เป็นคนที่เรียนไม่เก่งค่ะ อาศัยว่าขยันเอา แต่มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าเข้ากับใครไม่ได้ เลยปล่อยการเรียน หันมาเที่ยวบ้าง จนตอนนี้อยากกลับมาอ่านหนังสือใหม่ แต่มันขี้เกียจเหลือเกินค่ะ เพราะไม่ได้อ่านมานานมาก จะเริ่มใหม่ก้อรู้สึกว่ายาก ทำอย่างไรดีค่ะ เพราะใกล้สอบเพื่อที่จะจบแล้วน่ะค่ะ
เราอ่านหนังสือไปเพื่ออะไร
เพื่อเพิ่มพูนความรู้ สติปัญญา ความเข้าใจ
เป็นวิชาชีพติดตัว ใช่ไหมครับ
ผมก้อเคยมีนิสัยขี้เกียจอ่านหนังสือเหมือนกัน
แต่ตอนนี้แทบจะไม่มีแล้ว
คิดว่า ถ้าเป็นเรื่องที่คุณสนใจแล้ว คุณจะอ่าน
ด้วยความรู้สึกน่าค้นหา น่าติดตาม ครับ
คุณจะไม่รู้สึกเบื่อกับ การอ่านหนังสือเลย
ทุกอย่างควรจะมีเป้าหมายครับ
การอ่านหนังสือก็เช่นกัน ควรตั้งเป้าไว้เลยครับ
ว่าวันนี้จะให้จบบทอะไร ก็ว่าไป
ที่สำคัญ คือ ความตั้งใจจริง แน่วแน่ สมาธิ ครับ
ตัดความรู้สึก อยากเที่ยวทิ้งไป
คิดถึงอนาคต เมื่อเราเรียนจบ
คิดถึงคนรอบ ๆ ตัวเรา ว่าหน้าที่ของเราตอนนี้
ทำเพื่อใคร เพื่อพ่อแม่ใช่ไหม
ให้พ่อแม่เป็นแรงใจ ผลักดันให้เราก้าวต่อไปครับ
สู้ๆๆนะคะ ใกล้จะจบแล้ว อีกนิดเดียวเอง อย่าเพิ่งท้อนะคะ
เราก็อ่านหนังสือเกือบทุกวันเลย ก็ทำใจให้รักในหน้าที่ของเรานะคะ แล้วเราก็จะมีความสุขในงานที่ทำค่ะ
อ่านมากก็รู้มากค่ะ ทำให้เราเก่ง และมีความสามารถในการทำงาน ช่วยเหลือคนได้มากเลยนะคะ
เป็นกำลังให้นะคะ ^^
เราฝึกของเสียๆไว้มานาน ทำไว้มาก....จิตจึงถูกครอบงำด้วยความฟุ้งซ่านและท้อถอย ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิก
ท่ีี่เป็นอะไรที่อยู่ประจำจิตใจของคนเราเสียเหลือเกิน ..ดังนั้นจึงต้องฝึกแก้ของเสีย ก่อนอื่นก็ต้องยอมรับว่าเราทำไม่ดีมาจึงมีผลเช่นนี้ ทีนี้พอยอมรับก็จะไม่ทำให้ขัดเคือง แล้วก็ให้หมั่นรู้ตัวขึ้นมาบ้าง
การรู้ตัวจะเกิดได้อย่างไรเล่า ?
ก็เกิดได้เพราะฟังไว้มากแล้ว ใส่ใจในเรื่องความรู้ตัวนั้นนั่นแหละ ดังนั้นพอกุศลเกิดเพราะมีสติประกอบ เราก็จะรู้ตัวว่า อ้อ...หลงทางไปนาน ไม่รู้จักกลับบ้านเลย คือ ใจนั้นชอบออกไปเที่ยวไม่กลับบ้านคือไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เลยไม่ค่อยใส่ใจอยู่กับงานที่กำลังทำ
หากเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ใจก็ยิ่งกระเจิดกระเจิงมาก ไม่ค่อยอยากกลับบ้านมากขึ้นเท่านั้น กลายเป็นคนหลงอารมณ์จนกู่ไม่กลับ แล้วจะเป็นทุกข์เจ็บปวดเพราะการหลงอารมณ์นั่นแหละ
เป็นนักเรียน ก็จะเดือดร้อนเหมือนกัน เพราะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าหัว ได้แต่ฟุ้งไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ เวลาสอบ ก็เลยไม่มีวัตถุดิบในหัวเลย เพราะเป็นตระกร้ารั่วหมด ใส่อะไรๆ ก็หาที่รองรับไม่ได้ เพราะความฟุ้งซ่านเอาไปกินหมด
ข้อพึงปฏิบัติ ก็คือ
๑.ตัดปัจจัยแห่งความฟุ้งซ่าน ปัจจัยเสียที่พึงกำจัด ได้แก่ การเอาเวลาไปคุยฟุ้งเรื่องไร้สาระ เช่นเรื่องดารา เรื่องคนอื่นๆ เรื่องภาพยนต์ เรื่องละคร.ฯลฯ..บางคน ใช้เวลาหมดไปกับการคุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ คุยเรื่องคนอื่นๆ อะไรวุ่นวายไปหมด การคุยด้วยอินเตอร์เนต อย่างนี้กินเวลามาก เสียหายมากเลย....และที่เห็นบ่อยๆ คือ อ่านหนังสือไป ฟังเพลงไป หูก็เสียบหูฟังไว้ฟังเพลง ตาก็ดูหนังสือ มือก็หยิบขนมกรุบกรอบที่เตรียมไว้เต็มโตะไปหมด เดี๋ยวก็หิวน้ำ เดี๋ยวก็ลุกเข้าห้องน้ำ วุ่นวายเสียจริงๆ หาความสะดวกต่อการอ่านหนังสือไม่ได้เลย เผลอๆ อ่านหนังสือใกล้ๆ หรือนั่งอยู่หน้าทีวีก็มี อย่างนี้เสียหายไปหมด
ดังนั้นพึงพิจารณาและหาทางแก้ไข ด้วยการรู้โทษแห่งปัจจัยเหล่านี้ อันเป็นตัวทำลายสมาธิอย่างมาก จะต้องจัดการให้สะดวกต่อการอ่านทบทวนให้ถูกต้อง
๒. พึงคบค้ากับเพื่อนที่รักเรียน เพราะเป็นมิตรที่ให้ประโยชน์ นัดคุยปัญหาเรื่องบทเรียน หรือสอบถามซึ่งกันและกัน เพื่อย้ำความเข้าใจ
ใส่ใจเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์ เว้นสิ่งที่เป็นโทษหรือไม่มีสาระออกไปเสีย จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง "อย่างรวดเร็ว"
เรื่องนี้ ต้องเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างนี้แน่นอน
การผ่อนคลาย เช่นดูทีวี หรือฟังเพลง ก็ไม่ได้ให้หยุดไปเลย เพราะจะรู้สึกแห้งแล้งเกินไป ก็ควรจัดเวลาพอสมควรนิดๆหน่อยๆ พอเป็นประมาณ
เช่น ฟังเพลงตอนเข้าห้องน้ำ ตอนที่แต่งตัว อย่างนี้ ไม่เสียเวลา .....หรือดูหนังสือมานาน อยากผ่อนคลาย ก็สามารถชมทีวีหรือฟังเพลงสลับบ้างได้ แต่อย่าให้มากนัก ยิ่งมาก ยิ่งฟุ้ง
๓.กำหนดตัวเองให้อ่านหนังสือใน ๑ หน้า แล้วหยุดทบทวนว่า เท่าที่อ่าน ๑ หน้านั้น ความฟุ้งซ่านพาออกจากตัวไปเที่ยวไหนต่อไหนอีกหรือเปล่า? หากพบว่ายังไปอยู่ ก็ให้สังเกตว่า ไปนานหรือไปเดี๋ยวเดียวแล้วกลับมาที่หนังสือ
หากพบว่าไปเดี๋ยวเดียว เพราะรู้ตัวเร็วขึ้น ก็แสดงว่า สัญญาณแห่งชัยชนะ พอจะเห็นเค้าลางแล้ว ก็เริ่มต่อหน้าใหม่ ทำไปอย่างนี้
หากพบว่า อ่านเพียงหนึ่งหน้า ก็หลงอารมณ์เพลินไปนานเลย กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปนานแล้ว อย่างนี้ ให้กำหนดเป็นการอ่านเพียงย่อหน้าเดียว แล้วหยุดทบทวนว่า อ่านได้ทุกคำทุกความหรือไม่? มีหลงทางไปอื่นหรือเปล่า? กำหนดให้แคบเข้ามาแคบเข้ามา หากใจกระเจิงบ่อยๆ... ไม่นาน ใจก็เริ่มจะอยู่เนื้อกับตัว เริ่มใส่ใจในหนังสือที่ปรากฏอยู่ต่อหน้ามากขึ้น
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า จิตใจเปลี่ยนไปได้ แต่ก็อาจจะเป็นอย่างนี้ว่า หน้าแรกๆ ก็ใส่ใจได้ดี หน้าต่อมาๆก็เริ่มฟุ้งบ่อย ก็ไม่เป็นไร..เขาเป็นของเขาอย่างนั้น เพราะเราทำไว้มากนั่นเอง..
ก็เมื่อรู้ว่าฟุ้งบ่อย ก็กำหนดย่อหน้าให้อ่านสั้นลงๆ แล้วหยุดทบทวนทุกๆครั้ง..
เชื่อเถิดว่า จะดีขึ้นมาก เพราะการรู้ตัวคือสติ และสมาธิที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยให้ใจจดจ่อในงานได้ดีขึ้น อย่าหงุดหงิดกับเขา หากเขายังเป็นไปกับฟุ้งซ่าน หากเรายิ่งหงุดหงิด ก็ยิ่งเข้าทางเขาใหญ่ ตัวฟุ้งซ่านก็จะพาใจกระเจิงไปลิบเลยคราวนี้แถมยังกลัดกลุ้มรำคาญ คราวนี้กั้นหมดเลยอ่านเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง
ลองทำดูหน่อย ตั้งใจทำ ได้ไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ต้องกังวล ฝึกดู...ไม่เสียเลยมีแต่ได้กับได้อย่างเดียว.... ข้อสำคัญคือความตั้งใจ
ทำบ่อยๆ จะเห็นได้ว่า สมาธิดีขึ้นทั้งเวลาฟังและเวลาอ่าน ข้อสำคัญ ต้องตัดปัจจัยต่างๆที่จะให้ความฟุ้งซ่านกำเริบด้วย
"อยากหายจากโรค ก็ต้องอดของแสลง " หากไม่ยอมอดของแสลง ทำเท่าไหร่ๆก็จะไม่สำเร็จหรอก
ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย
หากรักที่เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ก็ต้องทำเหตุโดยรอบที่จะเป็นคนเก่ง เพราะผลทุกอย่างย่อมต้องเกิดมาจากเหตุเท่านั้น หาได้เกิดเพราะเราอยากให้เกิด หรือผลจะไม่เกิดเพราะเราไม่อยากให้เกิด อย่างนี้ก็หาไม่
ทุกคนอยากเรียนเก่งทั้งนั้น แต่มี"น้อยคน" ที่ทำเหตุเพื่อที่จะเป็นคนเก่ง ส่วนมากไปทำเหตุที่เสียหายต่อการเรียนทั้งนั้น แต่เวลาหวังผลกลับอยากได้ในผลที่ตนเองไม่ได้ทำ เป็นอย่างนี้เสมอๆ
ดังนั้น คนเรียนเก่งจึงมีน้อย คนเรียนไม่เก่งจึงมีมาก
หากตั้งใจจริงๆ ประกอบพร้อมด้วยอุบายที่แยบคาย ความสำเร็จย่อมอยู่ในมือของน้องแล้ว นี้เป็นสิ่งที่ท้าทายของคนฉลาดเป็นที่สุด เพราะพิสูจน์ได้จริง และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยแท้
พึงทราบว่า คนในโลกนี้ที่จะประสบความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่ต้องมีประจำนิสัยทุกคนเลย คือ เป็นคนมีวินัย และตั้งใจเพื่อเป้าหมายจริงๆ ไม่เกียจคร้าน
ขอให้สำเร็จนะครับ
คนที่เรียนหนังสือเก่ง หรือทำงานได้เก่งและได้ดีนั้น จะต้องมี ความตั้งใจที่จะอ่านหรือทำงานนั้นๆ ด้วยจิตที่มีสมาธิ ตั้งมั่น ประกอบด้วยการใคร่ครวญหนังสือ หรืองานที่ทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ความมีวินัยก็เป็นสิ่งสำคัญ บริหารเวลาได้ถูกต้อง เวลาไหนควรเรียนทำงาน เวลาไหนควรพักผ่อน จะต้องรู้ไม่ใช่เอาเวลาเรียนหรือทำงานไปพักผ่อน อย่างนี้ผิดวัตถุประสงค์ อย่าตั้งความหวังไว้มาก แต่พึงรู้ว่าให้เราทำหน้าที่ในแต่ละวันให้ดีที่สุด แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาเกรดเฉลี่ยดีด้วย
เป็นกำลังใจให้คะ
หนูคะ วิธีที่คุณ ddman แนะนำเป็นวิธีที่ดีมากเลยค่ะ และอยากเพิ่มเติมอีกนิดนั้นคือการ จด บันทึก ย่อความรู้ความเข้าใจในวิชานั้น ๆ ลงสมุดบันทึกไปพร้อม ๆ กันด้วย นอกจากเป็นอุบายให้หนู มีใจจดจ่ออยู่กับวิชาที่กำลังอ่านและเขียน อยู่แล้ว หนูก็จะสามารถใช้โน๊ตย่อนี้เป็นประโยชน์ ในการทบทวน ภายหลัง ก่อนสอบได้อีกครั้งด้วย ฉะนั้น ตอนจดบันทึก หนูก็จะต้องใช้สมาธิในการจดจ่ออยู่กับ เนื้อหา สาระ ของวิชาที่กำลังจดและต้อง "จำ" "ทำความเข้าใจ " ไปด้วยพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ " มือเขียน" "ปากอ่าน " " ตาดู" แต่ "ใจลอย " คิดฟุ้งซ่าน ไม่อยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น และยังต้องให้ " เวลา "ให้มากที่สุด กับการ อ่านหนังสือเรียน ด้วย ถ้าระยะแรก ๆ รู้สึกหงุดหงิด หรือเบื่อ หนูต้องใช้ความอดทน อดทน อดทน อ่าน.. อ่าน... อ่าน... เขียน.. เขียน... จด... จด.. สัก ระยะหนึ่ง เชื่อได้ว่า หนูจะสามารถ ทำได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ แต่ขอให้ทำจริงเท่านั้น เอาใจช่วยค่ะ
ทุกๆๆคำที่พี่สอน น้องขอขอบพระคุณมากๆๆค่ะและจะพยายามตั้งใจทำให้ได้ แต่วันนี้น้องมีเรื่องไม่สบายใจค่ะ คือว่า ช่วงนี้น้องมาฝึกงาน แล้ววันนี้โดนพี่ที่แหล่งฝึกว่า ว่าไม่ต้องช่วยพี่พนักงานทำงาน ให้ทำแต่งานตัวเองก็พอ คือว่าน้องทำเสร็จแล้ว แล้วอยากช่วยทำงานด้านอื่นบ้าง เป็นการเสริมทักษะอื่นๆๆ น้องรู้ทันอารมณ์โกรธนะค่ะ แต่ยังมีความรู้สึกอยากทำให้พี่เค้าเจ็บอย่างที่เราเจ็บบ้าง พยายามคิดว่าแต่ละคนก็มีมุมมองที่ต่างกัน เราก็รู้ว่าเราเป็นทุกข์อยู่มันเดียวนะค่ะ แต่มันยังไม่ดีขึ้นเลยค่ะ
แต่วันนี้น้องมีเรื่องไม่สบายใจค่ะ
เห็นใจครับ เป็นธรรมดาของการต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น.. ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกระทบ
กระท่ังเบียดเบียนกัน..แต่ส่ิงท่ีน้องควรทราบคือ การท่ีเราได้ยินได้ฟังส่ิงท่ีไม่ดีนั้น "มีเหตุอยู่" เหตุนี้คืออกุศลกรรมทางวาจาท่ีเราเคยทำมาแล้วแน่ๆในอดีต เม่ือถึงเวลา อกุศลวิบากคือผลนั้นก็มาเกิดแก่เรา
คือทำให้เราได้ยินคำพูดท่ีไม่น่าพอใจ
เมื่อเราทราบว่าโอหนอ นี่เป็นเพราะเราทำกรรมชั่วมาก่อนนั่นเองเราจึงถูกว่าให้เจ็บใจเช่นนี้
หากเราคิดด่าตอบ นั่นคือการทำกรรมชั่วใหม่มีผลให้ต้องไปถูกด่าอีกไม่ทราบว่ากี่ชาติ
เวลานี้คำด่านั้นก็จบไปแล้ว วิบากชั่วก็ย่อมลดหรือหมดไปส่วนหนึ่ง..การทำชั่วใหม่โดยเหตุแห่งวิบากชั่ว
เก่านี้ จึงไม่ควรแก่เรา...อันท่ีจริง เราควรสงสารเห็นใจคนท่ีด่าเราจึงควร เพราะเขาได้สร้างบาป
กรรมชั่วไว้แก่ตนในภายหน้าแล้ว ช่างน่าสงสารเห็นใจจริงๆ ..
เมื่อมนัสสิการดังนี้ช่ือว่าจิตมีกุศลขึ้นเพราะปรารภในความเช่ือเร่ืองกรรมและผลของกรรมนั่นเอง..