ความรู้สึกนั้นคือ ปีติ
อย่าลืมครับว่าไม่เที่ยง...เพราะเรายินดี จึงเกิดปีติ
ทำไม เวลาที่ไปวัด ฟังพระสวด ถึงน้ำตาไหลตลอดค่ะ
เมื่อโยนิโสมนสิการไปกับธรรมะที่พระแสดง คือบทสวดนั้น จิตก็จะเป็นกุศล
เมื่อจิตเป็นกุศล จึงให้ผลเป็นสุข คือไม่ทุกข์
ความสุขมีหลายระดับ ได้แก่ ปราโมทย์ ปีติ สุข อุเบกขา
ปราโมทย์ เป็น ความแช่มชื่นใจ
ปีติ : ถ้าสุขมากหน่อยก็จะเป็น ปีติ ก็จะมีหลายอาการค่ะ เช่น น้ำตาไหล ขนลุกชูชัน ตัวโยก ตัวโคลง ตัวสั่น
หรือรู้สึกว่า ตัวคับแน่น ตัวพอง บางท่านเกิดอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ หลายอาการก็ได้ค่ะ
อุเบกขา คือ อาการที่รู้สึกเบาสบาย ด้วยสุขสัญญา และ ลหุสัญญา รู้สึกเหมือนไม่มีตัว ไม่มีตน
ความสุข ที่เกิดตามลำดับ จึงมีดังนี้ค่ะ
อนุโมทนาด้วยนะเจ้าคะ
นี้คือจุดเริ่มต้น
ที่เหลือก็แค่พยายาม
พยายามหาคำอธิบายจากธรรมะของพระพุทธเจ้า เบื่องหน้าคงเข้าใจ
อนุโมทนาด้วยครับ
ได้กระแสบุญผ่านเข้ามา
สาธุ
อุเบกขา คือ ความไม่สุข ไม่ทุกข์ ตามตัวเลยครับ
อุเบกขาเป็นเวทนา ซึ่งเกิดจากสัญญา
เช่น เมื่อเราเจ็บ เราจะไม่รู้สึกทุกข์ เราจะรู้เพียงเจ็บ
เมื่อเราสบาย เรารู้ว่าสบาย แต่ไม่รู้สึกสุข
เหมือนกับว่าเราลืมไปเลยว่า สุขเป็นเช่นไร ทุกข์เป็นเช่นไร
ลืมไปจากสัญญา รู้ว่าทุกข์และสุขไม่มีตัวตน
เป็นรูปจากที่ไหนค่ะ