ท้าวสักกะ เทพราชาแห่งตาวติงสาภูมิ๑ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
ย้อนไปเมื่อครั้งก่อนที่ศาสนาพระสมณโคดมจะปรากฏ ณ ชนบทของแคว้นมคธยังมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า มฆ เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม มีความยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมยากจักหาผู้ใดเสมอเหมือน วันหนึ่งเนื่องจากไม่มีกิจใดทำเขาจึงออกจากบ้านไป ขณะนั้นเป็นยามเที่ยงวันพอดี
ระหว่างที่เดินอย่างไร้จุดหมายสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่ข้างทางมีกิ่งก้านสาขาแผ่สยายออกไปเป็นร่มเงาครึ้ม เหมาะจักใช้เป็นที่หลบแดดคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพียงแต่โคนต้นมีวัชพืชขึ้นอยู่หนาแน่น ทำให้ผู้คนไม่อาจเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่นได้ พอเห็นดังนั้นเขาจึงกลับบ้านไปแบกเอาจอบเอาพร้ามา คิดจักถากถางทำความสะอาด
หลังจากเก็บกวาดเสียจนโล่งเตียนขณะจะเข้าไปนั่งพักเหนื่อยปรากฏมีบุรุษผู้หนึ่งผ่านทางมาพอดี บุรุษผู้นี้พอเห็นโคนไม้ที่มฆมานพทำความสะอาดแล้วน่านั่งน่านอนเสียนี่กระไร เขาจึงไม่ฟังอีร้าค่าอีรม รีบพุ่งเข้าไปทันใด จักได้สนใจว่าการที่ตนพรวดพราดเข้าไปจะชนถูกใครหกล้มบาดเจ็บหรือไม่ก็เปล่า ฝ่ายมฆมานพซึ่งกำลังหย่อนก้นยังไม่ทันจะถึงพื้นดี จู่ๆถูกชายแปลกหน้าเบียดเข้ามาก็ถึงกับเสียหลักล้มคะมำ พอลุกขึ้นได้จักเข้าไปนั่งสักหน่อยก็เห็นเขานอนไขว้ขาสบายใจอยู่ที่โคนต้นแล้ว ดังนั้นจึงเดินจากไปพร้อมกับคิดอยู่ในใจ
บุรุษผู้นี้ถึงจักยึดเอาร่มไม้ที่เราทำความสะอาดแล้วไปเป็นของตนก็ตาม แต่เราก็หาได้โกรธเขาไม่ ซ้ำยังรู้สึกเป็นสุขต่างหากที่เห็นเขานอนอย่างสบายบนลานดินที่เราทำดีแล้ว อย่ากระนั้นเลย เราควรจักหาร่มไม้ใหม่มาทำเป็นที่นั่งเล่นนอนเล่นแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกท่าจักดีไม่น้อย! เมื่อคิดดังนี้รุ่งขึ้นเขาจึงตื่นนอนแต่เช้า ออกเสาะหาต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับต้นที่ผ่านมา พอเจอต้นไหนที่เหมาะก็ลงมือเก็บกวาดถากถางทันที
เขาเฝ้ากระทำอย่างนี้จนพื้นที่ละแวกนั้นมีที่ร่มรื่นเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาได้มีที่หลบแดดคลายร้อนกันเป็นที่สบายใจ นอกจากเก็บกวาดถากถางยังไม่พอ โคนไม้ทุกแห่งที่เขาทำความสะอาดแล้วยังมีโอ่งน้ำดินเผาตั้งไว้อยู่ใบหนึ่ง หากใครผ่านมาเกิดกระหายก็เข้าไปตักดื่มได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาน้ำให้มันลำบาก ยิ่งกว่านั้นครั้นถึงฤดูหนาวเขาก็ยังยอมฝ่าความหนาว ลุกขึ้นมาก่อกองไฟให้กับผู้ค้างแรมอยู่ที่โคนไม้ของเขาอีก โดยเขาเชื่อว่า ขึ้นชื่อว่ารมณียสถานแล้ว ย่อมเป็นที่รักที่ชอบของชนทั้งปวง ชนใดไม่ชอบไม่มี!
ฃหลังจากเปลี่ยนที่รกชัฏให้กลายเป็นที่ร่มรื่นจนมีจำนวนมากพอ วันหนึ่งเขาก็เกิดความคิดว่า อันถนนหนทางปัจจุบัน แต่ละเส้นละสายล้วนมีสภาพที่เก่าทรุดโทรม ไม่สะดวกต่อการสัญจร บางช่วงก็เป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงก็มีกิ่งไม้ยื่นออกมาเกะกะขวางทาง สมควรจักต้องปรับปรุงกันแบบขนานใหญ่เสียที!
ถัดจากนั้นไม่กี่วันชาวบ้านก็เห็นเขาใช้เวลาเกือบทั้งวันง่วนอยู่กับการบุกเบิกถนน ตรงไหนที่มีกิ่งไม้ยื่นออกมาเกะกะขวาง เขาก็ตัดก็รานเสียจนโล่งเตียน ตรงไหนเป็นหลุมเป็นบ่อ ผู้คนวัวควายเดินทางไม่สะดวก เขาก็เกลี่ยก็กลบเสียจนเรียบรื่น นอกจากนั้นยังขยายเส้นที่แคบให้กว้างออกไปและต่อเส้นที่สั้นให้ยาวเพิ่มขึ้นไปอีก จนเส้นทางที่แต่ก่อนไม่มีผู้คนอยากเดิน ปัจจุบันได้กลายเป็นหนทางหลักที่ผู้คนหันมานิยมใช้!
เขาเฝ้าทำอย่างนี้จนเพื่อนบ้านคนหนึ่งอดใจไม่ไหวจึงเดินเข้าไปถาม นี่แน่ะสหาย! ตั้งแต่เช้าจรดค่ำข้าพเจ้าเห็นท่านเอาแต่หักร้างถางพงอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ข้าพเจ้าอยากทราบท่านทำอย่างนี้ไปเพื่ออันใดรึ? มฆมานพพอฟังจึงตอบว่า สหายเอ๋ย ข้าพเจ้าก็กำลังทำทางไปสู่สวรรค์นะซิ! ชายเพื่อนบ้านพอได้ยินก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ จึงถามกลับไปอีก เออแน่ะเพื่อนผู้ขยัน! ที่ท่านบอกกำลังทำทางไปสู่สวรรค์นั้นข้าพเจ้ายังมิเข้าใจ ขอจงอธิบายให้ทราบหน่อยเถิด มฆหนุ่มเมื่อเห็นเขาทำหน้างงเขาจึงอธิบายว่า
ดูก่อนสหาย การที่ข้าพเจ้ามาถากถางเส้นทางที่รกชัฎเป็นหลุมเป็นบ่อนั้น ก็เพื่อต้องการทำให้มันราบเรียบ ปราศจากสิ่งอันเป็นอุปสรรคต่อการสัญจร ส่วนการที่ข้าพเจ้าขยายถนนให้กว้าง ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้คน เวลาสวนกันจะได้ไม่ต้องระวัง ดังนั้นทุกครั้งที่มีผู้มาใช้เส้นทางที่ข้าพเจ้าทำไว้ดีแล้วเขาเหล่านั้นย่อมจักสำนึในบุญคุณของข้าพเจ้าที่ได้สร้างได้ทำถนนหนทางนี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องลำบากในการเดินทาง ไม่ต้องเสียแรงงานไปกับการหักร้างถางพง เมื่อเขาเหล่านั้นรู้สึกซาบซึ้ง พวกเขาก็จักอำนวยอวยพรให้กับข้าพเจ้า แลพรใดที่เขาแต่ละคนได้เอ่ยได้กล่าว พรเหล่านั้นย่อมจักเป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าทุกครั้งไปด้วยเช่นกัน ตราบใดที่ถนนยังอยู่คู่ผืนแผ่นดิน ตราบนั้นข้าพเจ้าก็จักไม่มีวันสูญสิ้นไปจากบุญได้!
ชายเพื่อนบ้านพอฟังมฆมานพธิบายเขาก็เกิดความปรารถนาในบุญขึ้นมาอย่างแรงกล้า จึงถามไปว่า ดูก่อนสหาย! หากข้าพเจ้าจักขอมีส่วนในบุญนี้โดยร่วมกับท่านช่วยกันบุกเบิกถนน ท่านจักว่าประการใด? มฆมานพพอได้ยินก็ให้ดีใจ รีบตอบไปว่า จะเป็นไรไปเล่าเพื่อนเอ๋ย! อันว่าบุญยิ่งแบ่งมากเท่าไหร่มันก็มีแต่จักยิ่งเพิ่มขึ้นไปมากเท่า นั้นหาได้ลดน้อยถอยลงไปไม่ มาเถิด เราจงมาร่วมกันสร้างหนทางไปสู่สวรรค์ด้วยกันเถิด
ชายเพื่อนบ้านพอฟังก็ไม่รอช้า รีบกลับไปหยิบเอาจอบเอาพร้ามาทันใด จากนั้นก็ร่วมแรงร่วมใจกันบุกเบิกถนนกันเป็นที่สนุกสนาน จนต่อมาไม่นานก็ได้มีเส้นทางใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกหลายเส้น และจากคนเพียงสองคน พอถนนขยายยาวขึ้น ก็มีผู้มาขออาสาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ปัจจุบันกลุ่มของมฆมานพมีสมาชิกรวมกันเป็นจำนวนถึง ๓๓ คนทีเดียว!
เป็นธรรมดาของโลก เมื่อมีสรรเสริญ ก็ต้องมีนินทา เมื่อมีคนทำดี ก็ต้องมีคนอิจฉา มฆมานพแลสหายหารู้ไม่ว่าการกระทำพวกเขาได้ถูกจับตาจากนายบ้านมาตลอด โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่นายบ้านเห็นพวกเขาอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ตะแกก็มักหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้ก็ไม่เพราะอะไร ก็เพราะตัวเขานั้นมีนิสัยเป็นพาลนั่นเอง ทนเห็นใครทำความดีเกินหน้าไม่ได้! จนวันหนึ่งขณะที่พวกมฆมานพกำลังบุกเบิกถนนอยู่ตามปกติ นายบ้านซึ่งเฝ้ามองดูมานานก็ถึงกาลสุดที่จักทนต่อไปได้อีก จึงเดินเข้าไปถาม
นี่แนะ! เจ้าพวกผู้เยาว์ ทำไมพวกเจ้าจึงไม่เอาเวลาเหล่านี้เข้าป่าไปล่าสัตว์หาเนื้อหาปลามาปิ้งย่างกินกัน มันจักไม่ดีกว่าหรือ? ไฉนจึงมาทำในเรื่องที่ไร้สาระเช่นนี้? มฆหนุ่มพอฟังจึงตอบว่า ข้าแต่นายบ้าน พวกข้าพเจ้าหาได้กระทำเรื่องที่ไร้สาระไม่! หากแต่กำลังทำทางไปสู่สวรรค์ต่างหาก การที่ท่านจักให้พวกข้าพเจ้าเข้าป่าไปล่าสัตว์นั้นข้าพเจ้าแลสหายหาได้ปรารถนาเยี่ยงนั้น เพราะนั่นคือหนทางไปสู่อบาย ธรรมดาบัณฑิตย่อมแสวงหนทางอันเป็นสุคติสำหรับสัมปรายภพ หาใช่ทุคติ!
นายบ้านพอฟังก็เกิดโมโหทันใด จึงโต้กลับไป ชะ! เจ้าพวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สะพานที่ข้าเดินข้ามหากเอาระยะทางมารวมกัน ยังจักยาวเสียกว่าหนทางที่พวกเจ้าเดินกันมาทั้งชีวิตเสียอีก หนอยบังอาจกล้ามาสอนข้าได้ ดีละ! เมื่อพูดดีๆไม่ฟังก็ตามใจ แล้วเราจักได้เห็นกัน! ว่าแล้วเขาก็สะบัดหน้าจากไป พร้อมกับคิดอาฆาตอยู่ในใจว่า เราจะต้องทำให้เจ้าพวกเหล่านี้ถึงกาลฉิบหายให้ได้ คอยดูเถอะ!
พอลับตาพวกมฆมานพเขาก็รีบตรงดิ่งกลับบ้าน พอถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าเสื้อคว้าผ้าได้ก็มัดลวกๆใส่ห่อขึ้นสะพายบ่า จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงทันใด ครั้นถึงเมืองหลวงก็รีบเข้าทูลพระราชาว่าพวกของมฆมานพเป็นโจร ชอบรวมกลุ่มกันปล้นสะดมชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อน ขอทางการเร่งส่งกำลังไปจับกุมเป็นการด่วนทันที พระราชาพอทรงสดับก็มิได้ทรงนิ่งเฉย ทรงมีพระบัญชาให้ทหารนำกำลังไปจับโจรก๊กนี้ตามคำกล่าวของนายบ้านทันทีเช่นกัน จากนั้นไม่กี่วันบุคคลทั้ง ๓๓ ก็ถูกนำตัวเข้าเฝ้ายังเบื้องพระพักตร์
องค์ราชาเมื่อทรงเห็นทหารจับโจรมาได้อย่างรวดเร็วก็หาได้ทรงเฉลียวพระทัย กลับตรัสให้เพชฌฆาตนำโจรเหล่านี้ไปให้ช้างเหยียบทันที ทั้งๆที่ยังมิได้ทรงไต่สวน ด้านนายเพชฌฆาตพอรับพระบัญชาก็รีบนำตัวพวกมฆมานพไปยังแดนประหารตามรับสั่งทันที พอถึงก็สั่งให้นักโทษทั้งหมดนอนคว่ำหน้า จากนั้นเขาก็สั่งควาญช้างให้ไสช้างเข้าไปเหยียบ
ขณะนั้นมฆมานพเห็นพวกพ้องต่างตกใจ หน้าซีดตัวสั่นกันไปตามๆกัน เขามิทราบจะทำเยี่ยงไร จึงร้องออกไปด้วยเสียงอันดังว่า สหายเอ๋ย! เว้นจากเมตตาแล้ว ที่พึ่งอย่างอื่นพวกเราไม่มี ขอพวกท่านจงทำความไม่โกรธให้มีในใจเถิด แหละขอจงแผ่เมตตาไปให้กับ พระราชา นายบ้าน แลช้างตัวนี้ ด้วยเถิด! บรรดาสหายพอฟังทุกคนต่างก็รีบหลับตากำหนดจิตสำรวมใจ แผ่เมตตาไปให้กับพระราชา นายบ้าน แหละช้างที่กำลังจะเข้ามาเหยียบตนตามที่มฆมานพบอกทันที
บัดนั้นเองด้วยอำนาจแห่งเมตตา ช้างที่ว่าดุร้ายเห็นนักโทษนอนอยู่บนพื้นไม่ได้ จักต้องวิ่งเข้าไปเหยียบย่ำ วันนี้มิทราบเกิดอะไรขึ้น จู่ๆมันก็ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ไปเสียยังงั้น มิว่านายควาญจักจิกจักสับอย่างไรมันก็หาก้าวเท้าออกไปแม้แต่เพียงก้าวเดียว! จนผู้เป็นควาญก็หมดความสามารถที่จักบังคับ นายเพชฌฆาตเมื่อเห็นดังนั้นก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจเช่นกัน จึงรีบนำความเข้ากราบทูล
จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงนิ่งอยู่สักครู่ จากนั้นจึงตรัส ช้างมันเห็นคนมากก็คงนึกกลัวน่ะซิ! ไม่ใช่เรื่องอัศจงอัศจรรย์อันใดดอก เอาอย่างนี้นายเพชฌฆาต เดี๋ยวเราจักให้ทหารนำเสื่อไปคลุมเจ้าพวกนี้ซะ จากนั้นท่านค่อยให้นายควาญไสช้างเข้าไปเหยียบอีกที ดูซิคราวนี้พวกมันยังจักรอดมั้ย? นายเพชฌฆาตเมื่อรับพระบัญชาจึงกลับมาดำเนินการใหม่ตามรับสั่ง
แต่ถึงทหารจักเอาเสื่อคลุมแล้วก็ตาม ทว่าเจ้าช้างเพชฌฆาตมันก็ยังไม่ยอมก้าวเท้าออกไปเหมือนเดิม ไม่ว่าบังคับอย่างไรมันก็ไม่ทำตาม นายพชฌฆาตเมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเหมือนครั้งแรก ดังนั้นเขาจำต้องกลับเข้าไปถวายรายงานอีกครั้งเป็นหนที่สอง ครั้งนี้จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงรู้สึกแปลกพระทัยบ้าง ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้เบิกตัวนักโทษ พอทหารนำพวกมฆมานพทั้ง ๓๓ มาถึงยังเบื้องพระพักตร์พระองค์จึงตรัสถามพวกเขา
ดูก่อนโจรร้าย ข้าปกครองบ้านเมืองไม่ดีหรือไรไฉนพวกเจ้าจึงเที่ยวปล้นชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยเล่า? มฆมานพพอฟังก็ให้ประหลาดใจ จึงกราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระบาทแลพวกหาได้ปล้นชาวบ้านเหมือนดังรับสั่งพระพุทธเจ้าข้า! จอมกษัตริย์ครั้นทรงสดับก็ทรงรู้สึกสงสัย จึงตรัสถามถึงรายละเอียด นี่เจ้าหนุ่มหัวหน้า เจ้าบอกพวกเจ้าไม่ได้เป็นโจรแล้วไฉนนายบ้านบอกข้าว่าพวกเจ้าชอบรวมกันเป็นกลุ่ม ออกปล้นชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เป็นประจำด้วยเล่า? มฆหนุ่มพอฟังจึงชี้แจงว่า
ขอเดชะพระผู้ทรงความยุติธรรม! การที่ข้าพระบาทแลพวกมารวมกันก็เพื่อบุกเบิกถนนที่เดิมรกชัฏเป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้มันราบเรียบแลโล่งเตียนขึ้นมาพระพุทธเจ้าข้า เพื่อผู้คนจักได้สัญจรกันอย่างสะดวก ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงเหมือนดังแต่ก่อน แลผลจากการนี้ก็คืออานิสงส์ที่พวกข้าพระบาทจักได้ไว้เป็นเสบียงสำหรับสัมปรายภพ หาได้ปล้นชาวบ้านเหมือนดั่งคำกล่าวนายบ้านไม่!
ส่วนการที่นายบ้านกล่าวหาข้าพระบาทแลพวกเป็นโจรนั้น คงเป็นเพราะมีอยู่วันหนึ่งเขามาบอกให้พวกข้าพระบาทเข้าป่าไปล่าสัตว์ หาเนื้อหาปลามาปิ้งย่างกินกัน ยังจักดีเสียกว่ามามัวเสียเวลาหักร้างถางพง ซึ่งมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พอพวกข้าพระบาทได้ฟังดังนั้นก็หาได้มีผู้ใดจักทำตามที่เขาบอกแม้แต่เพียงคนเดียว เนื่องจากสิ่งที่เขาพูดมันคือหนทางไปสู่อบาย ทุคติ แลวินิบาต นายบ้านเมื่อเห็นคำแนะนำของตนไม่เป็นผลก็คงจักผูกใจเจ็บเสียเป็นแน่ ด้วยตนนั้นมีนิสัยเป็นพาล ดังนั้นจึงนำความเท็จมาทูลพระองค์ให้ทรงเข้าใจผิดว่าพวกข้าพระบาทเป็นโจร เรื่องราวทั้งมวลก็เป็นดั่งที่ทูลมาพระพุทธเจ้าข้า!
องค์ราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับทรงมีพระพิโรธโกรธกริ้วขึ้นมาทันใด ทรงลุกขึ้นตวาดนายบ้านด้วยพระ สุรเสียงอันดังว่า เหม่! เจ้าพาลต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน อันที่จริงข้าควรจักสั่งประหารเจ้าเสียบัดนี้ฐานที่นำความเท็จมาทูลข้า แต่หากทำเยี่ยงนั้นเห็นทีข้าก็คงไม่แคล้วต้องลงอบายตามเจ้าไปด้วย อย่ากระนั้นเลย! ข้าขอปลดเจ้าออกจากตำแหน่งนายบ้าน ณ บัดนี้ แหละขอตั้งเจ้าหนุ่มหัวหน้าผู้นี้ขึ้นแทน!
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เป็นของเจ้าไม่ว่าจักเป็นที่ดิน บ้านช่อง ข้าทาสบริวาร ช้างม้าวัวควาย ตลอดจนบุตรภรรยา ก็ขอให้ตกเป็นของเขาเช่นกัน! ส่วนเจ้าช้างเพชฌฆาตเมื่อมันไม่กล้าเหยียบพวกเจ้า ก็ถือเสียว่าพวกเจ้าแลมันมีวาสนาร่วมกัน ฉะนั้นข้าขอยกมันให้เป็นสมบัติของพวกเจ้าทั้ง ๓๓ ก็แล้วกัน! คำตัดสินของข้ามีดังนี้ พวกเจ้าทั้ง ๓๓ เห็นเป็นเช่นไร?
มฆมานพแลพวกพอฟังก็ถึงกับลิงโลดจนเก็บอาการไม่อยู่ รีบละล่ำละลักตอบไปเสียงที่สั่นฟันกระทบกันว่า ทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นเหลือพระพุทธเจ้าข้า! จากนั้นพวกเขาก็ขอพระราชอนุญาตลากลับยังเคหสถานบ้านเรือนตน
ระหว่างทางทุกคนต่างพูดถึงความอัศจรรย์แห่งอานิสงส์ผลบุญกันแทบไม่หยุดปาก ไม่มีใครคาดคิดว่าบุญนั้นจักย้อนกลับมาให้ผลได้อย่างรวดเร็วถึงปานฉะนี้ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ! นี่แหละที่เขากล่าว ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม นั้น มันช่างจริงแท้แน่นอนเสียนี่กระไร หลังจากปรารภเรื่องบุญกันอย่างไม่รู้จักเบื่อจักหน่าย พวกเขาต่างก็แย่งกันขี่ช้างพระราชทานกันอย่างสนุกสนานระหว่างทางกลับนั่นเอง!
นับจากผ่านเหตุการณ์วิกฤตมาได้อย่างหวุดหวิด พวกของมฆมานพทั้ง ๓๓ ก็ไม่มีใครยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ละวันพวกเขาจักต้องกระทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลกันอย่างน้อยวันละครั้ง จนวันหนึ่งมฆมานพได้นัดสหายมาพบหลังจากไม่เจอกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง พอไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเป็นที่คลายความคิดถึงเขาได้พูดขึ้นว่า
เออแน่ะสหาย ตั้งแต่เราสร้างถนนให้ผู้คนใช้สัญจรกันเป็นที่สบายแล้ว ที่ผ่านมาเรายังมิได้ประกอบกองการกุศลอันใดที่จักก่อให้ เกิดเป็นบุญใหญ่ๆขึ้นเลย ข้าพเจ้าเห็นว่าถึงเวลาที่เราควรจักสร้างอะไรสักอย่างที่เป็นมหาบุญมหากุศลกันแล้ว ทุกท่านเห็นอย่างไร? บรรดาสหายพอฟังทุกคนต่างก็เห็นพ้อง แต่มีคำถามแล้วจะสร้างอะไรล่ะ? แต่ละคนต่างก็เสนอความคิดกันไปต่างๆนานา สุดท้ายสรุปว่าควรสร้างศาลาหลังใหญ่สักหลัง ตั้งอยู่บนทางสี่แพร่ง และต้องเป็นศาลาที่ทั้งใหญ่และแข็งแรงกว่าศาลาใดๆทั้งหมดที่เคยมีมา
เมื่อทุกคนต่างลงความเห็นตรงกันเพื่อไม่ให้เสียเวลาพวกเขาจึงพากันไปยังบ้านนายช่างเพื่อเจรจาว่าจ้างทันที แต่มีข้อแม้ ศาลาหลังนี้จักต้องไม่ให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนในบุญด้วยเด็ดขาด เนื่องจากสตรีนั้นมีนิสัยจู้จี้จุกจิก ขืนให้ร่วมบุญด้วยดีไม่ดีโครงการพวกเขายังมิทันจักเริ่มก็อาจจักต้องล้มพับไปก่อนก็เป็นได้ ฉะนั้นอย่าให้พวกนางรับรู้นั่นแหละ จึงจักเป็นการดีที่สุด!
หลังตกลงราคาแล้วถัดจากนั้นไม่กี่วันบุรุษทั้ง ๓๓ พร้อมนายช่างก็มารวมกันที่บ้านมฆมานพเพื่อพูดคุยในรายละเอียด ระหว่างประชุมนางสุธรรมาซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ ภรรยาของมฆหนุ่ม (สุธรรมา สุนันทา สุจิตรา และ สุชาดา) ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของสามีแลเพื่อนๆ จึงเฝ้าจับตาอยู่ไม่ห่าง พอพวกเขาประชุมเสร็จต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน นางจึงแอบตามนายช่างไป จนกระทั่งเห็นว่าปลอดคนจึงเรียกให้เขาหยุด จากนั้นก็เดินเข้าไปพูดจาเลียบๆเคียงๆถามถึงสาเหตุที่ประชุมกันว่ามีด้วยเรื่องใด
ช่างใหญ่ทีแรกก็บ่ายเบี่ยง ด้วยมฆมานพและพวกย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามมิให้ผู้หญิงรู้เด็ดขาด แต่พอนางหยอดคำหวานเข้าหน่อยในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ ต้องเผลอหลุดปากบอกความจริงให้นางทราบ นางสุธรรมาครั้นรู้สามีแลเพื่อนๆคิดจักสร้างกองการมหากุศลแต่ไม่ยอมบอกให้ตนทราบเพราะกลัวจะขอมีส่วนในบุญด้วย ก็เกิดโมโหขึ้นมาทันใด คิดอยู่ในใจว่า ดีล่ะ! อย่างนี้จักต้องแก้ลำให้เข็ด! ดังนั้นจึงพูดหว่านล้อมนายช่างหวังจักให้เข้าเป็นพวกว่า
พี่ช่างจ๊ะ! อันว่าบุญนั้นจักจำกัดด้วยเพศก็หาไม่ หรือจำกัดด้วยวัยก็หาไม่ มิว่าจักเป็นบุรุษฤาสตรี หรือจักวัยชราฤาทารก ทุกคนต่างก็มีสิทธิ์ประกอบกองการกุศลได้เท่าเทียมกัน พี่ช่างว่าจริงมั้ยจ๊ะ ขอพี่ช่างจงให้ฉันได้มีส่วนในบุญครั้งนี้ด้วยคนเถิดนะพี่นะ! ไม่เพียงวิงวอนแค่คำพูด ว่าแล้วนางก็ควักห่อผ้าขึ้นมาคลี่เผยให้เห็นถึงสิ่งของข้างใน ซึ่งล้วนแต่เป็นทองคำก้อนขนาดหัวแม่มือเหลืองอร่ามสะดุดตาสะดุดใจเสียยิ่งนัก!
นายช่างเพียงเห็นรัศมีของมันก็ถึงกับตาลายจนพูดอะไรไม่ออก คำปฏิเสธที่คิดจะกล่าวก็มีอันต้องหยุดอยู่แค่ริมฝีปาก ตรงข้ามเขากลับรีบตกปากรับคำว่าจักให้นางได้มีส่วนในบุญครั้งนี้ด้วยแน่นอน นางสุธรรมาครั้นเห็นกำลังเป็นต่อจึงไม่รอช้า รีบสำทับไปอีก พี่ช่างจ๊ะ! ศาลาหลังนี้ขอฉันเป็นใหญ่เหนือใครทั้งหมดเลยนะจ๊ะ
ช่างใหญ่ผู้หลงใหลในสีเหลืองอร่าม ขณะกำลังมัดปากถุงเจ้าก้อนล้ำค่าเพื่อป้องกันมิให้สูญหาย พอฟังนางขอมาก็มิได้คิดหน้าคิดหลังอันใด รีบรับปากไปทันที จะเป็นไรไปเล่าแม่หญิงสุธรรมา ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจักไปตัดเอาไม้สำหรับทำช่อฟ้ามาตากรอท่าไว้เลย พอแห้งดีเมื่อใดก็จักสลักชื่อแม่ลงไป จากนั้นก็จักนำไปซ่อนไว้ที่เรือนแม่ รอจนศาลาเสร็จเมื่อไรแหละจักทำพิธีเปิดนั่นแหละ ข้าพเจ้าก็จักแกล้งบอกว่าลืมทำช่อฟ้าเตรียมไว้ พอพวกเขาหาไม้มาทำช่อฟ้าไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องมาขอเอากับแม่เอง ครานั้นแหละแม่หญิงเอ๊ย.... แม่จักเรียกร้องอย่างไร มีหรือพวกเขาจักกล้าปฏิเสธ!
แหละพอพวกเขาเอาช่อฟ้าของแม่ไปติดไว้ที่ศาลา พอมีแขกไปใครมาทุกคนต่างก็เห็นว่าศาลาหลังนี้ชื่อว่า ศาลาสุธรรมา รับรองแต่นี้ต่อไปชื่อเสียงของแม่จักต้องขจรขจาย จนเป็นที่รู้จักของชนทั่วไปเป็นแน่! นางสุธรรมาพอฟังช่างหัวใสกล่าวก็ให้รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เกิดความสุขจนยากจักบรรยาย รีบกำชับเขาว่าอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้เด็ดขาด จากนั้นจึงลากลับไปด้วยใจที่เป็นสุข!
จำเนียรกาลผ่านไป ศาลาหลังใหญ่หลังจากที่ใช้เวลาก่อสร้างเป็นแรมปี ในที่สุดก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี ทันทีที่ศาลาเสร็จมฆมานพแลสหายต่างก็อดใจเอาไว้แทบไม่ไหว พวกเขาอยากจักเปิดให้คนเข้าพักเสียเลยวันนี้ถ้าเป็นไปได้ ขณะสนทนาอย่างมีความสุข จู่ๆช่างใหญ่ก็อุทานขึ้น ตายจริงนายท่าน! ข้าพเจ้าลืมสนิทว่ายังมิได้จัดทำช่อฟ้าเตรียมไว้ นายท่านทั้งหลายก็อยากจักเปิดศาลาให้ได้โดยไวเสียด้วยซิ แล้วอย่างนี้จักทำเยี่ยงไรดีขอรับ?
มฆมานพแลพวกพอได้ยินดังนั้นความสุขที่มีเมื่อครู่ก็ถึงกับมอดมลายลงไปจนหมดจนสิ้น รีบสั่งให้ช่างขี้ลืมไปจัดทำเป็นการด่วน เพราะหากช้าไปหนึ่งวันบุญพวกเขาก็ลดลงไปหนึ่งวันเช่นกัน ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น! ช่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นบรรดานายๆต่างร้อนใจจึงแกล้งอิดออด
เรียนนายท่าน ไม้ใช้ทำช่อฟ้าเราไม่อาจใช้ไม้ที่ตัดออกมาใหม่ๆสดๆได้นะขอรับ! ต้องเป็นไม้ที่ตากจนแห้งสนิทไม่ยืดหรือหดตัวอีก อย่างน้อยต้องทิ้งไว้เป็นปีหรือครึ่งปีน่ะขอรับ ถึงจักใช้ได้! บุรุษทั้ง ๓๓ พอฟังดังนั้นก็ถึงกับอุทานออกไปแทบจะพร้อมกัน อะไร! นานเป็นปีเชียวรึ?
ช่างหัวใสเมื่อเห็นอาการพวกเขาก็รู้ว่าเข้าทางตนแล้ว จึงแกล้งนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ทำตาวาวบอกว่า ใจเย็นๆก่อนนายท่าน หากจำไม่ผิดข้าพเจ้าเหมือนเคยจักเห็นไม้ดังว่านี้วางทิ้งอยู่บนเรือนแม่หญิงสุธรรมาแผ่นหนึ่ง พวกเราน่าจักไปขอซื้อจากนางได้นะขอรับ! พอได้ยินดังนั้นบรรดาชายฉกรรจ์ทั้ง ๓๓ ก็ไม่มีใครรอช้า รีบตรงดิ่งไปยังบ้านของนางสุธรรมาทันที!
กล่าวถึงนางสุธรรมา หลังได้ข่าวจากนายช่างว่าศาลาสร้างเสร็จนางก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจ ครานี้แหละถึงทีตนบ้าง จะขอแก้ลำสามีแลเพื่อนๆให้หัวหมุนทีเดียว คอยดูเถอะ! พอเห็นมฆมานพแลพวกยกโขยงมุ่งหน้ามายังเรือนตน จึงรีบกุลีกุจอ ลุกออกไปต้อนรับทันที หลังจากทักทายพอเป็นพิธีนางก็วกเข้าเรื่องถามถึงสาเหตุที่มา ว่ามีด้วยเรื่องใด? หรือต้องการจักให้นางรับใช้สิ่งใดก็บอกได้เลย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนางก็พร้อมที่จักช่วยเหลือ มฆมานพพอฟังคำพูดภรรยาเหมือนจักเป็นการเปิดทางให้กลายๆ จึงหันไปสบตาพวกพ้อง จากนั้นจึงค่อยๆเลียบๆเคียงๆถามถึงแผ่นไม้จากนางว่า
น้องหญิงจ๊ะ! พี่ได้ยินมาว่าที่เรือนเจ้านั้นมีแผ่นไม้ที่เก่าคร่ำคร่าอยู่แผ่นหนึ่ง วางทิ้งอยู่เฉยๆมิได้ถูกนำไป ใช้ประโยชน์อันใด รังแต่จักเป็นที่เกะกะรกลูกนัยน์ตา มิหนำซ้ำยังจักพาให้บ้านช่องต้องหมดสง่าราศี แถมดีไม่ดียังจักกลายเป็นอาหารของพวกปลวกมอดอีกก็เป็นได้ พี่ ฟังนายช่างบอกแล้วไม่สบายใจเลย เกรงว่าเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จักพานลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงขั้นทำให้บ้านช่องต้องพินาศลงได้ มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆเลยใช่มั้ยจ๊ะ? บังเอิญแท้เพลานี้พวกพี่กำลังต้องการใช้ไม้ดังว่าพอดี ฉะนั้นจึงถือเป็นโชคของน้อง จักได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองจ้างคนแบกไปทิ้ง ประเดี๋ยวพวกพี่จักจัดการให้ ไม่ทราบน้องหญิงเห็นเป็นประการใด?
ระหว่างที่พูดหว่านล้อมภรรยา สายตาของมฆมานพก็มักชำเรืองไปทางหมู่เพื่อนอยู่บ่อยครั้ง เหมือนจะเป็นการถามกันกลายๆว่าเป็นไง? ตัวเขาแน่มั๊ย? บรรดาสหายเมื่อเห็นลีลาการตะล่อมภรรยาของเพื่อนผู้นำทุกคนต่างก็ยอมศิโรราบให้เขาจนหมดหัวใจ ทุกครั้งที่มฆหนุ่มพูดจบประโยค แต่ละคนต่างก็พยักหน้ากันให้ปลกๆทุกครั้งไปด้วยเช่นกัน ทำให้นางสุธรรมาที่แอบเห็นแทบจะกลั้นหัวร่อเอาไว้ไม่อยู่ นางรู้สึกการได้ฟังสามีพูดคำหวานโดยชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อจักขอเอาแผ่นไม้ไป มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนุกเสียนี่กระไร อย่างไรก็ตามพอเขาพูดจบนางได้ตอบไปว่า
โอ๊ะโอ๋! ทูนหัวของน้อง น้องรู้สึกซาบซึ้งในความปรารถนาดีของพ่อเสียเหลือเกิน แต่ไม้แผ่นนี้มันมิได้ถูกทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ดอกนะ น้องตั้งใจจักเก็บไว้ทำช่อฟ้าศาลาที่น้องคิดจักสร้างในวันข้างหน้า เพราะไม้ที่จักทำช่อฟ้าได้จักต้องเป็นไม้ที่ตากจนแห้งสนิทไม่ยืดหรือหดอีก อย่างน้อยต้องทิ้งไว้เป็นปีหรือครึ่งปี ถึงจักใช้ได้ แลไม้แผ่นนี้มันก็ตากจนแห้งอยู่ตัวแล้ว เหมาะจักใช้ทำเป็นช่อฟ้าที่สุด! ฉะนั้นน้องคงให้ไม่ได้ดอก
ส่วนเรื่องปลวกมอดขอพ่ออย่าได้เป็นกังวลเลย น้องคอยหมั่นดูแลในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว นอกจากเรื่องไม้แล้วไม่ทราบยังมีธุระอันใดอีกหรือไม่? เห็นยกโขยงกันมาเสียตั้งมากตั้งมาย! บรรดาชายหนุ่มพอฟังนางตอบเป็นที่ผิดคาด แถมยังพูดเป็นทำนองเหมือนจักระแคะระคายถึงแผนพวกตนอีก ต่างก็อ้ำๆอึ้งๆกันไปตามๆกัน ไม่มีใครกล้าสบตานาง
มฆมานพเห็นสถานการณ์ไม่เป็นดังคาด เพื่อต้องการลดความกระดากพวกพ้อง จึงเสพูดว่า โถ..น้องหญิง! เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามเสียนี่กระไร พี่แลเพื่อนๆเมื่อรู้เจตนาแล้วก็ขออนุโมทนาด้วย แต่ศาลาที่ว่ามันยังไม่ได้สร้างมิใช่รึ? แลจักสร้างเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉะนั้นหากพี่จักขอซื้อไม้แผ่นนี้ไปก่อน แม่จักว่าอย่างไร?
นางสุธรรมาพอฟังคำพูดสามีก็รู้แล้วว่าตนนั้นเป็นต่อ จึงแกล้งตอบไปว่า โถ! คนดีของน้อง ไยพ่อจึงกล่าวเยี่ยงนั้น เราสองเป็นสามีภรรยากันมาก็นานโข ไฉนกับไม้แผ่นเดียวก็ถึงขั้นต้องซื้อต้องขายเชียวรึ ไม่ทราบพ่อพอจักบอกได้มั้ยว่าพ่อจักเอามันไปทำอะไร? บรุษทั้ง ๓๓ พอฟังนางถามเข้าเป้าทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าตอบคำถามนาง มฆมานพคิดอยู่ในใจ การนี้หากแม้นไม่พูดความจริง เห็นทีคงยากจักได้แผ่นไม้ไปจากนางแน่! ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจตอบแทนสหายว่า
น้องหญิงจ๊ะ! ในเมื่อเจ้าถามอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไหนๆเจ้าก็ต้องทราบความจริงไม่วันใดก็วันหนึ่ง ฉะนั้นพี่ขอ บอกในเพลานี้เลยก็แล้วกัน ที่ผ่านมาพี่แลสหายได้ร่วมกันสร้างศาลาขึ้นมาหลังหนึ่ง แหละมันก็ได้สำเร็จลุล่วงแล้วในวันนี้ พี่แลเพื่อนๆตั้งใจจักทำพิธีเปิดศาลากันในวันพรุ่งนี้ แต่บังเอิญนายช่างบอกว่าลืมทำช่อฟ้าเตรียมไว้ มารู้อีกทีก็ไม่ทันการณ์แล้ว ไม่รู้จักไปหาไม้ได้จากไหน โชคดีเขาบอกเห็นมีอยู่ที่เรือนเจ้าแผ่นหนึ่ง ดังนั้นพี่แลพวกๆจึงพากันมาหาเจ้า ก็ด้วยสาเหตุนี้แล
นางสุธรรมาพอได้ฟังคำสารภาพของสามีทั้งที่ตนก็ทราบอยู่แล้ว จึงแกล้งเยินยอพวกเขาว่า พ่อคุณเอ๋ย! พวกพ่อนี่ช่างน้ำใจงามเสียนี่กระไร พ่อยอมลำบากลำบน ยอมทนเหน็ดทนเหนื่อย ยอมสละกำลังกายกำลังทรัพย์ ยอมเสียสละเวลา แทนที่จักไปกินเหล้าเมายา เกี้ยวพานารี เยี่ยงดังบุรุษมากมีเขาทำกัน แต่พ่อกลับพากันมาสร้างสิ่งอันเป็นประโยชน์ มันช่างเป็นโชคของผู้คนจริงๆ จักได้มีที่พักพิงหลับนอน ไม่ต้องทนไปค้างอยู่กลางป่า ให้มันเสี่ยงต่อภัยนานาสารพัด อานิสงส์แห่งการนี้ คงจักมากมีเสียยิ่งนัก หากพวกพี่ไม่ติดขัด น้องขอแบ่งรับด้วยเป็นไร สำหรับเรื่องช่อฟ้า น้องพร้อมโมทนามอบยกให้ ผองพี่ยาเห็นเป็นประการใด โปรดตัดสินใจบอกมา?
มฆมานพแลสหายพอฟังถ้อยคำอันไพเราะของนางกล่าวชมเชยพวกตนต่อหน้า ต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันไปตามๆกัน แต่พอนางเอ่ยปากขอแบ่งบุญด้วยเท่านั้นยิ้มที่บานจนเห็นฟันเกือบจักทั้งปาก บัดนั้นก็พลันหุบลงจนมองแทบไม่ทัน ไม่มีผู้ใดกล้าตอบคำถามนาง ช่างเจ้าเล่ห์ที่นิ่งมาตลอด บัดนี้หากเขายังขืนนิ่งอีก เห็นทีสัญญาที่เขาและนางตกลงกันไว้อาจจักต้องกลายเป็นโมฆะก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นของสมนาคุณที่นางมอบให้ เห็นทีคงจักต้องถูกทวงกลับเสียเป็นแน่! คนอย่างเขามีหรือจักยอมให้อ้อยที่เข้าปากช้างแล้วถูกดึงกลับไปได้ ไม่มีวันเสียล่ะ! พอคิดดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบลุกขึ้นกล่าว
นายท่านทั้งหลายนี่ก็กระไร! เว้นจากพรหมโลกแล้วมีที่ไหนบ้างเล่าที่ไม่มีสตรี? ข้าพเจ้าเห็นว่าความคิดที่มิให้มาตุคามเข้ามามีส่วนในบุญนั้น ควรตัดไปก่อน! สิ่งสำคัญตอนนี้จักทำอย่างไรถึงจักเปิดศาลาให้คนเข้าพักได้ต่างหาก? หากให้แม่หญิงสุธรรมาร่วมบุญด้วย พรุ่งนี้เราก็ฉลองศาลากันเลย จักเอาให้อึกทึกแค่ไหนก็มิเห็นเป็นไร? นายท่านเห็นเป็นประการใด? บุรุษทั้ง ๓๓ พอฟังช่างหัวใสผู้มีศิลปในการเจรจาชี้แจง ในที่สุดพวกเขาก็จำต้องยอมให้นางสุธรรมาได้เข้ามีส่วนในบุญ ดังนั้นศาลาหลังนี้จึงได้ชื่อว่า ศาลาสุธรรมา ตั้งแต่บัดนั้นมา
ลักษณะศาลา เป็นศาลาชั้นเดียวยกสูงเหนือดิน พื้นปูด้วยกระดานเนื้อแข็งจำนวน ๓๓ แผ่น กระดานเหล่านี้มฆมานพและสหายต่างก็ไปเลือกเฟ้นกันมาคนละแผ่น พื้นที่ใช้สอยแยกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นที่พักของคนเข็ญใจ ส่วนที่สองเป็นที่อาศัยของคนเจ็บไข้อนาถา และส่วนที่สามเป็นที่พักเท้าของผู้ผ่านทาง
สำหรับส่วนที่สามนี้หากผู้มาพักต้องการค้างแรม ถ้าเขานั่งหรือนอนบนกระดานของใครเจ้าของกระดานจักต้องเชิญแขกผู้นั้นขี่ช้างพระราชทาน พาไปค้างคืนที่ยังบ้านตน พร้อมทั้งปรนนิบัติรับใช้อย่างชนิดไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
เช่นจัดเตรียมข้าวปลามาให้ ตักหาน้ำท่ามารอไว้ รวมถึงนำหมอนผ้าห่มมาให้ใช้หนุนนอนหรือห่มกันหนาวเป็นต้น แลหากแขกผู้มาพักเกิดเจ็บไข้ไม่สบายเขาก็ต้องทำการรักษาจนกว่าแขกผู้นั้นจะหายเป็นปกติ จากที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้มาพักอย่างดีเลิศนี้เอง ในเวลามินานเท่าใดศาลาหลังนี้ก็กลายเป็นที่เลื่องลือ จนชนทั้ง หลายต่างรู้จัก และพากันกล่าวขวัญถึง!
ย้อนมาด้านภรรยาอีกสองนางของมฆมานพนั่นคือ นางสุนันทา และ นางสุจิตรา นางทั้งสองพอทราบนางสุธรรมาได้มีส่วนในบุญร่วมกับสามีแต่พวกนางกลับไม่รู้เรื่อง ก็ให้รู้สึกว่าตนนั้นช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร ปล่อยให้นางสุธรรมาได้บุญไปแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงปรึกษากันว่าจักทำอย่างไรตนทั้งคู่จึงจักเข้าไปมีส่วนในบุญได้บ้าง?
นางสุนันทานั้นเป็นผู้ที่มีสติปัญญา นางคิดว่านางควรจ้างคนมาขุดสระขึ้นสักสระ เผื่อยามอากาศร้อนแขกผู้มาพักอยากจักอาบน้ำ จักได้ลงสระสรงในสระของนางได้ ไม่ต้องทนนั่งอมเหงื่ออมไคลให้มันเป็นที่เหนอะหนะไม่สบายตัว
ส่วนนางสุจิตราพอเห็นเพื่อนร่วมสามีคิดวิธีการได้ก็รู้สึกว่าตนจักมัวชักช้าไม่ได้แล้ว จำต้องรีบหาทางโดยไว แต่จะทำอะไรดี? คิดไปคิดมานางก็นึกได้ว่าเมื่อแขกผู้มาพักอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว พวกเขาก็ควรประดับด้วยดอกไม้ของหอมซิ ถึงจักเป็นที่สบายอุราอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไปจ้างคนมาปลูกสวนดอกไม้ไว้รอบๆศาลา แลพันธุ์ไม้ที่นางนำมาปลูกนั้น แต่ละชนิดก็ล้วนแต่มีสีสันของดอกสวยงาม มีกลิ่นหอมสดชื่น ทุกๆยามสายหากใครเฉียดกรายไปใกล้ศาลาหลังนี้ เขาจักสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันจรุงหอมฟุ้งของมวลดอกไม้นานาพันธุ์ หอมตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณแทบนั้น เหมือนดังกับว่ากำลังเพลิดเพลินเดินอยู่บนเมืองแมนแดนสวรรค์ก็มิปาน!
ฝ่ายมฆมานพเมื่อเห็นนางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้เขาก็เกิดความคิดว่าศาลาหลังนี้ควรจักมีไม้ใหญ่ขึ้นไว้สักต้นสำหรับเป็นร่มเงา ดังนั้นจึงไปล้อมเอาต้นทองหลางมาปลูกไว้ไม่ไกลจากศาลามากนัก ไม่พอเท่านั้น ยังไปขุดเอาแผ่นหินขนาดพอที่ผู้คนจักนั่งหรือนอนได้อย่างสบายมาอีกแผ่นหนึ่ง นำไปตั้งไว้ที่โคนต้นทองหลางอีก
วันดีคืนดีตัวเขานั่นแหละแอบมานั่งเฝ้าชื่นชมในบุญในกุศลที่ตนแลสหายได้ทำลงไป (อานิสงส์ของการปลูกต้นทอง หลางและนำแผ่นหินมาตั้งให้คนนั่ง เมื่อมฆมานพตายจากมนุษย์สิ่งทั้งสองก็ได้ตามเขาไปอุบัติที่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วย โดยต้นทองหลางไปเกิดเป็นต้นปาริชาต ส่วนแผ่นหินไปอุบัติเป็นแท่นบันฑุกัมพลศิลาอาสน์)
คงมีแต่ นางสุชาดา ภรรยาคนสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกองการกุศลครั้งนี้แม้แต่น้อย เนื่องจากคิดว่าตนนั้นเป็นถึงภรรยาสุดที่รัก แถมยังเป็นลูกของลุง ดังนั้นสิ่งที่สามีทำก็เหมือนกับสิ่งที่ตนทำ จักต้องไปคิดให้มันยุ่งยากสมองทำไม? สู้เอาเวลามาเขียนคิ้วทาตาไว้รอท่าสามี มิดีกว่ารึ? ฉะนั้นกองบุญอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้จึงมีแต่นางผู้เดียวที่มิได้ทำการสิ่งใด อันจักก่อให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นกับตัวนางเอง แม้แต่เพียงนิดเดียว!
(จบภาคแรก)
สืบ ธรรมไทย
ที่มา : พุทธชาดก
เปิดอ่านหน้านี้ 3271