่สมควรผมก็ไม่ทำกลัวเป็นบาปถามเพื่อประกอบพิจารณาเท่านั้นเอง หากการตั้งกระทู้ของกระผมในครั้งนี้สร้างความไม่สบายใจให้กับท่านผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เมื่อเป็นอย่างนี้กระผมขอสัญญาว่าต่อไปผมจะไม่ขอตั้งกระทู้ถามอีกแล้วครับ .. ขอบคุณครับ
ปล่อยเงินกู้ให้เขา และเขาก็เต็มใจให้ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนซึ่งจะถูกกว่าที่เคยกู้มา
มาคิดดูว่าในเมื่อเขามาขอร้องให้ช่วยเหลือจึงตัดสินใจให้เขากู้ไป
โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนดังกล่าว จึงอยากถามว่าจะเป็นบาปไหม
โดย : yo [DT08491] 14 ก.ค. 2552 21:58 น.
อีกมุมมองหนึ่งนะคะ
บาป คือ อะไร
บาป คือ ความชั่ว คือ อกุศล
การปล่อยเงินกู้ ไม่ใช่ ความชั่ว ไม่ใช่ อกุศล ค่ะ
คำว่า "เมื่อเขามาขอร้อง จึงตัดสินใจให้เขา ..... " จะกู้ จะยืม จะ ใช้คำอย่างไรก็ตาม
ถ้าขณะนั้นคุณมีจิตคิดอยากช่วยเหลือ เป็นจิตเมตตาค่ะ
ถ้าขณะนั้นมีจิตคิดอยากได้ดอกเบี้ย เป็นจิตที่มี ความโลภ ค่ะ เป็นความเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น เจ้าค่ะ
อาชีพการให้เงินกู้ ไม่ใช่การทำความชั่ว ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ
แต่เป็นอาชีพที่มีการตกลงระหว่างบุคคล 2 คน ที่ยินยอมกัน ณ ขณะนั้น
ส่วนหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุ ปัจจัยอื่นๆ ค่ะ
กราบขอบพระคุณ "หิ่งห้อยน้อย" เป็นอย่างสูงครับที่มตตาให้ความกระจ่างแก่กระผมครับ
คุณได้สร้างเหตุไว้ยังงัย ผลก็จะเป็นเช่นนั้น
ไม่จบไม่สิ้น เพิ่ม ภพ ภูมิ ชาติ ชรา มรณะไปอีก
เรามาหยุดและตั้งใจไปให้ถึงฝั่งกันเถิด
"หิ่งห้อยน้อย" เขียน:
บาป คือ ความชั่ว คือ อกุศล
การปล่อยเงินกู้ ไม่ใช่ ความชั่ว ไม่ใช่ อกุศล ค่ะ
คำว่า "เมื่อเขามาขอร้อง จึงตัดสินใจให้เขา ..... " จะกู้ จะยืม จะ ใช้คำอย่างไรก็ตาม
ถ้าขณะนั้นคุณมีจิตคิดอยากช่วยเหลือ เป็นจิตเมตตาค่ะ
ถ้าขณะนั้นมีจิตคิดอยากได้ดอกเบี้ย เป็นจิตที่มี ความโลภ ค่ะ เป็นความเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น เจ้าค่ะ
อาชีพการให้เงินกู้ ไม่ใช่การทำความชั่ว ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ
แต่เป็นอาชีพที่มีการตกลงระหว่างบุคคล 2 คน ที่ยินยอมกัน ณ ขณะนั้น
......มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ คนหนึ่งเดือดร้อนทางการเงิน เขาย่อมยอมเสียดอกเบี้ยแม้แต่ร้อยละ 100 ต่อเดือนก็ได้ เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตขณะนั้นไปก่อน ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองทุกประเทศจึงมีข้อกำหนดทางกฎหมายไม่ให้เอาเปรียบคนอื่น จึงพูดไม่ได้ว่า การตกลงระหว่างบุคคล 2 คน ที่ยินยอมกัน ณ ขณะนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
คนหนึ่งจะตายอยู่แล้ว คุณจะบีบคอเขา คิดดอกเบี้ยเท่าไรก็ได้ แต่บาปบุญอยู่ที่ใจคุณว่า จะเอาเปรียบเขาหรือไม่ ศาสนาอิสลามเขาห้ามคิดดอกเบี้ยเลย
คุณได้สร้างเหตุไว้ยังงัย
ผลก็จะเป็นเช่นนั้น ไม่จบไม่สิ้น
เพิ่ม ภพ ภูมิ ชาติ ชรา มรณะไปอีก
เรามาหยุดและตั้งใจไปให้ถึงฝั่งกันเถิด
ถูกใจครับ
ฝั่งนั้นเรายังไม่ไป เธอไปก่อนเถอะ ถ้าเธอมีปัญญาไป
เราน่ะมีปัญญาไป แต่เราไม่ต้องการไป คนไม่มีปัญญาไป กลับต้องการไป
......มันไม่ใช่อย่างนั้น ครับ คนหนึ่งเดือดร้อนทางการเงิน เขาย่อมยอมเสียดอกเบี้ยแม้แต่ร้อยละ 100 ต่อเดือนก็ได้ เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตขณะนั้นไปก่อน ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองทุกประเทศจึงมีข้อกำหนดทางกฎหมายไม่ให้เอาเปรียบคนอื่น จึงพูดไม่ได้ว่า การตกลงระหว่างบุคคล 2 คน ที่ยินยอมกัน ณ ขณะนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
คนหนึ่งจะตายอยู่แล้ว คุณจะบีบคอเขา คิดดอกเบี้ยเท่าไรก็ได้ แต่บาปบุญอยู่ที่ใจคุณว่า จะเอาเปรียบเขาหรือไม่ ศาสนาอิสลามเขาห้ามคิดดอกเบี้ยเลย
godama DT09511 [16 ก.ค. 2552 13:30 น.] คำตอบที่ 9
ดิฉันเคารพในคำตอบของคุณ godama DT09511 ค่ะ
เขาย่อมยอมเสียดอกเบี้ยแม้แต่ร้อยละ 100 ต่อเดือนก็ได้ เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตขณะนั้นไปก่อน
๑. จิตผู้ร้องขอยินยอม ใช่ไหมคะ
๒. ผู้ร้องขอเป็นผู้เสนอ ใช่ไหมคะ
๓. คุณ yo DT08491 คิดไว้ก่อนที่จะเอาเปรียบผู้ร้องขอหรือไม่ คิดไว้ก่อนที่จะฉกฉวย หรือขูดรีดจากผู้ร้องขอก่อนหรือไม่
ขณะนี้ เราผู้อ่านทั้งหลาย เป็นผู้พิจารณาตามคำบอกเล่าที่ คุณ yo DT08491 ตั้งกระทู้มาปรึกษา และให้ข้อมูล
เราจึงควรพิจารณาเพียงขอบเขตที่คุณ yo DT08491 ให้มา
ไม่ควรคิดไปแทนผู้กู้ หรือเหตุการณ์์ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปตามที่เราคิดค่ะ
ด้วยเหตุนี้บ้านเมืองทุกประเทศจึงมีข้อกำหนดทางกฎหมายไม่ให้เอาเปรียบคนอื่น จึงพูดไม่ได้ว่า
การตกลงระหว่างบุคคล 2 คน ที่ยินยอมกัน ณ ขณะนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ตรงนี้ดิฉันต้องขออภัย ไม่ทราบในกฎหมายที่คุณกล่าว
แต่ถ้าพิจารณา จากสถานการณ์ที่คุณ yo DT08491 เล่ามา ก็ยังขอยืนยันความคิดเห็นเดิมเจ้าค่ะ ว่า
"เป็นข้อตกลง และการตกลง ระหว่างคน 2 คน ที่ยินยอมกัน ณ ขณะนั้น ค่ะ"
ถ้า คุณ yo DT08491 ณ ขณะนั้น จะไม่รับเงื่อนไข และไม่ให้ความช่วยเหลือ
๑. ผู้ที่ร้องขอจะมีจิตเป็นอย่างไร
๒. เขาจะต้องไปแสวงหา และยื่นเงื่อนไข เช่นเดิม หรืออาจจะเสนอดอกเบี้ยที่มากกว่าเสนอให้คุณ yo DT08491 กับคนอื่นๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเขาหรือไม่
๓. และถ้าไม่ได้คนช่วยเหลือ เขาจะเป็นอย่างไร และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสร้างความเดือดร้อนที่อาจจะรุนแรง ให้กับตนเองและผู้อื่นต่อไปหรือไม่
๔. และถ้าเป็นคุณ godama DT09511 อยู่ในสถานะที่เป็นคุณ yo DT08491 ณ ขณะนั้น คุณจะทำอย่างไรคะ
ดิฉันตอบคุณ yo DT08491 ไปว่า สิ่งที่ทำไปนั้น ไม่เป็นบาป แต่เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่จะตามมาค่ะ
นั่นหมายถึง
๑. คุณ yo DT08491 อาจจะรับแค่เงินต้น ที่เค้านำมาคืน โดยไม่รับดอกเบี้ย.. หรือ
๒. คุณ yo DT08491 อาจจะรับทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยตามที่ตกลงกัน .. หรือ
๓. คุณ yo DT08491 อาจจะรับทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่ตกลงกัน
เหล่านี้มิใช่ประเด็นที่จะต้องมาพิจารณากัน ณ ขณะนี้ เจ้าค่ะ
คุณได้สร้างเหตุไว้ยังงัย ผลก็จะเป็นเช่นนั้น
ไม่จบไม่สิ้น เพิ่ม ภพ ภูมิ ชาติ ชรา มรณะไปอีก
เรามาหยุดและตั้งใจไปให้ถึงฝั่งกันเถิด
benzzae01 DT09620 [16 ก.ค. 2552 00:35 น.] คำตอบที่ 8
สาธุ เจ้าค่ะ
ฝั่งนั้นเรายังไม่ไป เธอไปก่อนเถอะ ถ้าเธอมีปัญญาไป
เราน่ะมีปัญญาไป แต่เราไม่ต้องการไป คนไม่มีปัญญาไป กลับต้องการไป
godama DT09511 [16 ก.ค. 2552 18:43 น.] คำตอบที่ 11
มีความเห็นต่างกันอีกแล้วเจ้าค่ะ
ประโยคที่คุณ benzzae01 DT09620 กล่าว เป็นวาจาของ บัณฑิต ที่มีปัญญา
เป็นคำกล่าวของกัลยาณมิตร เจ้าค่ะ ที่เชิญชวนให้ผู้ที่เป็นบัณฑิตทั้งหลาย มุ่งสู่ฝั่งพระนิพพาน
และชี้ให้เห็นภัยของ ชาติ ชรา มรณะ ค่ะ
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
คุณได้สร้างเหตุไว้ยังงัย ผลก็จะเป็นเช่นนั้น
ไม่จบไม่สิ้น เพิ่ม ภพ ภูมิ ชาติ ชรา มรณะไปอีก
เรามาหยุดและตั้งใจไปให้ถึงฝั่งกันเถิด
benzzae01 DT09620 [16 ก.ค. 2552 00:35 น.] คำตอบที่ 8
คงจะงง กันที่ผมพูดไว้ ถ้าคุณสร้างเหตุและปัจจัยที่ไม่ดี
คุณก็ย่อมพบกับสิ่งที่ไม่ดีไช่ไหม
แต่ถ้าคุณสร้างเหตุไว้ดี คุณก็อาจไปในสิ่งที่ดีหรือภพภูมิที่ดีเช่นอาจเป็นเทวดา
แต่ยังงัยก็ต้องตายพอคุณตายคุณก็ต้องมาใช้กรรมชั่วทั้งหมดไม่ไช่ทางหลุดพ้น ที่เดียว
ที่ไม่ตาย คือ "นิพพาน อมตะ" ย่อมไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ใด จะว่าหยุดอยู่แต่ก็ไม่หยุดอยู่
จะว่ามีแต่ก็ไม่มี จะว่าไม่มีแต่ก็มี
๑. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอ ๆ
๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ ( ด้วยความจริงใจ )
๓. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
๔. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพาน ได้ในที่สุด"
ผมเคยทำครับอาชีพนี้ ผมเคยรับจำนำมือถือ มอเตอร์ไซด์ คิดดอกร้อบละ10ต่อเดือน ผมเคยคิดเหมือนกันว่าเป็นงานที่สุจริต ไม่เดือดร้อนผู้อื่น ไม่เดือดร้อนตนอง แต่ต่อมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ มายกรถที่เขาจำนำไว้ที่บ้าน ต้องให้เจ้าของไปเอารถกลับ ส่วนมากเขาจะไม่เอาเงินมาคืนผม บางคนที่เขามากู้ยืม เขาก็ไม่คืน เริ่มเดือดร้อนตัวเองแล้ว ครับ ตั้งแต่นั้นมาผมตัดสินใจไม่ให้ใครกู้ยืมอีกเลย แต่ถ้าเดือดร้อนจำเป็นจริงๆ ผมจะให้ยืมโดยไม่คิดดอก ตามกำลังที่ผมให้ได้ครับ ตอนนี่สมุดรถที่เขาเอามาไว้ก็มี หลักฐานที่เขาเอามาไว้ก็ยังมี แต่ผมไม่เคยคิดโกรธเขา ที่ไม่คืนเงินผม
สาธุค่ะ คุณแสงเทียน
คุณ yo [DT08491] คงได้รับทราบอีกมุมหนึ่ง โดยผู้มีอาชีพนี้โดยตรง
และเป็นอีกมุมที่สะท้อนให้เห็น สิ่งที่ผู้ให้กู้ได้รับค่ะ
สวัสดีค่ะทุกๆท่าน จากที่ได้อ่านมาทั้งหมดนะคะ คือดิฉันมีประสบการณ์จริงจากตัวของดิฉันเองเลยค่ะ คือว่าพ่อแม่สามีของดิฉันได้ทำอาชีพปล่อยเงินกู้นี่แหละค่ะ คิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนค่ะ ซึ่งแกก็คิดว่าเป็นการช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จะไปพึ่งใครเราก็ช่วยเหลือเขาด้วย นั่นเป็นความคิดของพ่อแม่สามีดิฉันนะคะ ขอบอกก่อนนะคะว่าดิฉันไปอยู่บ้านสามีค่ะ ก็ได้เห็นวิธีการปล่อยเงินกู้ของแกค่ะ ปล่อยไปหลายรายเหมือนกัน บางรายก็จ่ายดอกตรง บางรายก็ไม่ตรงบ้าง ก็ด้วยเหตุบางรายที่จ่ายไม่ตรงนี่ล่ะค่ะ ทำให้เกิดปัญหาแกก็โทรไปทวงเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี ขู่ ด่า คิดดูแล้วกันนะคะว่าคนที่ยังไม่มีเงินจ่ายเขาจะทุกข์ใจแค่ไหน จากการที่เป็นลูกสะใภ้ไปอยู่บ้านเขาไม่เคยมีความสุขเลยค่ะ เดี๋ยวก็มีเรื่องทะเลาะกันกับแม่สามี ต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านตัวเอง พอหายโกรธสามีก็อยากกลับบ้านก็ต้องตามสามีไปอีก ปรับตัวหากันใหม่อีก เป็นระยะเวลา 5 ปี ที่อยู่กินด้วยกันมีลูก 1 คน อายุ 10 เดือน ก็ต้องเลิกลากัน ทางสามีเขาจะเอาลูกไว้ ดิฉันไม่ให้เขาก็เตะดิฉันผู้ชายตัวใหญ่ๆ เท่าฝรั่ง กับดิฉันตัวยังไม่ถึงไหล่เขาเลย พ่อของสามีก็บอกว่ามึงรีบเก็บของออกไปจากบ้านกูคืนนี้เลย กูไม่เอามึงอีกต่อไปแล้ว ดิฉันเจ็บใจมากคิดถึงลูกด้วยมาพรากลูกออกไปจากอกแม่ เขาคิดว่าเขารวยเขามีเงินเลี้ยงหลาน ตั้งแต่ที่อยู่บ้านหลังนั้นมาดิฉันใช้ความอดทนต่ออารมณ์มาตลอด มีเงิน มีรถ รวย แต่ไม่มีความสุข มีแต่เรื่องทุก
ผมกู้เงิน 25000 บาท แต่ผมต้องตั้งหน้าตั้งตาใช้เค้าไม่ต่ำกว่า 50000 บาทครับ หนำซ้ำ ส่งช้า3 วันจะเอาให้ได้อีก 500 บาท ครับ อย่างนี้บาปไม๊ครับ
นรกมะครับ
ขอตั้งจิตอธิฐาน ขอให้ท่านที่อ่านกระทู้ทั้งหลายเป็นพยาน หากครั้งหนึ่งครั้งใดในอดีตชาติลูกเคยเอาเงินของเค้ามาลูกขอชำระหนี้ให้หมดในชาตินี้....แต่หากลูกไม่เคยเอาเงินของเค้ามาลูกก็
อโหสิให้ กรรมใดใครสร้าง ก็รับกันไปนะเจ้าคะ
ตอนนี้ ทำงานบริษัทฯไฟแนนซ์แห่งหนึ่งอยู่นะครับก็ปล่อยเงินกู้ตามกฏหมายกำหนดทุกครั้งที่ไปยึดรถลูกค้าก็คิดว่าทำตามหน้าที่ แต่ลึกๆก็รู้สึกสงสารเขามากแต่นี้คืออาชีพอยากรู้ว่าเราไม่เจตนาเลยที่จะยากได้ของเขามาแต่มันหน้าที่นะครับ มันจะบาปไหมครับ อโหสิด้วย