นั่งสมาธิแล้วใจไม่สงบ

     

นั่งสมาธิแล้วใจไม่สงบ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะทำอย่างไรดีคะ ถึงจะนั่งแล้วสงบเหมือนคนอื่น




ฟุ่งซ่าน เพราะจิตมีช่วงให้คิด รำลึกอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นเพราะ จิตไม่อยู่นิ่ง
มีความหวั่นไหวในอารมณ์ทุกเมื่อ

วิธีแก้ไข ต้องอาศัยผัสสะให้เกิดอารมณ์กระทบที่ต่อเนื่อง ไม่ให้จิตหยุดคิดเรื่องอื่น
ไม่ให้จิตรำลึกอดีต ปัจจุบัน อนาคต(ฟุ่งซ่าน) ด้วยการให้จิตจดจ่ออยู่กับการ
หายใจเข้า-ออกแรงๆ เร็วๆสม่ำเสมอ และภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆ จนกระทั่งเกิดอาการปิติ (เย็นซาบซ่า น้ำตาไหล ขนลุก หรือตัวแน่น เกิดอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือเกิดพร้อมๆกัน) นั้นคือสมาธิระดับปฐมฌาน

ให้ทำบ่อยๆ(เจริญ) จิตจะวางในโทมนัส อภิชฌา(ความโลภ) จิตจะตั้งมั่น
ไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งที่เห็นด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นี่คือ สมาธิในความหมายของสัมมาสมาธิ (มรรคองค์ที่ 8)

ผลที่จะได้รับคือ ความสุข สงบในจิต จิตมั่นคง มีสติทุกเมื่อ




นับลูกปะคัม ไปสักพักหนึ่ง นับถึง 108 แล้วก็เริ่มนับ 1 ใหม่

พอจิตใจเริ่มนิ่ง ค่อยเลิกนับลูกปะคัม แล้วมาจับลมหายใจ หรือ พุทโธ

......................................

ไม่อยากอธิบายเกียวกับการปฏิบัติมาก คนด้อยประสบการณ์ คุมเวป อยู่

ของมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้ ลบทิ้งไปเรื่อยเปื่อย

แทนที่จะลองทำตามดู ว่าจริงอย่างที่บอกไปหรือไม่ หากไม่จริงก็ค้านมา

กลับไปเชื่อเรื่องมาร มีมารมาขัดขวาง บ้าๆบอๆ อะไรก็ไม่รู้ ไร้เหตุผลสิ้นดี

พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญา กลับใช้ความงมงาย




เห็นด้วยกับ คต.ที่ 2
คงเข้าลักษณะว่า สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตามแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย




ขตสูตรที่ ๑
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็น
คนพาล ไม่เฉียบแหลม ไม่ใช่สัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนที่ ปราศจากคุณสมบัติ ย่อมเป็นผู้ประกอบไปด้วยโทษ นักปราชญ์ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญ เป็นอันมาก
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

*ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบ แล้ว กล่าวสรรเสริญคุณของผู้ไม่ควรสรรเสริญ ๑
*ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบ คอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควรสรรเสริญ ๑
*ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบ แล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควร
เลื่อมใส ๑
*ไม่ใคร่ครวญสืบสวน ให้รอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ควรเลื่อมใส ๑

ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นคนพาล ไม่ เฉียบแหลม ไม่ใช่สัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนที่ปราศจากคุณสมบัติ ย่อมเป็นผู้ ประกอบไปด้วยโทษ นักปราชญ์ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็น อันมาก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ เป็นผู้ หาโทษมิได้ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

*ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควร ติเตียน ๑
*ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ ๑
*ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควร เลื่อมใส ๑
*ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะ ที่ควรเลื่อมใส ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้ แล เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วย คุณสมบัติ เป็นผู้หาโทษมิได้ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญ เป็นอันมาก ฯ

ผู้ใด ย่อมสรรเสริญผู้ที่ควรนินทา หรือย่อมนินทาผู้ที่ควร สรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมค้นหาโทษด้วยปาก ย่อมไม่ได้ ประสบสุขเพราะโทษนั้น ความพ่ายแพ้การพนันด้วยทรัพย์ ทั้งหมด พร้อมด้วยตน มีโทษน้อย การที่ยังใจให้ ประทุษร้ายในท่านผู้ดำเนินไปดีแล้วนี้แหละ เป็นโทษใหญ่ กว่า (โทษการพนัน) ผู้ที่ตั้งวาจา และใจอันเป็นบาปไว้ ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรกสิ้นแสนสามสิบหกนิรัพ พุททะ และห้าอัพพุททะ ฯ

จาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต





เกี่ยวกับปัญหาที่เจ้าของกระทู้ถามตรงไหน นี่กระมังยึดติดตำราสะจนแกะไม่ออก

เขาถามเรื่องเกี่ยวกับบก แต่ตอบเรื่องน้ำ


เห็นด้วยกับ คต.ที่ 2
คงเข้าลักษณะว่า สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตามแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย


- 125.24.90.102 [27 ก.ค. 2551 13:22 น.] คำตอบที่ 3

เกี่ยวกับปัญหาที่เจ้าของกระทู้ถามตรงไหน นี่กระมังยึดติดตำราสะจนแกะไม่ออก

เขาถามเรื่องเกี่ยวกับบก แต่ตอบเรื่องน้ำ

- - 125.24.1.178 [27 ก.ค. 2551 18:17 น.] คำตอบที่ 5


++

--------+นั่นซิ แล้วเจ้าสองความเห็นนี้ เกี่ยวอะไรกับคำถามด้วย ว่าไหม??-------

--------+ว่าเขาแกะตำรา ข้างบนนั้นเป็น "พุทธพจน์" เป็นมาสเตอร์++
ที่ไปแกะตำราก๊อปมาหลายตลบแล้วนี้ซิ แถมไปแกะผิดๆเพี้ยนๆ
โดนเขาเปรียบเทียบยังไม่รู้ตัว จะสงสารดีไหม?---



นั่งสมาธิแล้วใจไม่สงบ

นั่งสมาธิแล้วใจไม่สงบ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะทำอย่างไรดีคะ ถึงจะนั่งแล้วสงบเหมือนคนอื่น


จะสงบ...มันก็ต้องรู้ให้จบ....ในเรื่องที่ทำให้ ใจไม่สงบซิจ๊ะ....อะ อะ อะ อะ
ว่าแต่ไอ้เรื่องที่ทำให้ใจไม่สงบ....มันจะมีปัญญาอยู่ในใจเราได้ กี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน
กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติละจ๊ะ....ถ้านายแน่ (ความไม่สงบ) นายต้องอยู่ในใจเราแบบไม่มีพรากจากกันนะ...เจ้าความไม่สงบ....อะ อะ อะ อะ


สมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่น
นั่งสมาธิ แปลว่า ตั้งใจนั่ง
เมื่อนั่งแล้ว ก็เสร็จ ใจสงบไม่สงบไม่เกี่ยวกับนั่ง
ถ้านั่งทำสมาธิรู้ลมหายใจ ก็ให้ตั้งใจรู้อยู่กับลมหายใจ
คำว่า มั่น คือ รู้อยู่อย่างเดียว
เมื่อรู้ก็ไม่คิด เมื่อคิดก็ไม่รู้
เมื่อไม่คิด ก็สงบเอง


ช่วยให้ความคิดเห็นที่เป็นเหตุจิตไม่สงบขณะที่ทำสมาธิ
คุณได้ทำจิตไม่คิดมากพูดมากทานมากนอนมากเป็นจุดเริ่มต้นก่อนหรือป่าว
รักษาศิลไว้ดีไหม
ได้รักษาศิลก่อนการสวดมนต์เพื่อจะได้มีสติให้จิตสงบอยู่ในพระพุธพระธรรมพระสงฆ์ทำจิตให้สว่างแล้วกวดแผ่เมตรตา
พอเริ่มนั่งทำสมาธิหายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวสามถึงสี่ครั้งดูลมหายใจที่เข้าและออกถ้ายังไมสงบก็ทำไปเรื่อยๆพอเริ่มสงบลงแล้วแต่ยังเหลือความนึกคิดที่อยู่เหนืออารมณ์อื่นก็ให้กำหนดว่าคิดหนอๆพอมีอารมณ์หรืออาการอื่นที่เหนือกว่าก็ให้กำหนดอารมณ์หรือความรู้สึกนั้นจนดับไปขอให้รู้เท่าทันอย่างมีสติพอจิตสงบก็มากำหนดดูที่ร่างกายตั้งแต่ผมลงไปถึงปลายเท้าแล้วพิจารณาสังขารทุกอย่างไม่แน่นอนมีเกิดมีดับมีสิ่ทีสกปรกไม่สะอาดจับความเป็นจริงโดยไม่ปรุงแต่งพอมีอะไรมาให้นึกคิดที่นอกเหนือจากการพิจารณาก็ให้รู้เท่าทันโดยเอาจิตกำหนดไว้ว่าคิดหนอๆเจ็บหนอๆปวดหนอๆจนดับไปเพราะทุกอย่างมีขึ้นอยู่ดับไปและพยายามสร้างความอดทนต่อสังขารขณะที่เมื่อยจะเปลี่ยนเพราะหาความสบายถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องมีสติเอาจิตกำหนดว่าขยับสังขารหนอจะเป็นยืนเดินหรือนอนก็กำหนดไปอย่าขาดสติทำปล่อยทุกวันก็จะค่อยๆสงบมากขึ้นไปเองแต่ไม่ได้หมายความว่าจะสงบได้ทุกวันอย่าท้อหมั่นทำทุกวันๆการทำสมาธิต้องมีนิวรณ์และวิบากกรรมอย่ายอมแพ้และตกเป็นทาสมารกิเลสนะค่ะ


ไม่สงบก็ไม่เป็นไรชั่งมันปล่อยให้มันคิดของมันไป
แต่ขอให้มีสติรู้ตามดูมันเพราะความคิดโดยธรรมชาติ
มันไม่เคยอยู่นิ่งมันคิดของมันปรุงแต่งของมัน
ขอให้มีสติตามดูตามรู้จริงๆดูให้มากๆเดี๋ยวมันก็
ระงับดับความคิดนั้นไปเอง อมิตาพุทธ


เรียนท่านเจ้าของกระทู้
ก่อนอื่นรักษาศีล 5 ให้ได้ทุกๆวันก่อน
เมื่อจิตเรามั่นคงในศีล ปัญญาก็จะเกิดเองจากจิตที่บริสุทธิ์
ไม่เบียนเบียนใครทั้งกาย วาจา ใจ นี่แหล่ะคือการสร้างกุศล
จิตที่มีกุศลก็จะคิดแต่สิ่งที่ดีๆ เวลานั่งก็ระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ที่เป็นกุศลเป็นอารมณ์แล้วแต่จริตของแต่ละคน
ตัวข้าพเจ้าใช้พุทธานุสติเป็นอารมณ์จิตสงบนิ่งได้ดีมาก
ลองทำดูนะ ตัวท่านเจ้าของกระทู้ต้องลองฝึกหลายๆอย่าง
ถ้าอย่างใดทำให้ใจสงบเร็วเป็นอันว่าถูกกับจริตของตน
อานาปาณสติ คือ ดูลมหายใจ
หรือมรณะสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
บอกคร่าวๆเท่านี้แหล่ะ แต่ที่สำคัญอย่าลืมศีลสำคัญที่สุด
ขอให้โชคดีมีดวงตาที่เห็นธรรมเร็วๆ

เจริญในธรรม


แถมอีกนิดถ้าไม่สงบจริงๆ
ก็ไม่ต้องนั่งลองเดินไม่ทราบว่าเดินจงกลมเป็นใหม
เพราะการเดินจงกลมเป็นวิธีแก้ความฟุ้งส้างได้ดีที่สุด
รวมถึงกิเลสตัณหาราคะต่างๆอีกทั้งยังทำให้เรารู้กายรู้จิต
ได้อย่างดีอีกด้วย


 4,115 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย