ต้องการคำตอบข้อ 3 ครับ

 yo    

ตัวของผมเองนั้นตอนหนุ่มๆไม่สนใจเข้าวัดวากับเขาเท่าใดนักเอาแต่กินๆเที่ยวๆ พอแก่ตัวก็คิดว่ายังไม่สายจึงที่จะเริ่มศึกษาธรรมะจากหนังสือบ้าง ฟังเทศน์บ้าง จากเว็บนี้บ้างเป็นต้น ตอนนี้เชื่อแล้วว่าบาป-บุญมีจริง ในชีวิตที่เหลือเห็นทีต้องรีบทำกรรมดี และเชื่อว่า.......
- ข้อ1. เชื่อว่าชาตินี้มีจริง ก็คือชาตที่เราเป็นเราอยู่ปัจจุบันนี้
- ข้อ2. เชื่อว่าชาติก่อนหรือชาติที่แล้วมีจริง เพราะจากที่พอรู้จากการอ่านหนังสือมาก็คือจากการระลึกชาติของบางคนเป็นเครืองยืนยันได้ว่าชาติที่แล้วมีจริง
- ข้อ3. และก็เชื่อว่าชาติหน้าก็มีจริง แต่ยังสงสัยว่าข้อนี้มีอะไรพอบอกหรือยืนยันได้บ้างว่าชาติหน้ามีจริงอยากรู้ครับ ท่านผู้รู้ช่วยด้วยครับ

ขอขอบคุณครับ




ขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ ที่จะเริ่มศึกษาธรรมะ และ เชื่อแล้วว่าบาป-บุญมีจริง และ ปวารณาว่า ในชีวิตที่เหลือเห็นทีต้องรีบทำกรรมดี

ก่อนอื่นขอถามว่่า:

วันนี้ มีใหมครับ?
วานนี้มีใหมครับ?
แล้วพรุ่งนี้มีใหมครับ?....

รู้ได้อย่างไร?

รู้เพราะ 1. มีประสบการณ์ด้วยตนเอง 2. ได้ฟังมาจากคนอื่นจึงเชื่อ
3. ทั้งฟังเขามาแล้วประสบเหตุด้วยตนเอง


ในคำถามของท่าน หากท่านไม่วางใจไว้ถูกต้อง แม้จะมีใครมาตอบ ท่านย่อมสงสัยอยู่...
ประโยชน์อะไรท่ีท่านจะมานั่งสงสัยอยู่?...ท่านควรแต่จะยังกุศลท้ังหลายให้ถึงพร้อมอันจะเป็นประโยชน์อย่าง
ย่ิงแก่ตนทั้งในปัจจุบันและในภพหน้ามิดีกว่าหรือ?

หากมีใครบอกท่านว่า ชาติหน้าไม่มี ท่านคงจะคิดว่าถ้าเช่นนั้นเราจักยังชีพให้สำราญ แม้ด้วยการล่วงศีลและอกุศลกรรมบถท้ังหลาย เช่นนั้นหรือ?..
ก็หากความเช่ือของท่านไม่เป็นความจริง กล่าวคือชาติหน้ามีอยู่และมีมากจนหาท่ีสุดมิได้.. ความเช่ือและพฤติกรรมอันเป็นอกุศลย่อมไม่เกื้อกูลต่อคุณภาพชีวิตท่ีดีของท่าน ในภพหน้าอย่างแน่นอน..

ย่ิงกว่านั้น ท่านพึงทราบว่า ความเช่ือว่าตายแล้วสูญ ภพหน้าไม่มีนี้จัดอยู่ในประเภท นัตถิกะมิจฉาทิฏฐินับเป็นอันตรายแก่ตนเองย่ิงกว่าอนันตริยกรรมเสียอีก เพราะผู้มีมิจฉาทิฏฐิ เช่นนี้อย่างม่ันคงนั้น มีผลนำไปเกิดในทุคติอบายภูมิแต่เพียงถ่ายเดียว..แม้เกิดเป็นคนอีกก็ย่อมเท่ียงท่ีจะได้
ไปเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิแล้วๆเล่าผลคือเท่ียงท่ีจะได้ทำบาปกรรมและวนอยู่ในทคติอบายเรียกว่าเป็น
วงจรปิด (closed circuit)หาทางออกจากสังสารวัฏไม่เจอ..

ท่านพึงมนัสสิการในธรรมะอันพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วย่อมมีศรัทธาเช่ือมั่นในพระสัพพัญญุตญาน
ของพระองค์คือความรอบรู้ไม่มีประมาณ หรือขอบเขตจำกัดเรียกง่ายๆว่า"ทรงรู้ทุกอย่าง" ตามท่ีท่านแสดงไว้ใน
พระสูตรต่างๆอันปรากฏแล้วในพระไตรปิฎก ...แสดงถึงเร่ืองราวของพระองค์เอง หรือบุคคลอื่นจำนวนมาก ทำให้ทราบได้ว่า ชาติก่อนมี..ชาติหน้ามี..กรรมทำแล้วมีผล..ในบรรดาบุคคลท่ีท่านควรเช่ือนั้น
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ท่ีท่านควรเชื่อย่ิงกว่าใครๆแม้มารดาบิดา ..เพราะพระองค์ทรงสิ้นอาสวะกิเลสท้ัง
หมด ทรงบริสุทธิ์ย่ิงกว่าผู้ใดในโลก ทรงมีพระเมตตาและกรุณาต่อสัตว์ ท้ังหลายท่ีสุด ทรงมีพระวาจาท่ีเป็นความจริงโดยส่วนเดียว เพราะพระพุทธเจ้าท้ังหลายไม่กล่าวมิจฉาวาจาเช่นกล่าวเท็จ
และไม่กล่าวส่ิงท่ีไร้สาระปราศจากประโยชน์แก่สัตว์ท้ังหลาย..มารดาบิดาของเราในบางครั้งยัง
โกหกหรือบอกส่ิงไม่เกื้อกูลแก่เราเพราะท่านยังเป็นปุถุชนอยู่..ดังนั้น ท่านจะทำประโยชน์แก่ตนได้
ด้วยการน้อมนึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้า ดีกว่าการน่ังนึกสงสัยเร่ืองชาติหน้า อันเป็นไปด้วยโมหะมีอุทัธจะคือความฟุ้งซ่าน ผสมโรงกับวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัย ซึ่งเป็นอกุศลจิตและมีแต่โทษอย่างเดียว...

พึงต้ังความปรารถนาให้มีปัญญาและไม่มีมิจฉาทิฏฐิอยู่เนืองๆเถิด เพ่ือความปลอดภัยแก่ตนเองใน
สังสารวัฏอันยาวไกลข้างหน้า.........

เจริญในธรรมครับ


ข้อ2. เชื่อว่าชาติก่อนหรือชาติที่แล้วมีจริง เพราะจากที่พอรู้จากการอ่านหนังสือมาก็คือจากการระลึกชาติของบางคนเป็นเครืองยืนยันได้ว่าชาติที่แล้วมีจริง

เมื่อท่านมีความเชื่อว่าชาติก่อนมีจริง ท่านลองตั้งคำถามกับใจตนเอง ก่อนชาติก่อน ท่านต้องเกิดใช่ไหม ถึงได้มีชาตินี้ ลองตั้งสติคิดดีๆ ถ้ามีชาตินี้ ต่อไปเมื่อท่านตาย มันก็กลายเป็นชาติก่อน มันเป็นวัฏวักร คือ1>2>3>1 แล้วมันก็ไม่เคยจบ ถ้าชาติหน้าไม่มีจริง ก็จะไม่มีชาติก่อน และก็ไม่มีชาตินี้ ผมก็เข้าใจครับ ว่าเรื่องชาติหน้าแล้วกลับมาเกิดใหม่นี้ ท่านคงไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายที่สงสัย โดยตามหลักศาสนาสตร์ จะมีเพียงศาสนาพุทธเพียงศาสนาเดียวนะครับ ที่เป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือตายแล้วเกิดใหม่ ศาสนาอื่นตายแล้วไม่เกิดใหม่ครับ (ลองศึกษาดูครับ ) ถามผมว่าเชื่อไหมว่าชาติหน้ามีจริงไหม ด้วยจุดเด่นของรูปแบบของศาสนาพุทธที่แตกต่าง ผมมีความเชื่อว่า มีชาติหน้าจริงครับ (ไม่ได้งมงายนะครับ) ผมมองตามแนวทางของรูปแบบศาสนาพุทธ ที่มีการบันทึกไว้ ในประไตรปิฏกครับ หลักพื้นฐานการนับถือศาสนาใดก็ตาม ท่านต้องมีศัรทธาอยู่บ้างครับ มันเป็นหลักของศาสนาทั่วไปทุกศาสนา ถ้าเป็นศาสนาอื่น (ขอไม่เอย) การเกิดข้อสงสัยนี่ เป็นบาปกันไปเลยนะครับ อาจถูกขับออกจากศาสนานั้นๆศาสนาส่วนมากของโลก จะเน้นศัรธทาเป็นหลักครับ และต้องไม่มีความสงสัยในศาสนาที่ตนนับถือ (เพราะถ้าท่านสงสัยเท่ากับท่านไม่ศรัทธาจริง) ผมชอบศาสนาพุทธเพราะ พระพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้คนคิดและถาม เพื่อนำไปสู่ปัญญาครับ ไม่มีการวิงวอน ตนทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น ไม่มีใครกำหนด ทุกอย่างมีเหตุและมีผลในตัวเอง ยิ่งถามมากกลับยิ่งดี ยิ่งเกิดปัญญา
ปล.เขียนแนวธรรมะไม่ค่อยถนัด ขอเป็นแนวบทความนะครับ และผมก็เพิ่มเติมว่าก่อนที่ผมจะนับถือศาสนาพุทธ ผมก็ศึกษาศาสนาอื่นมาก่อน แต่มองว่า ทำไมศาสนาอื่นผมตั้งคำถามเหมือนที่ท่านถามไม่ได้ ???


มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยอ่ะค่ะ คือปกติคนเราหรือใจเรามีความเกิดได้ก็เพราะมีประเด็นที่มันค้างคาใจเราให้มันยึดมั่นถือมั่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มักเป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากการมีตัณหา อุปาทานค้างคาในใจเราอยู่ เมื่อใจเรามีสิ่งเหล่านี้คอยกระตุ้นให้เกิดความวนเวียนในใจตลอดเวลา ขณะตายหากใจยังยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเนื่องจากสาเหตุที่ว่าข้างต้นแล้ว ภพชาติก็ยังต้องมีต่อไปอีกแน่นอนค่ะ เค้าถึงว่าเวลาพระอรหันต์แต่ละองค์ที่จะนิพพานนั้น จะใช้คำว่าดับขันธ์แล้วนิพพานไงคะ เพราะดับขันธ์ก็เป็นการที่กายก็ดับไปรวมทั้งใจก็ดับหมดไม่มีเหลือค่ะ ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ก็หมายถึงผู้ที่ดับเหตุในการเกิดได้หมดแล้วไม่มีอะไรค้างคาใจให้เป็นที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วค่ะ ภพชาติก็จะหมดที่สืบเนื่องต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้มาโดยการฝึกฝนอบรมจิตตนเองทั้งนั้นอ่ะค่ะ

พิจารณาดูค่ะ..


จากคำตอบของคุณปิยะผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ครับ เข้าใจดังนี้ครับ ....
- สมมุติว่านายขาวซึ่งเป็นคนอยู่ในชาตินี้แหละ ในชาตินี้ของเขาเขาระลึกชาติได้ว่าชาติที่แล้วหรือชาติก่อนตัวของเขาคือนายดำ ก็แสดงชาติที่แล้วของนายดำนั้นมาเกิดเป็นนายขาว นายขาวก็คือชาติหน้าของนายดำชาติก่อนผมเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ
- ถ้าความเข้าใจของผมถูกก็แสดงว่าทั้งชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้ามีจริง
- เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกคนต้องเร่งทำความดีกันเถอะบุญกุศลจะได้หนุนนำไปเกิดในชาติหน้าที่ดีๆ ชีวิตที่เหลือผมจะเร่งทำความดีครับ

ขอขอบคุณทุกคำตอบโดยเฉพาะคำตอบของคุณปิยะที่ทำให้ผมเข้าใจข้อ 3 ครับ


ถึงคุณ YO ครับ ท่านเกิดปัญญาแล้วครับ คงเป็นกุศลบุญของท่านส่งผลบุญให้ท่านเข้าใจในพุทธศาสนา แก้ข้อสงสัยที่ท่านถามหาครับ??
ปล.ผมเป็นเพียงพุทธศาสนิกชนคนนึงที่สนใจ อยากรู้เหมือนท่านล่ะครับ ความอยากรู้อยากเข้าใจ นำไปสู่การแสวงหาคำตอบ เมื่อใดท่านมีสติ(คือคิดได้ไคร่ครวญแล้ว) ความคิดท่านจะเริ่มเป็นระบบ ท่านจะไม่สับสน ในความขัดข้องใจในความคิดของท่าน แล้วปัญญาของท่านจะเกิดครับ ที่แน่ๆท่านมีความเข้าใจและศัรทธาในพุทธศาสนาโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ขออนุโมทนา นับว่าเป็นมงคลชีวิตยิ่งนักครับ...



เมื่อตา กระทบ อาหารที่ชอบ แล้วเกิดน้ำลายสอขึ้นมาได้ฉันใด
จิต ที่ยังมีกิเลส ตัณหา ย่อมเรียกร้องหากายใหม่มารองรับได้ฉันเดียวกันนั้น
แต่กายใหม่จะเป็นอะไรนั้น ก็แล้วแต่กรรมของแต่ละคน


 3,964 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES




จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย