ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ
: พุทธทาสภิกขุ เนื้อสัตว์
-
.
พุทธทาสข้อคิดพิจารณาธรรม
ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์?
เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ
ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม
ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น
เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผักแต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า
“คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย”
ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน “สัจธรรม”
คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง “ดวงธรรมแห่งสัจจะ”ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรงดังนั้นการฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆวัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า
“สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์”
ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน“ทมะ”ธรรม
“ทมะ” คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวันการข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน
โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิดการเลี้ยงพระในงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แมกระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อคงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน “แบ่งอิทธิพล”
ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน “สันโดษ”
สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่าข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด “สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต”
ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน “จาคะ”
จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ
ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิตความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ
ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน “ปัญญา”
ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิมปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน
แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผักความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี!เพราะฉะนั้นฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ
ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่? เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก
************************************
อย่ากินผมเลย ! กลอนสะกิดใจ
สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว
เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง
เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง
เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ
เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน
อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา
สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา
ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน
มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น
พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น
เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี
มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี
ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน
เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน
ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์
ใครๆ ก็ไม่รักผม
สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว
เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง
เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง
เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ
เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน
อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา
สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา
ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน
มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น
พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น
เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี
มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี
ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน
เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน
ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์
ใครๆ ก็ไม่รักผม
> อ้างถึงกระทู้ เรือ่งแผ่เมตตา
>
> อยากให้เพื่อน ได้เข้าดูเวป ที่แนบมา
>
> ชีวิตที่ร่ำไห้
> เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ผลิต คือ สำนักพิมพ์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
>
> เพื่อให้เราตระหนักถึงคำที่พระพุทธตรัสว่า.. เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
> พาไปดูเบื้องหลังของชีวิตสัตว์ที่เรา-ท่านทั้งหลายบริโภคกัน ตั้งแต่ถูกเลี้ยงมา
> กระทั่งถูกลำเลียงมา ฆ่า
>
>
> มองให้เห็นถึงใจเขาใจเรา โดยเอาใจเราไปใส่ใจเขา รับรู้และรู้สึกเหมือนเขา
> นำมาเปรียบกับเราอีกที
>
>
> เป็นความจริงว่า.. สัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเขา จะเราก็ย่อมรักตัว
> กลัวตายทั้งสิ้น
>
>
> ทุกเหล่าสรรพสัตว์มีวิญญาณ การรับรู้ เจ็บเป็น กลัวเป็น
>
>
> เราท่านซึ่งเป็นมนุษย์(แปลว่าผู้ที่มีใจสูง)ที่ยังคงบริโภคสัตว์อื่นอยู่ด้วยความสะใจ
> จะสะท้อนคิดไหม ว่าหากเราโดนกระทำเช่นนั้นบ้าง
> หรืออาจจะกับพ่อแม่และคนที่เรารัก เราจะรู้สึกอย่างไร
>
>
> กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับกรรม
>
>
> กินตามใจปาก ตามความอยากจนเคยตัว โดยขาดปัญญา ไม่คำนึงถึงที่มา
> ว่าทุกชิ้น-เนื้อที่เข้าปาก มันคือชีวิตที่สูญเสียไป
>
>
> ว่ากันว่า "ป่าช้าที่ใหญที่สุดในโลกนี้ อยู่ที่ท้องคน" เป็นความจริง
> เพราะเติบโตมาจนบัดนี้จะมีใครสักกี่คนรู้ได้ว่า มีกี่ศพ กี่ชีวิตแล้ว
> ที่ต้องสังเวยให้แก่เรา นั้นเพราะว่ามันมากมายมหาศาล
>
>
> กระแสแห่งกรรมย่อมทำหน้าที่ของมันโดยเที่ยงธรรม
>
>
> ก่อนจะสายเกินไป มากู้เมตตาธรรมที่มันแอบอยู่ในหลืบใจเรากลับคืนมาซิครับ
>
>
> ใครที่ผ่านการเข้าค่ายคุณธรรมมาบ้างแล้ว อาจจะได้ดูบ้างแล้ว
> ก็ถือว่าเป็นการมาย้ำสำนึก เพื่อนสมาชิกอื่น ๆ ยิ่งต้องดูครับ
>
>
> เวปลิงค์ ที่เข้าไปดูได้
>
www.youtube.com/watch?v=RxTnxG4Hzmk
>
>
file:///D:/user/touu034272334
>
ขอยกคำสอนของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง มา ณ ที่นี้
หลวงพ่อเคยสอนผม หลังจากผมเรียนท่านว่า
“ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า พระอริยเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้สนใจแล้วว่าอันนี้ผักหรือเนื้อ
คือมองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ และฉันเพียงเพื่อให้ธาตุขันธ์ดำรงอยู่ได้
แต่หลวงพ่อไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้จะไม่เป็นการขัดกันหรือครับ”
หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔
แต่อันนั้นก็ต้องระวังว่า กิเลสความอยากกินเนื้อมันก็มีแอบแฝงไว้เหมือนกัน
สำหรับบางคนที่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง
สำหรับหลวงพ่อเอง เราไม่ฉันก็เพราะสงสารสัตว์เขาน่ะ
พูดกันตรงๆ แบบคนเดินดินธรรมดาๆ นี่แหละ คิดดูซิ เอาเลือดเอาเนื้อของเขามากิน
อย่างหมู หรือวัว ควาย ทุบหัวเขาแล้วยังมาแทงคอเขาซ้ำอีก
มันทารุณเหลือเกิน เป็ดไก่ ก็เหมือนกัน เชือดคอแล้วก็ปล่อยให้มันดิ้นพรวดพราด
เลือดนี้ไหลพุ่งทะลักออกมา เจ็บปวดแค่ไหนเอ็งน่าจะรู้ดี และถ้าเป็นเอ็งโดนบ้างแล้วจะรู้สึกอย่างไร
ก็ขนาดเราถูกมีดบาด แผลนิดหนึ่งยังว่าเจ็บๆ แล้วนั่นเอ็งว่าสัตว์เขาจะเจ็บแค่ไหนล่ะ
หรืออย่างกะปิ น้ำปลา กะปิหนึ่งกระปุก ใช้กุ้งกี่ตัว น้ำปลาหนึ่งขวด
ทำจากปลาเล็กกี่ตัว นับไม่ถ้วนเลย
คนเราในช่วงเกิด แก่ เจ็บ ตายในหนึ่งชีวิตนี้น่ะ ต้องอาศัยเลือดเนื้อของสัตว์อื่นไปตั้งเท่าไร
ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่งดการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก
แล้วเราก็หมั่นแผ่เมตตาบารมีอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกไป ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
แค่นี้แหละไม่ยากอะไรไม่ใช่หรือ”
แต่พระองค์ก็อนุญาตให้พระไม่ฉันเนื้อด้วยรังเกียจในเนื้อสัตว์ด้วยสาเหตุหลายประการไม่ใช่หรือ
หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าอะไรใครเขา เราดูแต่ตัวเรา ปรารถนาเอาเมตตาเป็นสัจจะบารมี
พร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ และความเพียรไม่ท้อถอย เราก็พ้นทุกข์ได้เช่นกัน”
และท่านให้ธรรมะเพิ่มเติมอีกว่า “คนเรามันก็แค่หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
กินดีแค่ไหนก็ขี้ออกมาสกปรกเหมือนกัน เข้าแล้วก็ออกอยู่อย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรนักหนา
ทำไมต้องไปเอาเลือดเนื้อของเขามาบำรุงบำเรอตน
หลวงพ่อเองก็กินผักกินหญ้าไปวันหนึ่งๆ ก็พออยู่ได้แล้ว”
--------------------------------------------------------------------------
ความเห็นจาก พระอาจารย์
อาตมามั่นใจว่าหากชาวพุทธปฏิบัติศีลข้อ ๑ อย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีเนื้อสัตว์กินแล้ว
เพราะไม่มีใครฆ่ามาขาย หรือฆ่ามากิน ยิ่งอาชีพที่ชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าห้ามอีก
เป็นมิจฉาอาชีพ(อาชีพที่ผิดเป็นบาป) ๕ ประการ คือ
๑.การค้าขายอาวุธ
๒.การค้าขายสัตว์เป็น
๓.การค้าขายเนื้อสัตว์
๔.การค้าขายยาพิษ
๕.การค้าขายสิ่งเสพติด มอมเมา
อนุโมทนาสาธุกับโยมที่มีความเห็นที่ถูกต้องใน
เรื่องนี้ ธรรมรักษา
พอสรุปได้ในตัว นอกจากสุขภาพ ที่ดีกว่า ยังทำให้ศีล มั่นคง
เว้นจากการฆ่า สังหาร
เว้นบริโภคเนื้อสัคว์ เพื่อเมตตาธรรม ต่อสรรพสัตว์ เืพื่อนร่วมโลก
สารพัดพิษที่มากับเนื้อสัตว์
สารพัดพิษที่มากับเนื้อสัตว์
คนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น มักนิยมรับประทานแฮมเบอร์เกอร์ เนื้อไก่ น่องไก่ ตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งมีอยู่เกลื่อนในเมืองไทย เป็นค่านิยมที่ถูกปลูกฝัง ให้มีวัฒนธรรมในการกินแบบผิดๆ หากไม่ถอนตัวเสียแต่วันนี้ ก็เตรียมรับมือกับโรคภัย ที่จะมา เยือนในไม่ช้า
รองศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี สุทธจิตต์
นี่เป็นความผิดพลาดทางโภชนาการ อันใหญ่หลวงของมนุษย์ ในศตวรรษที่ผ่านมา เพราะเป็นยุคที่เราเห่ออาหารฝรั่ง อเมริกัน และอาหารตะวันตก ซึ่งเป็นสินค้าข้ามชาติ
ฝรั่งเขาปรุงรสชาติอาหารให้มีรสอร่อย ติดใจและกินง่าย ให้เป็นอาหารจานด่วนหรือ “ฟาสต์ฟู้ด” ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายเรื้อรังอย่างรวดเร็ว เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น
ถ้าเป็นเช่นนี้ “ฟาสต์ฟู้ด” ก็จะกลายเป็น “ฟาสต์ฟุบ” ของคนอเมริกันไปในที่สุด
สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ได้วิจัยพบว่า ผู้ที่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์ จะมีปริมาณระดับโคเลสเตอรอลสูงถึง ๒๑๐ มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลในเลือด หากมีปริมาณมาก มันจะตกตะกอน เกาะติดกับผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบ และเกิดเส้นเลือดแข็ง หากเป็นเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ ก็จะทำให้หัวใจวายในที่สุด
โคเลสเตอรอลมีมากที่สุดในไขมันสัตว์ และไม่สามารถละลายได้ในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสม อยู่ตามผนังของเส้นเลือด ก่อให้เกิดภาวะอุดตันในเส้นเลือด หรือเส้นเลือดตีบ เมื่อเลือดไหลผ่านได้น้อย หัวใจต้องทำงาน หนัก ในการสูบฉีด เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคหัวใจ
อาจารย์กนกวรรณ อุโฆษกิจ
การประชุมโรคหัวใจ… รายงานการป้องกันโรคหลอดเลือดว่า บทบาทของสารต้านออกซิแดนท์ ผักและผลไม้ ได้เป็นที่ยอมรับของผู้ X วชาญกว่า ๔๐ คนว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เชื่อได้ว่า การกินผักและผลไม้ ที่มีสารต้านออกซิแดนท์มากๆ นั้น ช่วยลดการเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดได้
บทความจากกองทุนวิจัยมะเร็งแห่งโลก สรุปว่า อาหารที่มาจากพืช สามารถป้องกันการเกิดมะเร็ง ในสหราชอาณาจักรได้ถึงปีละ ๑๐๐,๐๐๐ รายต่อปี
งานวิจัยที่ศูนย์การแพทย์ควีนอลิซาเบธที่ ๒ ในเมืองเพิร์ธ แห่งออสเตรเลียตะวันตก เชื่อว่า ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผลไม้ ผักสด ป้องกันมะเร็งเต้านมได้ สารที่น่าเชื่อว่า เป็นสารต้านมะเร็ง ก็คือ เอสโตรเจนจากพืช นั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและอเมริกา พบว่า คนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ ทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็ก ทำปฏิกิริยากับน้ำย่อย ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ ซึ่งพบมากในกลุ่ม คนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ
เมื่อผ่านกระบวนการย่อยสลายแล้ว เนื้อสัตว์จะถูกขับไปยังลำไส้ใหญ่ และตกค้างอยู่เป็นเวลานาน ปริมาณแก๊สและเชื้อโรคในลำไส้จะสูงกว่าปกติ แซนติน (Xantin) คือหนึ่งในนั้น ที่เป็นสารก่อมะเร็งในลำไส้ พบว่าผู้ที่ทานเนื้อสัตว์ มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้มากที่สุด
ในเนื้อย่าง ๑ กิโลกรัม มีสาร “โซไพริน” เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง ๖๐๐ มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน หากนำสารพิษที่สกัดมาฉีดให้กับหนู จะทำให้หนูเป็นเนื้องอกและมะเร็งในเม็ดเลือด
แม้แต่น้ำมันที่ได้จากไขมันสัตว์ เมื่อได้รับความร้อน จะแปรสภาพเป็นสารเคมีที่เป็นพิษ เรียกว่า เมธิลคอลเรนทีน (Methylcholan-threne) สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย
ดร.นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์
อาหาร ประเภทพืช ผัก ผลไม้หลายชนิด มีสารเคมีธรรมชาติบางอย่าง ซึ่งป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้ Lee W.Wattenberg แห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซต้า เป็นผู้บุกเบิกทางการวิจัยสารเคมี ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ของพืชผักและผลไม้ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งได้
สารเคมีที่เกิดขึ้นในธรรมชาติของผัก เช่น บร๊อกโคลี ดอกกะหล่ำ และกะหล่ำปลี มีคุณสมบัติ สามารถป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สารตัวนี้จะไปกระตุ้นตับให้ผลิตเอ็นไซม์ ซึ่งแก้สารพิษ ที่เกิดจากปฏิกิริยาของการสันดาป
สารเคมีธรรมชาติที่มีอยู่ในถั่วเหลือง ซึ่งสามารถป้องกันมะเร็ง ได้โดยหลายๆ วิธี วิธีหนึ่งคือ การป้องกันเส้นเลือด ไม่ให้เกิดขึ้นบริเวณเนื้องอก ซึ่งเมื่อไม่มีเส้นเลือด ที่จะนำอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้องอก เนื้อร้ายนั้น ก็ไม่สามารถขยายตัวใหญ่ขึ้นได้ และจะฝ่อไปในที่สุด
ตับทำหน้าที่ขจัดพิษ และสร้างกลูโคสชดเชยให้แก่ร่างกาย หากรับประทานเนื้อสัตว์ โดยไม่บันยะบันยัง ก็เท่ากับไปเพิ่มภาระให้กับตับ ซึ่งจะต้องทำงานหนักขึ้น ผลที่ตามมาคือ ตับเสื่อมสมรรถภาพ
อาการของโรคตับ สังเกตได้จาก เล็บมือ เล็บเท้า เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ท้องผูก สีหน้าเหลือง นานวันเข้าก็จะป่วยเป็นโรคตับแข็ง ตับบวม มะเร็งตับ หากรักษาไม่ถูกวิธี จนถึงระยะสุดท้าย ตับจะตีบจนเล็กลงในที่สุด
เนื้อสัตว์มีสารประกอบยูเรียและกรดยูริค อยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ จะเป็นการเพิ่มภาระแก่ไต พบว่ามีการเสื่อมของไตนั้น มีผลต่อระบบไขข้อต่างๆ เห็นได้จาก คนที่ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบหรือโรคเก๊าท์ ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานมาก
นายแพทย์ประพจน์ เภตรากาศ
โรคข้ออักเสบ เป็นโรคที่เกิดในประชากรจำนวนมาก และก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน และความพิการ
จากผลการวิจัยต่างๆ สรุปว่า อาหารมังสวิรัติมีคุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน มีพลังงานสูง แต่ผู้ป่วยกลับมีน้ำหนักลดลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการอักเสบของข้อ
ดังนั้น อาหารมังสวิรัติ จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม และมีผลในการบำบัด รักษาโรคไขข้ออักเสบชนิดต่างๆ อย่างแน่นอน สมควรที่ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ จะหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติ ร่วมกับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน
สตรีชาวอเมริกา สวีเดน และฟินแลนด์ เป็นโรคกระดูกผุ กระดูกพรุน ติดอันดับของโลก การค้นพบนี้ เป็นการยืนยันว่า ในเนื้อสัตว์มีโปรตีนอยู่ในระดับสูง ทำให้ไตทำงานหนัก เพื่อขับแคลเซียมออกจากร่างกาย จนกระทั่งป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน และไตเสื่อมในที่สุด
นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
การกินเนื้อสัตว์ล้นเกิน ยังเป็นสาเหตุของโรคกระดูกผุ ด้วยเหตุผลดังนี้คือ… โปรตีนเป็นสารอาหาร ที่ร่างกายไม่สะสมไว้ ถ้ามากเกินจะเก็บสะสมเป็นไขมัน และแยกเอาอนุมูลของเอมีน ให้ขับออกทางปัสสาวะ ในสภาพของแอมโมเนีย การขับเอมีนนี้ ร่างกายจะสูญเสียแคลเซียมออกไปด้วย
อีกประการหนึ่ง เนื้อสัตว์มักมีปริมาณแคลเซียม และฟอสฟอรัสไม่ได้ X ส่วน กัน คือ มีฟอสฟอรัสสูงกว่าแคลเซียม ๘–๑๐ เท่า ผลก็คือ การกินเนื้อสัตว์เข้าไป ฟอสฟอรัสที่สูง จะเร่งให้ต่อมพาราไทรอยด์ขับฮอร์โมน ซึ่งมีหน้าที่ละลายแคลเซียมออกจากกระดูก มาสมดุลกับฟอสฟอรัสในเลือด จึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคกระดูกบาง
ถึงตรงนี้ ผู้รักเนื้อทั้งหลายก็รู้ได้ด้วยว่า “การกินเนื้ออย่างฉกาจฉกรรจ์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญเอกอุ ในการเกิดโรคกระดูกผุ” เรื่องนี้ยืนยันโดยนักวิจัยชื่อ วอชแมน และเบอร์นสไตน์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เนื้อสัตว์เมื่อไปเจอกับแบคทีเรียในลำไส้ ก็เป็นอาหารอันโอชะของมัน ผลจากการเน่าบูด จากการย่อยแบคทีเรีย ก็เกิดสารพิษมากมาย ตลอดลำไส้เล็กที่ยาวถึง ๒๐ ฟุต เมื่อถึงลำไส้ใหญ่ ซึ่งดูดซึมน้ำกลับเข้าร่างกาย ก็จะพาเอาพิษเหล่านี้เข้าไปด้วย นี่แหละแหล่งของสารพิษอีกแหล่งใหญ่ ที่มากับโรคมากมาย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด
เนื้อสัตว์นอกจากจะมีสารพิษแล้ว ยังมีโอกาสจะได้รับตัวเชื้อพยาธิ หรือไข่ของมัน ที่ทนต่อการปรุงอาหาร และขยายตัวออกลูกหลานในร่างกาย ของเรา ทำให้เกิดโรคภัยได้ง่ายเสมอ เช่น ตัวอ่อนขึ้นสมอง ทำให้เกิดอาการชัก ปวดศีรษะ อาเจียน เป็นอัมพฤกษ์ พฤติกรรมเปลี่ยน คล้ายคนจะเป็นบ้า แต่ที่จริงแล้ว เกิดจากพยาธิ
อาการท้องผูก ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อสัตว์ไม่มีกากใย และเคลื่อนตัวในระบบทางเดินอาหารช้ามาก กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมาก จึงทำให้อุจจาระแข็ง แห้ง และถ่ายลำบาก เป็นสาเหตุของโรคท้องผูกเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร และมะเร็งที่ปลายลำไส้ใหญ่
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ
อาหารที่มีกากใย จะทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำ ซึ่งจะดูดน้ำจากภายนอกเข้าสู่ลำไส้ ทำให้อุจจาระอ่อนตัว และช่วยเร่งให้การขับถ่ายเร็วขึ้น จึงลดโอกาส ที่สารก่อมะเร็งจะสัมผัสกับผนังลำไส้ ให้น้อยลง เป็นการลดอัตราการก่อมะเร็งลำไส้ และป้องกันท้องผูก
การศึกษาใหม่ๆ พบว่า… อาหารกากใยประเภทละลายได้ในน้ำ เช่น รำข้าวโอ๊ต และถั่วต่างๆ สามารถลดโคเลสเตอรอลในเลือดได้ จึงช่วยลดอัตราเกิดโรคหัวใจ
ประ เทศที่มีการบริโภคเนื้อสัตว์มากที่สุด ได้แก่ อเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์ พบว่า ประชากรในประเทศนิยมบริโภคเนื้อสเต็ก มีสถิติผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคนิ่ว มากที่สุด ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าประเทศที่นิยมบริโภคเนื้อ เพียงเล็กน้อย
จากสถิติการบริโภคเนื้อสัตว์ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างนิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, อเมริกาแล้ว คนอเมริกันบริโภคเนื้อสัตว์มากกว่าประเทศใดๆ ในโลก โรคหัวใจนับเป็นฆาตกรอันดับหนึ่ง ของอเมริกา โรคมะเร็งเป็นอันดับสอง ทั้งนี้ รวมถึงมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งเม็ดเลือด
ประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในแถบเอเชีย คือ ญี่ปุ่นและไต้หวัน คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคปลาดิบ เนื้อดิบ กุ้งสด และเนื้อย่าง ด้วยเหตุนี้ คนในประเทศ จึงป่วยเป็นโรคหัวใจมาก ติดอันดับหนึ่งในแถบเอเชีย
สังคมไต้หวันเน้นที่การบริโภค อย่างอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหนักไปทางเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล คนในประเทศ จึงมีอัตราการป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง มากขึ้นทุกวัน และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสภาวะทางเศรษฐกิจ
คนสิงคโปร์ก็ไม่ด้อยกว่าชนชาติอื่น ธุรการร้านอาหารทะเล (ซีฟู๊ด) เปิดกันดาษดื่น เด็กๆ โตไวจนผิดปกติ แม้ว่า รัฐบาลจะมีโครงการรณรงค์ เพื่อสุขภาพอย่างเข้มงวด แต่ทว่า ประชากรก็ยังคงป่วยเป็นโรคร้ายต่างๆ กันมากมาย
เนื้อสัตว์… เป็นแหล่งกักตุน และแพร่ระบาดของเชื้อโรค เนื้อสัตว์จึงไม่ใช่อาหารของมนุษย์ ตรงกันข้าม กลับเป็นมหันตภัยสำหรับผู้ที่ลิ้มลอง และติดในรสชาติความอร่อย อาหารของมนุษย์ก็คือ พืช ผัก และผลไม้ เป็นของสดจากธรรมชาติ มีวิตามินที่บำรุงร่างกายให้แข็งแรง และเป็นยารักษาโรค
ศาสตราจารย์ นายแพทย์พงษ์ศิริ ปรารถนาดี
จะเห็นได้ว่า ในระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา สาเหตุการตายของคนไทย ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า มีอัตราการเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อันดับหนึ่ง สาเหตุการตายคือ โรคหัวใจ สาเหตุการตายอันดับที่สองคือ อุบัติเหตุ และอันดับสามคือ โรคมะเร็ง
ทำไม หลอดเลือดถึงตีบตัน
ถ้าเราดูสาเหตุการตีบตันของ หลอดเลือด เราจะพบว่า… ร่างกายของมนุษย์นั้น มีระบบการไหลเวียนของเลือด ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ ถ้าเมื่อใดที่หัวใจหยุดเต้น การสูบฉีดโลหิตก็จะหยุด ถึงแม้สมองหยุดทำงาน ร่างกายก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าหัวใจหยุดทำงาน ร่างกายจะตายทันที
เพราะฉะนั้น หัวใจจึงเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญที่สุด เมื่อเราทราบความสำคัญแล้ว ก็ควรจะถนอมหัวใจ และหลอดเลือดของเรา ให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ทำไมหลอดเลือดเกิดการตีบตัน หลอดเลือดของคนและสัตว์ ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับท่อน้ำประปา เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะมีตะกรันเกิดขึ้นภายในท่อ เมื่อตะกรันสะสมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ขนาดของ ท่อประปาเล็กลง น้ำประปาที่เคยไหลได้ดี ก็จะเปลี่ยนเป็นไหลกระปริบกระปรอย กว่าจะถึงปลายทางอาจหยุดไหลได้
หลอดเลือดของคนเรา ก็เหมือนกัน ถ้าตีบตันเมื่อไหร่ อวัยวะที่สำคัญก็จะมีเลือดไปเลี้ยงลดน้อยลง เช่น สมอง หัวใจ ลำไส้ ตลอดจนปลายมือปลายเท้า ผลก็คืออวัยวะที่กล่าวมานี้ จะเกิดปัญหาติดตามมา
ต้นเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแดง มีการตีบตันนั้น พิสูจน์กันแล้วว่า… มาจากการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว มากเกินความต้องการ ไขมันอิ่มตัวมาจากไหน ไขมันอิ่มตัวเป็นไขมันจากสัตว์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันหมู หนังไก่ หนังเป็ด และเนื้อสัตว์ทุกประเภท
ถ้าเปรียบเทียบดูจะพบว่า อาหารของคนอเมริกันนั้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูงถึง ๕๐% แต่ถ้าเอาเนื้อออก จะลดความเสี่ยงลงได้อีก เหลือเพียง ๑๕% แต่ถ้างดไข่และเนื้อสัตว์ลงไปอีก จะเหลือความเสี่ยงเพียง ๔% เท่านั้น
จากผลสรุป ของวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกา ได้กล่าวว่า… อาหารมังสวิรัติจะช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคอัมพาต จากเส้นโลหิตในสมองอุดตันได้สูงถึง ๙๐% และป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอด เลือดหัวใจได้สูงถึง ๙๗%
ชนิดอาหาร
โอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
อาหารอเมริกันทั่วไป
๕๐%
อาหารมังสวิรัติ มีไข่-นม
๑๕%
อาหารมังสวิรัติเคร่งครัด
๔%
โอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และการเสียชีวิตในอาหารประเภทต่างๆ
ดร.ดีน ออร์นิส ได้ชี้ให้เห็นว่า… การตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจนั้น สามารถทำให้หายตีบตันได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และใช้อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ อย่างจริงจัง ต้องเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน ไม่หวานจัด ไม่เค็ม และต้องเป็นอาหารที่มีเส้นใย และกากอาหาร
การเฝ้าสังเกตโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่มีอาการเจ็บหน้าอก ในผู้ป่วยที่ได้เปลี่ยนมากินอาหาร มังสวิรัติ ที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และอาหารไขมันต่ำ พบว่า… อาการเจ็บหัวใจ หายไปภายในสองสัปดาห์ และพบว่า ๘๐% ของผู้ป่วยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกอีกเลย เนื่องจากอาการตีบตันของหลอดเลือดดีขึ้น ทำให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือด ไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น ผลก็คือ ความต้องการใช้ยาลดลง
เช่นนี้แล้ว ถ้าต้องการที่จะลดปัจจัยเสี่ยง ไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือต้องการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่ตีบตัน กลับสู่สภาพปกติ จะต้องดูแลเรื่องอาหาร จึงจะได้ผล ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยใช้อาหารมังสวิรัติ ที่มีไขมันต่ำ กินอาหารประเภทผัก ผลไม้ให้มากขึ้น เพราะมีกากใย และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีธาตุเหล็กสูงกว่าที่พบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งจะเป็นตัวป้องกัน ไม่ให้เกิดการทำลายผนังของหลอดเลือด
ข้อมูล
วารสารชีวจิต
---------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมุลจาก เวป ข้างล่าง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=26584
**********************************************************************************
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15225&sid=84daf9fee2da6b2b15390399142088cd
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=80012
เนื้อสัตว์ มหันตภัยต่อสุขภาพ โรคหัวใจ โรคไขมันอุดตัน นอกจากโรคมะเร็ง
จากงานศึกษา วิจัยโรคมะเร็ง สาเหตุหลัก ของการก่อตัวของโรคร้ายต่อมนุษย์
โดยคณะนักวิทยาศาสตร์ ทีมคณะแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากหลายหลาย
มหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้องโลก โดย
ทุนสนับสนุนจาก สถาบันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งโลก (The World Cancer Research Fund (WCRF)
รายละเอียดหาอ่านได้จากข้อมูลในเวป
http://www.dhammajak.net:80/board/viewtopic.php?t=14583
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17241
h
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=145201
พระครุพิพัฒน์วรกิตต์
เจ้าอาวาสวัดเขาตะเกียบ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
ขอให้ท่านทั้งหลายฟัง ใน ฐานะที่พระบรมศาสดาสัมมาพุทธเจ้าของเราทั้งหลายได้เคยตรัสไว้แต่เป็นที่น่า เสียใจ คัมภีร์ฉบับนั้นถูกฉีกทิ้งหายไป มีในมหายาน แต่ในหินยานหาย แล้วพอเรามาเป็นเถรวาทยิ่งไม่มีเลย
ในศีลห้า เราเริ่มต้นที่ “ปาณาติบาต” การ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนเราให้ไม่ฆ่าสัตว์ แต่พระพุทธเจ้าของเราบังเอิญไม่ใช่ฮิตเลอร์ ไม่ใช่จอมพลสฤษดิ์ จึงไม่สั่งห้ามทุกคนกินเนื้อสัตว์ด้วย
มีปัญหาถามอยู่เรื่อยว่า คนที่กินเนื้อสัตว์กับคนฆ่าสัตว์ ใครบาปมากกว่ากัน? ก็ บอกว่าบาปทั้งคู่ บาปเท่ากัน ผู้บริโภคก็บาป ผู้ฆ่าก็บาป ผู้ขายก็บาป มันเป็นวงจร แต่บางคนแย้งว่า สมัยหนึ่งพระเทวทัตทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าขอให้บรรดาสาวกของพระองค์ทั้ง หลายนั้นงดเว้นจากการบริโภคเนื้อสัตว์ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต เขาจึงจับประเด็นนี้เอาพูดกัน
ตรงนี้ถ้าจะพูดถึงความถูกผิด คงเถียงกันไม่จบแต่เน้นว่าสัตว์ก็มีหัวใจ น้ำตาไหล บางตัวร้องด้วยเสียงแห่งความหวาดกลัว บางตัวอุจจาระราดเพราะเขารักชีวิตเหมือนเรารักชีวิตของเรา แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้มันร้องสุดขีด มันดิ้นหนีเอาชีวิตรอด จนบางครั้งหายไปสองอาทิตย์ มนุษย์ซึ่งมีใจเป็นยักษ์ตามจับมาจนได้ไม่มีใครไปซื้อหาชีวิตมัน ก่อนตายมันร้องไห้ คงคิดถึงสามีภรรยา บุตร หรือญาติเหมือนกับมนุษย์ สัตว์ก็มีหัวใจ แต่ขณะที่เราบริโภคอาหาร เราบริโภคด้วยกิเลส เราไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้
เรารักสนุกกับทุกข์สาหัส นี่เราจะเลือกอย่างไร? การบริโภคเป็นของสนุก แต่ชีวิตของคนอื่นเป็นทุกข์แสนสาหัส
น่า สังเวชใจเหลือเกินที่ชั่วชีวิตของคนเราตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งแก่ จนถึงตายในที่สุด ไม่เคยพ้นจากการฆ่าถ้าสัตว์เดรัจฉานพูดได้ คงบอกว่ามนุษย์คือยักษ์ เริ่มแรกคลอดออกมาจากครรภ์มารดา ก็เลี้ยงฉลองด้วยการฆ่าชีวิตเพียงไม่นานครบเดือนก็ฆ่าเลี้ยงกันอีก ครบขวบก็ฆ่ากันอีก จนกระทั่งอายุครบบวชก็ฆ่ากันอีก ฉลองบุญก็ฆ่า เจริญเติบโตก็ฆ่า แต่งงานก็ฆ่า วันเกิดก็ฆ่า ทำบุญก็ฆ่า เราคุ้ยเคยอยู่กับการฆ่าตลอด เราฆ่ามาไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชีวิตในชั่วชีวิตของคนคนหนึ่ง
เราทำตัวเป็นป่าช้าเดินได้ คน ตายแล้วต้องเอาไปฝังไปเผาในป่าข้า แต่เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ถูกฆ่าตาย ทั้งเนื้อและกระดูกที่ถูกตัดเป็นชิ้น คนแย่งกันกินลงท้อง เข้าไปอยู่ในตัวเราเอง คนกินเนื้อสัตว์อุปมาเหมือนป่าช้าเคลื่อนที่สามารถฝังซากศพของสัตว์ตายโหง อย่างไม่รู้จักเต็ม โดยจะฝังอยู่ในตัวเราตลอดเวลา คนส่วนใหญ่ถ้าให้เดินในป่าช้าตอนเที่ยงคืนครึ่งรอบ ขนจะลุกเกลียวกลัวผี แต่หารู้ไม่ว่าในตัวเรามีสัตว์เดรัจฉานไม่รู้กี่แสนตัวฝังในท้องเราตั้งแต่ เกิดท่านไม่กลัวบ้างหรือ คนมีวิญญาณ สัตว์ก็มีวิญญาณเหมือนกัน จะแตกต่างกันก็เฉพาะสังขาร รูปกายภายนอกเท่านั้นคนกลัวภูตผีปีศาจ กลัวซากศพ แล้วทำไมไม่กลัวเนื้อสัตว์สัตว์ก็มีวิญญาณเหมือนคน มีขันธ์ห้าเหมือนคน ทำไมเรากลัววิญญาณคน แต่ไม่กลัววิญญาณสัตว์
จึงอยากจะชี้ให้เห็นว่า เราสะสมบาปเวรไว้จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเรา ถ้า หยุดบริโภคเนื้อสัตว์ เราอาจช่วยชีวิตสัตว์เป็นพันๆ ตัวต่อชีวิตของเรา ยิ่งน่าสงสารที่บางคนเจ็บป่วยเจียนจะตาย เรียกร้องอยากจะมีชีวิต แต่กลับไปฆ่าสัตว์เพื่อไปเซ่นไหว้ วิงวอนต่อเทพเจ้าเพื่อขอชีวิตตัวเอง
เรา จะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าฉงน ที่บางคนต้องมาตายในงานวันเกิดตัวเอง บางบ้านมีลูกมาก็กลายเป็นสาปแช่งให้ลูกฉิบหายตายเร็ว บางชีวิตมีอำนาจวาสนาอยู่ดีๆ ก็ต้องถูกฆ่า บางคนทำไมอายุสั้น บาคนตายอายุยังน้อย บางคนกำลังประสบความสำเร็จ กำลังจะดัง ตายซะแล้ว ยังไม่ทันแก่เลย เพราะชาติที่แล้วเขาบกพร่องในศีลข้อที่ 1 เขาสร้างปาณาติบาตมาก ชาตินี้เขาเลยมีอายุสั้น นี่คือผลจากกรรม กฎแห่งกรรมนั้นใครหนีไม่พ้น คนที่ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทำเรื่องเลวร้าย สร้างสมบาปเวรไว้มาก ทุบตี ทรมาน ทั้งกิน ทั้งฆ่า เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายถูกฆ่า เมื่อตายไปจิตวิญญาณก็ตกร่วงลงสู่นรกภูมิ
เมื่อพูดถึงอาหารมังสวิรัติ คน ส่วนใหญ่จะกังวลถึงเรื่องสารอาหารไปต่างๆ นานา กลัวว่าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอและทำให้อ่อนแอ แม้ว่าปัจจุบันทรรศนคตินี้ยังคงมีอยู่ในความคิดของคนส่วนใหญ่ที่ยังปิดกั้น ตนเองอยู่ก็ตาม แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ให้การรับรองยืนยันแล้วว่า .... เป็นทรรศนคติที่ผิด
ตีแผ่เรื่องจริง เบื้องหลังธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์
ปลาจำนวนหลายล้านตัว ไม่ได้ดำรงอยู่ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ ดังนั้นโครงสร้างผิวหนังของมันจึงอ่อนแอเพราะถูกลี้ยงมาอย่างผิดธรรมชาติและ ถูกจำกัดพื้นที่ ช่างน่าสงสารจริง ๆ ในความรู้สึกของพวกมันมหาสมุทรก็กว้างเพียงเท่านี้เอง
ปลาและกุ้งจำนวนมหาศาล ที่ถูกเลี้ยงด้วยการผสมพันธุ์จะถูกขังอยู่ใต้ท้องทะเล ผู้เลี้ยงจะใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและป้องกันแมลง ใต้น้ำ หมักทะเล ในแต่ละวันสัตว์เหล่านี้จะถูกคร่าชีวิตเพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคนับ ล้านๆตัว
ท้องทะเลในปัจจุบันมีสารเคมีปนเปื้อน กว่าสิบล้านชนิด มันจะซึมเข้าไป อยู่ในตัวปลา ผู้ที่บริโภคเนื้อปลาก็จะได้รับสาร Poly -chlorinated Bi -Phenyls และพิษจากสารปรอทเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เป็นโรคตับอักเสบเป็นอัมพาต สตรีคลอดลูกยาก เป็นต้น
เนื่องจากไม่มีขั้นตอนและมาตรฐาน ในการตรวจสอบระดับปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมีในตัวปลา ปลาเหล่านี้จึงเกิดโรคผิวหนัง โรคมะเร็ง และโรคติดต่อมากมาย
บันทึกโรคแทรกซ้อน ดร.นิมิตร มรกต
พยาธิตัวจี๊ด เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ โดย เฉพาะปลากับกบ แต่ในเนื้อหมู เนื้อไก่ก็มี ถ้ากินแบบไม่สุก จะเกิดอาการบวมเคลื่อนที่เป็นระยะๆ อาจจะบวมที่มือ วันต่อไปอาจบวมที่แขน เคลื่อนไปเรื่อยๆ เจ็บแบบจี๊ดๆ ถ้าขึ้นสมองก็จะเสียชีวิต
พยาธิชนิดนี้ เป็นในลักษณะชีส อยู่ในเนื้อปลาหรือในตับปลาทั่วไปจะมีได้หมด ในเนื้อไก่ เนื้อหมูก็มี ที่หัวจะมีหนามและหัวที่เรียกว่ากระเปาะจะยุบและพองได้ และจะไชได้ พยาธิตัวนี้จะไชไปข้างหน้าและไม่ถอย ถ้าตัวใหญ่ขนาด 3 มม. ก็จะทำให้เกิดการอักเสบ และบวมในบริเวณนั้นๆ
นอกจากนี้ พยาธิตัวตืดในปลา ก่อให้เกิดโรคโลหิตจางอย่างรุนแรง
ปลาเหล่านี้เมื่อถูกล่าและถูกทำร้าย มันจะเกิดภาวะกดดัน หัวใจจะเต้นเร็ว ระบบควบคุมประสาทและประสาทรับความรู้สึกจะเกิดอาการช๊อค หายใจแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง
ตัวที่ได้รับบาดเจ็บ จะ อ้าปากค้าง หายใจเร็วและแรง ตาเบิกกว้างเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดมันจะดิ้นทุรนทุรายบิดตัวไปมา อย่างทรมานจนหมดสติและตายในที่สุด
โดยเฉพาะปลาที่ติดเบ็ด มัน จะพยายามจนสุดแรงเพื่อสะบัดตัวให้หลุด แม้ปากของมันจะฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ เจ็บปางตายแค่ไหน มันก็ยังคงดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดแต่จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของมนุษย์ ขณะที่มันเกิดอาการหวากกลัวอย่างรุนแรงนี้ สารเคมีที่เป็นพิษจะหลั่งออกมาและซึมอยู่ทั่วทั้งตัว
ก่อนปลาเหล่านี้ถูกนำมาวางขาย ต้อง ทนรับกับความเจ็บปวดทรมาน มันจะถูกงดอาหารอยู่หลายสัปดาห์เพื่อเป็นการล้างท้องไม่ให้สิ่งสกปรกเหลือ ปะปนอยู่ บ้างต้องตายเพราะถูกตีหัว บ้างตายเพราะถูกผ่าท้องถลกหนัง บ้างก็ถูกฝังทั้งเป็นในน้ำแข็งเพื่อให้คงความสดของเนื้อเอาไว้
พ่อค้าจะจับปลาทั้งเป็นๆ มา ขอดเกล็ด แล้วสับเป็นชิ้นๆบางตัวถูกผ่าท้องควักไส้ทั้งที่มันยังไม่ทันตาย อนิจจัง...แม้นจะถูกชำแหละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่วายปากและหางของมันยังเคลื่อนไหวด้วยความเจ็บปวดจนหมดลมหายใจ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจะกินเลือดเนื้อเขาลงอีกหรือ
บันทึกโรคแทรกซ้อน อาจารย์ กนกวรรณ อุโฆษกิจ
การวิจัยที่ใช้คนเป็น “หนูตะเภา” บ่ง ชี้แล้วว่าอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นผลดีต่อการรักษาอาการความดันเลือดสูง อาการเจ็บที่หัวใจ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โรคไต อาการทางสมองเนื่องจากเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบและโรคหืด
สถาบันส่งเสริม สุขภาพในอเมริกา ได้ศึกษานักมังสวิรัติ 50,000 คนพบว่า ....นักมังสวิรัติเหล่านี้มีอายุยืนยาวขึ้น มีการพบโรคหัวใจในคนกลุ่มนี้ต่ำมากและอัตราการเกิดมะเร็งต่ำกว่าเมื่อเทียบ กับคนอเมริกันที่กินเนื้อ
---------------------------------------------------------
เกิดเป็นไก่ที่มีชะตากรรมเลวร้ายกว่า มันจะมีความวิตกกังวล คับข้องใจกลัวอยู่ตลอดเวลา 10-12 เดือนที่มันถูกขังรวมประมาณ 4 ตัวอยู่ในกรงลวดแคบ ๆ วางเรียงกันอยู่ในโรงลี้ยงที่มืดสลัว อาจมีถึง 50,000-125,000 ตัว มันจะต้องอยู่ในกรงนี้ตลอดชีวิตของมัน
ลูกไก่ตั้งแต่เล็กจนโต จะถูกจับขังในกรงที่แออัดยัดเยียดและไม่ได้รับรังสีจากแสงอาทิตย์เลย ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีภูมิต้านทานโรค ไก่จำนวนมากจึงเป็นมะเร็งและแพร่เชื้อไปยังผู้บริโภค
ไก่ตัวหนึ่งเมื่อมันกางปีก จะกินเนื้อที่ 26 นิ้ว แต่ไนฟาร์มฯ จะจำกัดพื้นที่ให้พวกมันอยู่เพียงแค่ 6 นิ้วเท่านั้น พบว่าไก่จำนวนมากที่ถูกเลี้ยงโดยวิธีดังกล่าว จะมีรูปร่างวิปริต มีเนื้องอกขั้นร้ายแรงตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ
เนื่องจากไก่ขังกรง ถูกเลี้ยงอย่างผิดธรรมชาติ ต้องจมอยู่ในกองอุจจาระ ไก่เหล่านี้จึงอ่อนแอ มันจึงติดเชื้อจากตัวอื่นที่เป็นโรค อาจพูดได้ว่าไก่ที่นำมาขายในตลาดหรือร้านอาหารที่คนรุ่นใหม่นิยมกินกัน ล้วนเป็นโรคมาก่อนทั้งนั้น เราไม่รู้แล้วก็บริโภคเข้าไป
ผลการวิจัยรายงานว่า “ ไก่จำนวนมากกว่า 90% เป็นโรคมะเร็ง ” ในประเทศอังกฤษแต่ละปีมีไก่เนื้อประมาณ 40 ล้านตัวตายเพราะติดเชื้อ พ่อค้าหัวใสรู้ว่าน่องไก่ ปีกไก่ อกไก่ขายดี จึงใช้วีการย้อมแมว นำไก่ที่ติดเชื้อเหล่านั้นกลับมาขายอีก และเป็นอาหารสำหรับเด็กทารก
เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สารเคมีชนิดต่าง ๆ จึงถูกนำมาฉีดในตัวไก่ และเลี้ยงด้วย ARSENIC ฮอร์โมน ทำให้อ้วนและโตเร็ว เนื้อที่ได้จะมีสีสันน่าซื้อ ซึ่งปัจจุบันในฟาร์มเลี้ยงไก่มีการฉีดยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าพยาธิและป้องกัน โรคระบาด เนื้อไก่จึงอุดมไปด้วยสารเคมีอย่างล้นเหลือ
เพราะนั้นไม่น่าแปลกใจ ที่ไก่เหล่านี้โตเร็วผิดปกติ เพราะถูกอัดฉีดด้วยฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ ซึ่งในอดีตนั้นไก่จะโตเต็มที่ต้องกินเวลา 15 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันใช้เวลานิดหน่อยแค่เพียง 7 สัปดาห์ ก็ถูกฆ่าไปขายได้แล้ว
ทุกๆ ปีลูกไก่ตัวผู้ที่เกิดใหม่ จะถูกนำไปฆ่า เอามันไปทำปุ๋ย หรือไม่ก็เอาไปถมที่ ไก่ไข่ก็ประสบชะตากรรมอย่างเดียวกัน เมื่อให้ไข่ได้น้อยลง ไม่คุ้มค่าเลี้ยงดู
ปี 1986 โรงเลี้ยงไก่ในมาเลเซีย ประมาณ 100 แห่ง เผาลูกไก่เกิดใหม่ที่เกินความจำเป็น ใน ปี 1991 ลูกไก่จำนวนหลายหมื่นตัวถูกจับใส่ถุงพลาสติกฝังทั้งเป็น ช่างน่าเวทนาเสียจริง
ส่วนที่เหลือก็ต้องเผชิญกับชะตากรรม อันแสนทารุณ มันจะถูกตัดจงอยปากด้วยมีดที่ร้อนจัด 1 ถึง 2 ครั้งในชีวิตของมัน เมื่อมันมีอายุได้ 1 วัน และอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ 7 สัปดาห์ ทั้งนี้เพราะบางทีจงอยปากจะงอกขึ้นมาอย่างเดิมได้อีก
บันทึกโรคแทรกซ้อน
การตัดจงอยปากนี้ สร้งความเจ็บปวดรุนแรงและเรื้อรังให้แก่ไก่ นักวิจัยเทียบได้กับระดับความเจ็บปวดในแขนขาของคน
เนื้อที่ อยู่ในจงอยปากนี้ไวต่อความรู้สึกมาก เมื่อถูกใบมีดร้อนๆ ตัด จะทำให้ไก่สูญเสียความสามารถในการกินอาหาร น้ำ และใซ้ขนไป การตัดจงอยปากนี้จะลดการคุ้ยเขี่ย เพราะไก่จะคุ้ยเขี่ยไปตามพื้นดิน ตลอดวันตามธรรมชาติไม่ได้อีกต่อไป มันจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวไปไหน มันจะกินน้อยลงและอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นไข่จะสูงขึ้น ไก่พวกนี้เวลาใช้ปากจิกจะเจ็บปวด มันจึงกินอาหารน้อยลง เขี่ยอาหารให้หล่นทิ้งน้อยลง และ “สูญเสีย” พลังงานน้อยกว่าไก่ธรรมดา
มันจะต้องใช้แคลเซียมในตัวของมัน ผลิตออก มาเป็นเปลือกไข่ไก่ ไก่พวกนี้จึงมักเป็นโรคกระดูกพรุนเพราะต้องอยู่เบียดเสียดกัน เรียกว่า โรคเหงากรง เมื่อแคลเซียมหมด มันจะเป็นอัมพาตและตายจากไป เพราะกินอาหารและน้ำไม่ได้
เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด ไก่ เหล่านี้จึงเติบโตขึ้นมาอย่างพิกลพิการ ดวงตาถูกทำร้ายถึงขั้นตาบอดก็มี สมองบาดเจ็บ ไม่มีชีวิตชีวา เป็นอัมพาต อวัยวะภายในตกเลือดฉะนั้น ไก่เหล่านี้มีเชื้อที่เป็นอันตรายแทบทุกตัวก็ว่าได้
ไก่จูกจับขังให้อยู่รวมกัน ใน กรงที่คับแคบ ขาทั้ง 2 ข้างจะถูกพันไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหน เล็บเท้าของไก่บางตัวงอกออกมาจนเกี่ยวติดอยู่กับตาข่าย วิธีแก้ปัญหาของผู้เลี้ยงก็คือ ใช้มีดตัดให้ขาด
โรงฆ่าไก่แต่ละแห่งจะใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง ถึง วันละหนึ่งร้อยล้านแกลอน ซึ่งเพียงพอสำหรับให้คนใช้ได้ถึง 25,000 คน นอกจากนี้ ยังทิ้งสิ่งปฏิกูลที่เหลือจากการแปรรูปเนื้อไก่ ไม่ว่าไขมัน ซากสัตว์ เครื่องในสัตว์ สารชูรสลงในแม่น้ำถึงสิบล้านปอนด์
มะเร็งเต้านม
สถิติผู้หญิงในประเทศไทยเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีพฤติกรรมในการดำรงชีวิตแบบชาวตะวันตกมากขึ้นคือ กินอาหารพวกเนื้อสัตว์มาก นั่นเอง
คำถามมีอยู่ว่า อาหารที่มีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนและมะเร็งเต้านมอย่างไร?
คำ ตอบก็คือ....ผู้หญิงที่กินอาหารมังสวิรัติ ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะถูกขับออกจากร่างกายมากกว่าผู้หญิงที่กินอาหารประเภท เนื้อสัตว์ซึ่งทำให้ ผู้หญิงที่กินอาหารมังสวิรัติมีปริมาณของฮอร์โมนฯในกระแสเลือดน้อยกว่าผู้หญิงที่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์
ฮอร์โมน เอสโตรเจนผลิตในร่างกายโดยรังไข่และไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ตับจะพยายามขับฮอร์โมนนี้ไปสู่ลำไส้ ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกาย การกินอาหารประเภทเส้นใยจะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกจับไว้กับเส้นในและ ป้องกันไม่ให้ฮอร์โมนฯ ซึมกลับเข้าไปในร่างกายโดยทางผนังลำไส้ใหญ่
สารอาหารต้านมะเร็ง นักวิจัยศึกษาพบว่า ในอาหารประเภทถั่วเหลืองมีสารต้านมะเร็ง ซึ่ง หากบริโภคถั่วเหลืองเป็นจำนวนมากพอก็อาจจะช่วยป้องกัน หรือลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ จากงานวิจัยของ Lee& Day ผู้หญิงที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยที่สุดควรบริโภคถั่ว เหลืองประมาณ 2 ออนช์ต่อวัน
ในการทดลองวิจัยกับหนูทดลองเมื่อหนูเหล่า นั้นได้รับอาหารจากถั่วเหลือง ผลปรากฏว่า เป็นครั้งแรกที่ค้นพบสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพืชที่มีคุณสมบัติในการ ป้องกันและหยุดยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมได้
จากากรค้นคว้าของ Dr. Mark Messina พบว่าประชากรในประเทศที่บริโภคถั่วเหลืองมาก จะมีอัตรกการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่า ประชากรในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่บริโภคถั่วเหลือง
เนื่องจากสารชนิดนี้มี คุณสมบัติป้องกันเส้นเลือดฝอยไม่ให้ไปเลี่ยงเนื้องอก หรือเซลล์ที่จะกลายเป็นมะเร็งเมื่อเซลล์ไม่ได้รับอาหารและออกซิเจนจากเส้น เลือดฝอยก็จะฝ่อและตายไปในที่สุด
พืชอีกชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่เต้านมได้คือ บร๊อคโคลี มี รายงานว่าผู้หญิงที่บริโภคพืชผัก 5 ส่วนต่อวัน จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่เต้านมลดลง 46 % เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่บริโภคพืชผักวันละเพียง 1-2 ส่วน ผักประเภทดอกกระหล่ำและบร๊อคโคลี จะช่วยป้องกันมะเร็งที่เต้านมได้เนื่องจากมีสารพฤกษเคมี (phytochemical)
มะเร็งต่อมลูกหมาก
สถิติตากสหรัฐอเมริกาพบว่า... ชาวอเมริกันเพศชายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ ชายอเมริกันที่อายุมากกว่า 50 ปี เป็นมะเร็งชนิดนี้ประมาณ 25 ล้านคน
อาหาร ที่จะช่วยป้องกันมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ มะเขือเทศ ซึ่งมีสาร ไลโซเพน (lycopene) เข้มข้นมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งการวิจัยได้รายงานผลว่า สารในมะเขือเทศสามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ส่วนใหญ่ผักสด ผลไม้สด จะดีที่สุดในการให้คุณค่าทางด้านโภชนาการ
เมื่อ ปี 1993 นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่า...ผู้ที่บริโภคเนื้อแดงวันละ 30 กรัม (เท่ากับ 5 ออนช์ ของแฮมเบอร์เกอร์) จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงเป็น 2 เท่านักวิจัยคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างในไขมันสัตว์ที่จะเพิ่มระดับฮอร์โมน ซึ่งส่งผลให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ไขมันในสัตว์ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวมีผลก่อให้เกิดมะเร็งได้มากกว่าไขมันในพืช
ถั่วเหลืองซึ่งมีสาร ไฟโทเอสโตรเจน (phytoestrogens) ที่สามารถป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ สาร ชนิดนี้สามารถหยุดยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ชาวเอเชียซึ่งบริโภคถั่วเหลืองมาก มีสถิติการเสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยมาก
อาหารอีกประเภทหนึ่ง คือ งา ซึ่งมีสารที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมาก จากสถิติทั่วโลกอาหารที่มีปริมาณผลไม้ ผักและถั่วเหลืองต่ำ จะมีผลโดยตรงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากสูง
-----------------------------------------------------
นื้อสัตว์.....กับอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง
เนื้อสัตว์ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ.....ในการเกิดโรคอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง ข้อมูล จากสถาบันประสาทวิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขบ่งชี้ว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางระบบประสาทวิทยาที่รับไว้ ในโรงพยาบาล เป็นสาเหตุการตายและความพิการที่สำคัญในประเทศไทย
โรคหลอดเลือดสมอง เป็น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตซึ่งอาจเกิดจากการที่หลอดเลือดตีบตัน หรือแตก โรคนี้ถ้าเป็นแล้วแม้รอดชีวิตก็มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถป้องกันได้
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
อัน นี้หมายถึงว่า.....ถ้าผู้ใดมีปัจจัยเหล่านี้อยู่จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือด สมองได้มากกว่าคนปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่........
1.ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมาก
2.โรคหัวใจ
3.โรคเบาหวาน
4.ภาวะไขมันในเลือดสูง
โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการตายและความพิการที่สำคัญ การป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเป็นแล้วถ้าไม่เสียชีวิตก็มักพิการสถานเดียว
อาหารเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
อาหารจัดว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการดำรงชีวิตปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าพฤติกรรมการบริโภคเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือด โรคมะเร็ง เป็นต้น
ความสนใจถึงบทบาทของสารอาหารต่อการป้องกันโรคจึงมีมากขึ้น ดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งพบมากในผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิต
อาหารที่มีประโยชน์ และมีบทบาทในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองที่มีความสำคัญ คือ.......
1.อาหารประเภทที่มีกากใย ชนิด ที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งพบมากในถั่ว ฝรั่ง ลูกพรุน ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น ในอาหารเหล่านี้มีสาร “ บี-กลูแคน “ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
2.อาหารที่มีไขมันต่ำ พบว่า ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงจะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากการศึกษา โดยให้รับประทานอาหารมังสวิรัติร่วมกับอาหารที่มีคอเลศเตอรอลต่ำ และมีการออกกำลังกายร่วมด้วยพบว่า สภาพของหลอดเลือดดีขึ้นถึง 2 เท่า
3.รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป
4.ลดอาหารที่เค็ม
5.รับประทานอาหารประเภทพืช ผัก ผลไม้
ฉะนั้น สารอาหารมีความสำคัญในการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพิ่มอาหารที่มีกากใยที่ละลายน้ำได้ ควรเพิ่มการบริโภคอาหารจำพวก ผัก ผลไม้และธัญพืช
การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ห่างไกลโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วย
---------------------------------------------------
พระพุทธศาสนา สรุปอย่างไร เกี่ยวกับมังสะวิรัติ ( อาหารปลอดเนื้อสัตว์
พระพุทธศาสนา สรุปอย่างไร เกี่ยวกับมังสะวิรัติ
พระพุทธศาสนา สรุปอย่างไร เกี่ยวกับมังสะวิรัติ
พระพุทธศาสนา สรุปอย่างไร เกี่ยกับมังสะวิรัติ
พระ พุทธพจน์นี้ทำให้สรุปได้ว่า การเกิดมาในโลกในระดับโลกิยะ มีปัญหาติดตัวมามาก สัตว์บางตนเกิดมาอยู่ในฐานะเป็นอาหารของสัตว์อื่น เช่น หมู ปลา ไก่ สัตว์บางตนเกิดมาอยู่ในฐานะต้องกินสัตว์เป็นอาหารอย่างเดียว โดยที่ตัวเองมีเนื้อเป็นพิษสำหรับสัตว์อื่น แม้แต่มนุษย์ที่ชอบกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เนื้อของมนุษย์เองก็เป็นอาหารของสัตว์อื่นบางจำพวก นี่คือสังสารวัฏ
ชาวประมงมีพาอาชีพหาปลาขาย ฆ่าปลาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่พวกเขาทำผิดหลักธรรมข้อสุจริต ล่วงละเมิดศีลข้อปาณาติบาต และวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ยุติธรรมสำหรับปลา แม้กระนั้นชาวประมงก็ยังต้องดำรงชีพโดยการจับปลาขายต่อไป เกษตรกรเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาก็อยู่ในฐานะเดียวกัน คนที่มีอาชีพฆ่าหมูเพื่อชำแหละเนื้อออกขายในท้องตลาดก็อยู่ในฐานะเดียวกัน นี่คือข้อจำกัดหรือโทษของสังสารวัฏ
ในระดับโลกุตตระ วิถีชีวิตบริสุทธิ์จากข้อจำกัดเหล่านี้ สัมมาอาชีวะหรือสัมมาอาชีพซึ่งเป็นองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ จึงหมายถึง การดำรงชีพที่ชอบเว้นจากอาชีพที่เป็นการเบียดเบียนชีวิต เช่น การค้าอาวุธแม้จะถูกต้องตามกฎหมาย การค้าแรงงานมนุษย์ การค้ายาพิษ การค้าน้ำเมา
ประเด็นเกี่ยวกับมังสวิรัติก็เช่นเดียวกัน การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ประเด็นสำคัญคืออย่าฆ่าสัตว์ เมื่อพระเทวทัตต์เข้าไปเฝ้ากราบทูลขออนุญาตวัตถุ ๕ ประการ วัตถุข้ออื่น ๆ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเทวทัตต์ "อย่าเลยเทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนาก็จงทำไปเถิด เช่น ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ป่า" ส่วนข้อที่เกี่ยวกับการฉันปลาและเนื้อ พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระเทวทัตต์ว่า "เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑) ไม่ได้เห็น (๒) ไม่ได้ยิน (๓) ไม่ได้รังเกียจ" จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงใช้คำว่า "ผู้ใดปรารถนาก็จงฉันปลาและเนื้อ" พระพุทธดำรัสนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ถามว่า "อะไรคือนัยสำคัญแห่งพระพุทธดำรัสนี้ ?"
พระพุทธดำรัสว่า "เราอนุญาตและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง ..." หมายถึง ไม่ได้ตั้งข้อกำหนดไว้ วางไว้เป็นกลาง ๆ ไม่ได้กำหนดแม้แต่จะบอกว่า "ผู้ใดปรารถนาก็จง ..." เพราะฉะนั้น เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นกลาง ๆ อย่างนี้ ในทางปฏิบัติ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม จะถูกหรือผิด พระภิกษุต้องเทียบเคียงกับหลักที่เรียกว่า "มหาปเทศ" ๒ ข้อ คือ
(๑) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า "สิ่งนี้ไม่ควร" ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่ไม่ควร แย้งกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
(๒) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า "สิ่งนี้ไม่ควร" ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่ควร แย้งกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
เมื่อพระภิกษุเทียบเคียงถือปฏิบัติอย่างนี้ ย่อมไม่ผิดพระวินัย แต่อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า วิถีชีวิตระดับโลกิยะ มีโทษมาก มีข้อบกพร่องมาก เช่นกรณีการกินเนื้อสัตว์ แม้จะเป็นเนื้อที่ไม่ต้องห้าม ต้องพิจารณาก่อนฉัน ถ้าไม่พิจารณาย่อมผิดพระวินัย ซึ่งต้องการให้พระภิกษุหรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่พระภิกษุสำนึกอยู่เสมอว่า การกินเนื้อสัตว์แม้จะไม่ได้ฆ่าสัตว์ก็ถือว่มีส่วนทำให้ชีวิตถูกทำลาย ถ้าไม่กินจะดีกว่าหรือไม่ ? ส่วนวิถีชีวิตระดับโลกุตตระนั้น ย่อมบริสุทธิ์จากอกุศลเจตนาทุกประการ พระพุทธศาสนาสรุปชัดเจนในประเด็นว่า ฆ่าสัตว์ผิดศีลผิดวินัย บางกรณีผิดกฎหมายบ้านเมือง กินเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ไม่ผิด ถ้าเป็นพระภิกษุฉันผิดเงื่อนไข ผิดพระวินัย ถ้าไม่ผิดเงื่อนไข ไม่ผิดพระวินัย นั่นเป็นเรื่องของศีลของคฤหัสถ์และพระวินัยของพระภิกษุ แต่อย่าลืมว่า ฆ่าสัตว์กับกินเนื้อสัตว์เป็นคนและประเด็น กินเนื้อสัตว์ในกรณีที่แม้จะไม่ผิดศีลหรือพระวินัย แต่ส่งผลต่อคน/สัตว์รอบข้างและอุปนิสัยจิตใจของผู้กินแน่นอน
ใน ลังกาวตารสูตรแสดงเหตุผลที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ สรุปได้ว่า "ในสังสารวัฏ คนที่ไม่เคยเป็นบิดามารดา ไม่เคยเป็นพี่น้องกัน ไม่มี สัตว์ทุกตัวตนมีความสัมพันธ์ทั้งสิ้นไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง" เพราะฉะนั้น กินเนื้อสัตว์วันนี้ เราอาจกำลังกินเนื้อของสัตว์ที่เคยเป็นบิดามารดาของเราในชาติที่แล้วมาหรือ ในอีก ๕ ชาติข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงผลเสียของการกินเนื้อสัตว์ไว้ เช่น ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของสัตว์ ต่าง ๆ ทำให้กลิ่นตัวเหม็น ทำให้ชื่อเสียงไม่ดีกระจายไป...
โดย...พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (วันจันทร์)
ป.ธ.๙, ศษ.บ.,พธ.ม.(พระพุทธศาสนา), Ph.D. (Buddhist Studies)
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
อันตรายอาหารเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งร้ายหลาย ๆ ชนิด
----ยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ และ ทีมคณะแพทย์ชื่อดังระดับโลกที่ทำการศึกษาวิจัยจากผู้ ป่วยกว่า 500000 คนท่วโลก ใช้เวลากว่า 7 ปี โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ กว่า 12000 คน
น่ากลัวคาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ๆ เพิ่มอีกกว่า
เนื้อสัตว์ เป็นบ่อเกิด ต้นตอของนานาโรคร้ายหลากหลายชนิด
เช่นโรคมะเร็ง เต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
และจากการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ ฮาวาด์ แห่งสหรัฐ และ
มหาลัยแพทย์ ลีด แห่ง ประเทศอังกฤษ เนื้อสัตว์ ยังเป็นต้นเหตุหลัก ๆ ของ
มะเร็งต่อมลูกหมาก และ มะเร็งรังไข่
ข้อมูลโดยมหาลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก
มหาลัยเทกซัส สหรัฐ
มหาลัยชิคาโก สหรัฐ
มหาลัยฮาวาย สหรัฐ
มหาลัยฮาววาด สหรัฐ
มหาลัยแพทย์ แห่งออสเตอเรีย
มหาลัยคิวเบค แห่งแคนาดา
มหาลัยออกฟอร์ด แห่งอังกฤษ
มหาลัยลีด แห่งอังกฤษ
มหาลัยแฟงค์เฟิต แห่งเยอรมัน
โดยการสนับสนุนสถาบันวิจัย โรคมะเร็ง แห่งสหรัฐ
National Cancer Research Institue - USA
สถาบันโรคมะเร็ง แห่ง WHO
The World Cancer Research Fund ( WCRF )
และวารสารสุขภาพชื่อดังระดับโลกกว่า 100 ฉบับรวมถึง
เอกสารทางการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังก้องโลก
ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่ (พุทธศาสตร์+วิทยาศาสตร์
มุมมองความเห็นจากพระสงฆ์ไทย
และจากพระ อาจารย์ บัญฑิต พระฝรั่งชาวอังกฤษ
อดีตผู้อุปถาฐพระอาจารย์ สุเมโท พระฝรั่งตะวันตกพระลูกศิษย์ รุ่นบุกเบิก
พระอาจารย์ ชา แห่งวัดป่านานาชาติ
ได้ให้ข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศอังกฤษ ประชากรกว่า40% หรือเกือบ 30 ล้านคน
ได้ละเลิกการบริโภคเนื้อสัตว์ มาเป็นอาหารมังสะวิรัติ
ปลอดเนื้อสัตว์ เพื่อสุขภาพ และ หวั่นเกรงมหันตภัยโรคร้าย
จากเนื้อสัตว์ ที่เคยคุกคามฆ่าชีวิตชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากจากโรคมะเ ร็ง ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ ปีละจำนวนมาก ๆ
ต่อเนื่องด้วยโรควัวบ้าระบาด เมื่อ 6 ปีก่อน และอีก 3 ปีถัดมาโรคไข้หวัดนกระบาด ทำให้ชาวอังกฤษหวาดผวาภัยจากเนื ้อสัตว์
ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง
http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080
คลิปวีดีโอ สท้อน ความเป็นจริงเบื้องหลัง อาหารของเรามาจากไหน
สลดหดหู่ต่อ สัตว์ทั้งเล็กใหญ่ ต่าง ก็ เกิดมาเป็น เพื่อนร่วมโลก ผจญวิบากกรรม
ต่าง รัก ตัว กลัวตาย รุ้จัก ร้อน หนาว ได้โปรดเมตตาสงสาร
คลิปวีดีโออาจไม่เหมาะ ต่อเด็กเล็ก หญิงมีครรญ์ และ ผู้กำลังบริโภคอาหาร
http://atcloud.com/stories/33828
ในคัมภีร์พุทธวงศ์ เรื่องธรรมดาของพระพุทธเจ้า อาหารมื้อสุดท้ายคือสุกรมัทวะ คือเนื้อมังสะ เนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว เราไม่ได้สั่งฆ่า ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้สง
สัยว่าฆ่าเนื้อนั้นเพื่อเรา เนื้อนี้บริสุทธิ์ในการบริโภค แต่เมื่อบริโภคก็ควรพิจารณาในการบริโภคว่า ไม่ใช่เพื่อเอร็ดอร่อย บำรุงความงามแห่งอวัยะหรือมัวเมาใดๆ แต่พิจารณาว่ากินเพื่ออยู่ เพื่อดับทุกขเวทนา เพื่อยังสังขารให้เป็นไปได้ มีแสดงเหมือนกัน(จำไม่ได้ว่าเล่มไหนในพระไตรปิฏก) ที่ท่านให้พิจารณาเหมือนดังสามีภรรยาและลูกเดินทางที่กันดารแล้วลูกน้อยต้องเสียชีวิต พ่อแม่จำใจต้องกินเนื้อของศพลูกเพื่อประทังชีวิต .. ว่าโดยสภาพปรมัตถ์ซากเนื้อ ก็คือธาตุ ๔ ที่ไม่มีวิญญาณครองแล้ว เป็นรูปวัตถุที่เสื่อมสลายด้วยอุตุคือความร้อน ความเย็น ถ้าไม่มีผู้กินซากเนื้อนั้นมันก็กลายสภาพบูดเน่าเหม็น ดังนั้นซากเนื้อจะบูดเน่าเหม็นหรือยังไม่เน่าเหม็นโดยสภาพตัววัตถุที่ไม่มีวิญญาณครองนี้จึงไม่ใช่วัตถุกิเลส (วัตุกาม) ดังนั้นโดยสภาพของซากเนื้อคือไม่ใช่ตัวบุญหรือตัวบาป การกินด้วยกิเลสแล้วทำผิดศีลเจตนาเบียนเบียดนั้นแหละเป็นบาป เจตนา ๆ ๆ...ในทางกลับกันสมมุติว่า สมมุติว่าการกินเนื้อเป็นบาป..สมมุติ ..ข้าว ผัก ผลไม้ กว่าจะได้มาก็ต้องขุด หว่าน ไถ ทำลายชีวิตไส้เดือนบ้าง ฉีดยาฆ่าแมลงบ้าง ฯลฯ คนกินข้าง ผักผลไม้ ก็ชื่อว่าทำบาปด้วยนะซิ ..งั้นไม่ต้องกินอะไรดีไหม..กินลมได้ไหม..กินน้ำเปล่าได้ไหม กล่าวจะได้น้ำเปล่าๆสักแก้วต้องต้ม กรองบ้าง ทำลายฆ่าจุลินทรีย์ในน้ำก็เป็นบาปด้วยนะซิ..ใช้รถใช้ถนนก็บาปด้วยนะซิ..ทำไมเล่า ก็ควันเป็นพิษทำร้ายคนที่เป็นภูมิแพ้ไงละ..อยากให้อ่านเรื่องพระนางสามาวดี ที่นางบรรลุธรรมแล้วยังนำเนื้อไก่ปรุงอาหารถวายแก่พระเจ้าอุเทน จะเขียนเย่นเย้อก็มากไป ขอจบสาระธรรมยกสาธกมาเพียงเท่านี้ ไม่อยากให้ชาวพุทธหลงประเด็นลื่นไหลจากพระธรรมของพระพุทธองค์
ในพระวินัยเล่ม ๙ แสดงถึงภิกษุรูปหนึ่งสำคัญว่า เจ้าอวัยะเพศนี้มันเป็นตัวที่ทำให้เกิดกำหนัดราคะ ตัดมันทิ้งไปความกำหนัดก็จะถูกตัดไปด้วย เมื่อพระองค์ทราบทรงตำหนิมากมาย ภิกษุใดตัดอวัยวะเพศต้องอาบัติทุกกฎ ตงลงตัวกิเลสอยู่ที่จิตหรือที่อวัยะวะนั้นๆ เช่นกัน ซากเนื้อที่ไม่มีชีวิต ไม่ใช่ตัวกิเลส ผู้บริโภคที่มีกิเลสต่างหากเล่าคือสิ่งที่ควรสำรวม