ดิฉัน อยากทราบว่า การโกหก เป็นกรรมหนักแค่ไหน .........
ตอบ อยู่ที่ว่าโกหกใครน่ะครับ....หากโกหกคนที่มีคุณมาก เช่น บิดา มารดา ก็ถือเป็นกรรมหนัก แต่หากโกหกคนที่มีคุณน้อยก็เป็นกรรมเบา แต่หากโกหกคนไม่มีคุณ เช่น หลอกโจรให้ไปโดนจับ...อย่างนี้ไม่เป็นบาป หรือถ้าเป็น ก็น้อยมาก
แล้วมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้กรรมนี้เบาบางลง ....ไม่มีหรอกครับ
กรรมใดที่ทำแล้ว ก็เป็นอันทำแล้ว...แก้ไขไม่ได้...แต่ระวังกรรมใหม่ไม่ให้เกิดขึ้นได้นี่ครับ เพราะฉะนั้นแต่นี้ต่อไปก็ก้มหน้าก้มตาชดใช้กรรมเก่าไปในขณะเดียวกันก็อย่าได้สร้างกรรมใหม่อีกเลยครับ....(พึงศีกษา ปธานธรรม ๔)
สาธุค่ะ
คุณอรุณ DT06943 [23 ส.ค. 2551 22:12 น.] คำตอบที่ 1
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงคว่ำภาชนะน้ำนั้น แล้วตรัสกะท่านพระราหุลว่า
ดูกรราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำที่คว่ำนี้หรือ?
เห็น พระเจ้าข้า.
ดูกรราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่
ก็เป็นของที่เขาคว่ำเสียแล้วเหมือนกันฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหงายภาชนะน้ำนั้นขึ้น แล้วตรัสกะท่านพระราหุลว่า
ดูกรราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำอันว่างเปล่านี้หรือ?
เห็น พระเจ้าข้า.
ดูกรราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่
ก็เป็นของว่างเปล่าเหมือนกันฉะนั้น
คุณเจนคะ [61.7.174.76] 23 ส.ค. 2551 13:18 น.
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ดังนี้ค่ะ
[๕๒๗] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง
ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้
บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง
เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้
มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
สาธุคุณอรุณ
กราบแม่หิ่งห้อยครับ
วิบากของมุสาวาทอย่างเบาที่สุด ก็เป็นไปพร้อมเพื่อ
ความกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ
วิบากแห่งวาจาส่อเสียดอย่างเบาที่สุด ก็เป็นไปพร้อมเพื่อความแตกจากมิตร
เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ
วิบากแห่งวาจาหยาบอย่างเบาที่สุด
ก็เป็นไปพร้อมเพื่อเสียงอันไม่เป็นที่ชอบใจ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ
วิบากแห่งการพูดเพ้อเจ้ออย่างเบาที่สุด ก็เป็นไปพร้อมเพื่อความ
เป็นผู้มีวาจาอันไม่น่าเชื่อถือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ
เสพ(วาจาข้างต้น)แล้ว อบรม(วาจาข้างต้น)แล้ว ทำ(วาจาข้างต้น)ให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อนรกเป็นที่ไป
พร้อมเพื่อกำเนิดดิรัจฉาน
เป็นไปพร้อมเพื่อวิสัยแห่งเปรต
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ อภิธรรมปิฎกที่ ๔ กถาวัตถุปกรณ์
***********************************************
ไม่ว่มุสาใครอย่างไร
การมุสาเป็นเหตุให้เกิดวิบากข้างคต้น
เพราะจิตใจขุ่นมัว
ไปจับอยู่กับวาจาที่ขุ่นมัว
ใช้ความเท็จปั้นแต่งขึ้นมา
หากเลี่ยงไม่ได้ก็ พยายามมุสาให้น้อยที่สุด
มุสาในเรื่องที่ไม่ก่อความเดือดร้อนเช่นการใส่ร้าย
ทำให้น้อยลงๆเรื่อยๆ
แล้วมันจะติดเป็นนิสัย
แต่ทางที่ดีที่สุดคือไม่ทำเรื่องให้ต้องมุสาภายหลังตั้งแต่ต้น
*********************
ขอรับ
พุทธวจนะที่ว่า..... "ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี"อันนี้คือกรรมหนัก
ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายนอก เห็นง่าย
คือคนเขาจะไม่เชื่อถือ
พูดอะไรไปแม้จริง ก็มีกระแสบางอย่างทำให้เขารู้สึกมัวๆ ขัดๆ
เพราะคนโกหกประจำจะดูกะล่อนๆ สัมผัสรู้สึกได้
ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายใน เห็นยาก แต่รู้ได้ถ้าเลิกเข้าข้างตัวเอง
คือใจจะปรุงแต่ง ฟุ้งไปในอุปาทานนานาชนิดอยู่ตลอด
หลอกคนอื่นบ่อยๆ ในที่สุดก็หลอกกระทั่งตัวเอง
ยิ่งหม่นมืดยิ่งมองไม่เห็นว่าหลอก
นึกว่าดี นึกว่าไม่เป็นไร
แต่ถ้ากลับใจเมื่อไหร่แล้วมองย้อนไป
จะขนลุกครับ
ทำสิ่งใด ได้สิ่งนั้นครับ บาปหรือไม่ลองคิดดู ถ้าโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์แก่ตนเอง แล้วผู้ที่ถูกโกหกนั้นเป็นทุกข์ สิ่งที่กระทำนั้นก็จะย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำไม่วันใดก็วันหนึ่ง คงไม่มีใครอยากให้ตัวเองถูกโกหกแล้วต้องเสียผลประโยชน์หรือเป็นทุกข์นะครับ เพราะฉะนั้น เป็นกรรมที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
เคยฟังนิทานเรื่องหนึ่งครับ
เรื่องมีอยู่ว่า
นายก.ไปพบสาวแสนสวยผู้หนึ่งในงานเลี้ยง ด้วยความต้องตาเพราะท่าทางที่น่ารักของเธอ จึงเดินเข้าไปทำความรู้จักหวังตีสนิดด้วย
"ขอโทษครับ ขอผมนั่งคุยด้วยสักครู่ได้ไหมครับ"
"อุย เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ" สาวเจ้าตอบด้วยความตกใจบวกเอียงอายนิดๆ
"เปล่าหรอกครับ แค่ผมพบคุณครั้งแรกผมรู้สึกเหมือนมีแม่เหล็กทางจิตที่ดูดผมให้เข้ามาทำความรู้จักกับคุณ"
สาวเจ้าไม่ตอบกลับหลบหน้าไปด้วยความเอียงอาย
"ดืมวายเย็นๆสักแก้วไหม่ครับ ?"
"ไม่ละคะ ผิดศีลข้อ ๕ ดิฉันไม่ดื่มน้ำเมาทุกชนิด"
"ไม่เช่นนั้น ผมของอนุญาติตักข้าวขาหมูปากซุงให้คุณทานสักจานได้ไหมครับ ?"
" อย่าเลยคะ ดิฉันเป็นมังสวิรัต ไม่ทานเนื้อสัตว์ เพราะดิฉันคิดว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นการส่งเสริมให้มีการทำร้ายชีวิตสัตว์ ดิฉันสงสานมัน ผิดศีลข้อที่ ๑ คะ"
เธอช่างดีอะไรเช่นนี้ ผู้หญิงเช่นนี้ละที่เขาปรารถนาจะได้มาเป็นคู่ชีวิต
"ถ้าคุณไม่รังเกลียด เสาร์นี้ผมอยากจะขอชวนคุณไปเที่ยวหัวหิน ผมมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่นั้น "
"ไม่ดีดอกคะ หญิงชายไปในที่ลับตาคนสองต่อสอง มันไม่งาม หากไม่มีสติที่ดีพอสถานการณ์มันง่ายที่จะทำให้เราต้องผิดศีลข้อ ๓"
"ผมไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น" ก.รีบปฏิเสษพร้อมกับเพิ่มความนิยมในสาวแปลกหน้าที่พึ่งรู้จัก
"คุณจะรับผมเป็นเพื่อนสักคนได้ไหมครับ" ก.พูดพรางหยิบดอกกุหลาบสีชมพูในแจกันเล็กๆบนโต๊ะอาหารยื่นให้สาวนิรนามเบื่องหน้า
"ไม่ดีดอกคะ กุหลาบดอกนี้เป็นของเจ้าของงาน ไม่ใช่ของคุณ ถ้าดิฉันรับมาก็เหมือนร่วมทำผิดกับคุณคือลักทรัพย์ มันผิดศีลข้อที่๒นะคะ"
ใช่เลย ! โดนใจฉันเลย บทกลอนที่เขียนไว้ในอดีตกลับมาปรากฏชัดในห้วงสำนึกอีกครั้งหนึ่ง
"เหมือนรอใคร บางคน มาหลายหนาว
เหมือนบางคราว เฝ้ารอใคร ผ่านหลายฝน
ผ่านหลายร้อน รอจนเจอ ใครบางคน
เธอคือคน ทำฉันเศร้า เพราะเฝ้ารอ"
"คุณเป็นคนดีจริงๆ เท่าที่ผมเคยรู้จักมา ไม่มีศีลข้อใหนเลยหรือครับที่คุณรักษาไม่ได้ ?"
"มิได้คะ มีศีลข้อเดียวเท่านั้นที่ดิฉันไม่สามารถรักษาได้คือ ศีลข้อที่ ๔ "
" ....!!!...."
มิน่าเล่าถึงได้พุทธวจนะที่ว่า.....
"ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี"
ลองอ่านเวปนี้ครับแนวโกหกเช่นเดียวกัน
http://dungtrin.com/mag/?6.prepare
เป็นกรรมหนักอยู่แล้ว เพราะผิดศีล5
ศีล5เป็นศีลพื้นฐานของฆารวาส