โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

 pt   17 ก.ค. 2563

ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป


โพธิสัตว์ฉัททันต์

ครั้งชินวร สอนโลก โปรดเหล่าสัตว์
ให้สละ ตัดรอน ถอนหลงใหล
ขุดรากเหง้า เถากิเลส เหตุเภทภัย
เพื่อจิตได้ คลายเขลา เข้านิพพาน
มีอยู่ครา องค์มหา มุนีตรัส
โปรดบริษัท ณ เชตวันวิหาร
หญิงนางหนึ่ง มองเห็นซึ้ง ถึงโทษกาม
ให้เกรงขาม ครั่นคร้ามร่วง ห้วงอบาย
จึงอำลา ฆราวาส พากเพียรจิต
ไม่ข้องติด อามิสโลก โทษเหลือหลาย
บวชเป็นสงฆ์ วงศ์เถรี หนีวุ่นวาย
ฝึกใจให้ คลายหลง ปลงนิวรณ์
เช้าจรดค่ำ เถรีท่าน เฝ้าย้ำจิต
หมั่นดำริ ตริธรรม คำสั่งสอน
ยืนเดินนั่ง ท่านกระทำ ตามครรลอง
หวังรื้อถอน ผองตัณหา ที่คาใจ
ภิกษุณี พลีใจ ให้ธรรมหมด
ปลีกเลี่ยงหลบ ไม่คบอยู่ หมู่สหาย
เข้าฌานพิศ จิตขันธ์ สรรพางค์กาย
บ่ท้อหน่าย คลายเปลี่ยน เพียรฝึกตน
แต่มีครั้ง คราท่าน นั่งสดับ
ฟังข้ออรรถ ดำรัสธรรม ท่ามกลางสงฆ์
เกิดเผลอจิต พิศมอง จ้องพุทธองค์
ช่างงามสม งามสรรพ ประจักษ์จริง
พระรูปโฉม โนมพรรณ รำไพเพริศ
จ้าบรรเจิด เลิศหาไหน ในชายหญิง
พระปุริสลักษณะ ประทับจินต์
พร้อมอนุพยัญชนะสิ้น ทั่วกายา
ยามทรงพัก ประทับองค์ บนธรรมาสน์
พระฉัพพรรณรังสีอาบ วาบนักหนา
พร่างระยับ วับวาว พราวนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์
พระสำเนียง สุรเสียง จำเรียงเพราะ
ฟังเสนาะ ไพเพราะใจ ให้ถวิล
แสนดูดดื่ม ปลาบปลื้มเหลือ เมื่อได้ยิน
ทั่วหล้าสิ้น เสียงเทียบ เปรียบภูวไนย
จึงปรุงจิต คิดไป ในภพผ่าน
ถึงเมื่อกาล กัปปี มีบ้างไหม
เราเป็นบาทบริจา ข้าจอมไตร
ภาพหลังให้ ผุดเด่น เห็นทันที


มีอยู่ครั้ง สรรเพชญ เสด็จอุบัติ
เป็นจอมสัตว์ นามฉัททันต์ วรรณหัตถี
ครองหิมพานต์ ตระการแคว้น แดนพงพี
เปี่ยมศักดิ์ศรี มีฤทธา กว่าสัตว์ใด
ครั้งนั้นเรา เฝ้าคลอ นรการ
อยู่เคียงข้าง วาบหวามจิต พิสมัย
ออกเที่ยวท่อง ล่องเขา ลำเนาไพร
โตรกโขดเขิน เนินไศล สุขใจจริง
จึงเอิบอิ่ม กระหยิ่มใจ ให้ปราโมทย์
จิตสันโดษ พลันโลดออก นอกกรอบศีล
เปล่งหัวร่อ งอหาย ชอบใจจริง
ลืมตัวสิ้น ทิ้งวัตร สมณะชี
แล้วจู่จู่ อยู่อยู่พลัน ท่านก็เปลี่ยน
จิตวกเวียน เปลี่ยนมาคิด พิศโฉมศรี
อันภรรยา ทั่วโลกา บรรดามี
ยากเป็นศรี เป็นศักดิ์ ภัสดา
จึงเพ่งฌาน ควานค้น ถึงตนเล่า
ครั้งตามเฝ้า เจ้าทันตี ดีไหมหนา
หรือมุ่งติ ตำหนิโทษ โกรธภรรดา
หรือคิดร้าย หมายฆ่า พร่าชีวัน
กาลบัดนั้น ท่านคร้ามใจ วาบไหวจิต
ภาพความผิด ติดตราตรึง จึงโศกศัลย์
ผุดสว่าง กระจ่างเด่น เห็นบาปทัณฑ์
ที่เคยพลั้ง พลาดหลง ลงอบาย
ตนเคยใช้ ให้พราน ผลาญชีวิต
ด้วยทิฐิ ปิดตา พาฉิบหาย
ยิงศรพิษ ปลิดปลง องค์ดำไร
ตัดงาใหญ่ ไอยรา มาเชยชม
พอระลึก นึกย้อน อกร้อนเร่า
ยากบรรเทา ด้วยตนเขลา เศร้าขื่นขม
สุดจักขืน ฝืนใจ ไม่ระทม
จึงร้องห่ม หล่นน้ำตา หน้าทักขิไณย
พุทธองค์ ทรงแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
ถึงเถรี ทีท่า น่าอับอาย
สงฆ์ต่างใคร่ ได้ฟัง คำพระองค์
จึงพนม ก้มกราบ เอ่ยปากถาม
ถึงอาการ ท่าที มีฉงน
ของเถรี นางนี้ ที่ชอบกล
ขอพระองค์ ทรงแจ้ง แถลงความ

พระโลกนาถ ปราชญ์มุนินทร์ ยินดำรัส
ทรงตอบกลับ ตรัสไข ในคำถาม
ถึงเถรี มีประหลาด ยากพบพาน
เดี๋ยวสรวลสันต์ เดี๋ยวพลันไห้ ไม่เข้าใจ
จึงทรงยก ชาดกมี เป็นที่กล่าว
ถึงเรื่องราว เล่าขาน นานเหลือหลาย
ย้อนภพชาติ มากกัป หากนับไป
มีกุญชร ครองป่าใหญ่ ในแดนดง
เหล่าหัตถี มีกัน แปดพันเชือก
คชาเผือก ผู้เกริกใหญ่ ในไพรสณฑ์
ครองหมู่กรี มีเดชา กว่าทุกตน
เที่ยวสุขสม ดงแดน แคว้นหิมพานต์
โขลงมาตงค์ ดำรงพัก ณ สระใหญ่
เหล่าดำไร ลงเวียนว่าย ริมชายน้ำ
สระกว้างยาว น้ำใสขาว พราวตระการ
แต่ละด้าน ห้าสิบสองโยชน์ โอบจดกัน
กึ่งกลางน้ำ หยั่งมิด สิบสองโยชน์
ไร้โตนด โคตรเหง้า เหล่าบัวผัน
พลิ้วระลอก กระฉอกซัด รับตะวัน
งามสีสัน พรรณราย ประกายแวว
ห่างตลิ่ง ถิ่นจงกล แลบงกช
ดอกสีสด หมดจดงาม อร่ามแผ้ว
แดงชมพู คู่ขาวเหลือง เรืองรองแวว
ดุจดั่งแก้ว มณีเด่น เปล่งประกาย
ถัดจงกล เหล่าอุบล ปนโกมุท
สวยผ่องผุด บุษบัน ช่างเฉิดฉาย
นิลปัทม์ สัตตบุษย์ ผุดเรียงราย
แผ่ขยาย หลายหลาก ยากเอ่ยนาม
ใกล้ตลิ่ง ริมขอบ รอบบึงใหญ่
มวลสาหร่าย รำไรเด่น เห็นในน้ำ
พลิ้วเอนไหว ไหลตามคลื่น ระรื่นงาม
แพงพวยน้ำ หนามแขยง แซมคู่กัน
สันตะวา ไส้ปลาไหล ขาไก่ด่าง
ผักเป็ดน้ำ เขียวงามแดง แกมสีสัน
พุทธรักษา กกนาทราย หลายหลากพันธุ์
โอนเอนหัน ผันตามลม ชมชื่นใจ

ขึ้นจากฝั่ง สะพรั่งไกล ไปหนึ่งโยชน์
ป่าข้าวโพด ข้าวสาลี มีมากหลาย
ฝักเขียวนวล รวงอร่าม งามจับใจ
ต้องลมไหว ใบสีดัง ฟังชวนเพลิน
ถัดป่าข้าว ยาวขนัด แตงฟักเขียว
เถาบิดเกลียว เกี่ยวกัน พันยุ่งเหยิง
ผลสุกแก่ แต่ละใบ ใหญ่เหลือเกิน
แตกแดงเยิ้ม ต้องแดดกล้า น่าเสียดาย
ติดไม้เถา ยาวไกล ดงไผ่หว้า
กล้วยพุทรา น้อยหน่าปรู ดูหลากหลาย
จันมะซาง มะขามหม่อน ซ่อนเรียงราย
เหลืองลูกหวาย รายร่วง ท่วมทับกัน
เหล่าไม้ผล อุดมเหลือ เอื้อเฟื้อสัตว์
ไม่อัตคัด ขัดใด ในไพรสัณฑ์
อยู่สบาย กายไม่ทุกข์ สุขประดัง
ดุจสวรรค์ เมืองแมน แดนหิมพานต์

เลยไม้ผล ดงไพร เขาใหญ่รอบ
เปรียบดังกรอบ รอบกั้น เจ็ดชั้นขวาง
เทือกในสุด ผุดผ่อง เรืองรองงาม
เหลืองอร่าม นามสุวรรณ ปัสสคิรี
ทิศอีสาน ห่างสระไป ไทรใหญ่เด่น
แลมองเห็น เช่นไศล เลื่อมพรายสี
ต้องรำไพ ไสวพราว ราวมณี
ถือเป็นที่ กรีพัก พำนักกาย
ห่างย่านไทร นิโครธใหญ่ แผ่ใบก้าน
แลตระการ ยามแดดแรง พันแสงฉาย
โคนเตียนโล่ง โปร่งระรื่น ชื่นสบาย
คชมากหลาย คลายร้อน นอนพักกัน
ช่วงคิมหันต์ เจ้าฉัททันต์ นั้นไม่เปลี่ยว
พาโขลงเที่ยว ท่องไพร ใจสุขสันต์
กินไม้ผล ชมไม้ดอก หยอกล้อกัน
ร้อนเล่นน้ำ สนานสุข สนุกเชียว
ตกยามเย็น เห็นรวี รี่แสงจ้า
เจ้าโขลงพา พลพรรค พักไทรเขียว
แล้วเลี่ยงหลีก ปลีกตน มาองค์เดียว
ยืนโดดเดี่ยว เหลียวดู หมู่บริวาร
เย็นพระพาย ชายเฉื่อย ระเรื่อยอ่อน
ทิพากร รอนแดง แสงผสาน
สัตตบุษย์ หลุบดอกใบ ในสระงาม
ฟ้ามืดค่ำ ดื่มด่ำสุข ทุกราตรี

เข้าวัสสาน พักกาญจนคูหา
เหล่าคชา ว้าวุ่นใจ ไม่สุขี
หลบฝนตก นอนขดถ้ำ ชอกช้ำฤดี
อยากจักหนี พงพีท่อง ล่องพฤกษ์ไพร
จนฝนผ่าน ฤดูกาล นานสิ้นสุด
เหล่าโคบุตร ทนทุกข์นาน รำคาญหลาย
ออกจากถ้ำ ย่ำดง พงพฤกษ์ไพร
ได้ชมนก ชมไม้ ผ่อนคลายเสียที
ป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ประชันช่อ
ขาวลออ ช่อเต็ง เปล่งรัศมี
เหลืองอร่าม ดอกรังผ่อง ต้องรวี
ต่างแข่งสี แข่งตระการ งามเคียงกัน
สิ้นเหมันต์ มวลดอกรัง เริ่มคล้ำแตก
กลีบบานแยก แดงแปลกตา คราลมผัน
ปลายงอนช้อย ห้อยดอกเห็น เช่นระฆัง
หลุดขั้วคว้าง เคว้งพลิ้ว ลิ่วตามลม
เหล่าบริวาร เห็นถึงกาล สนานสนุก
ไม่เจ่าจุก รุดเฝ้า เจ้าไพรสณฑ์
แจ้งดำไร ไอยรา พาพวกตน
เล่นกีฬา ดอกรังหล่น หมุนลมปลิว
ท้าวคชินทร์ ยินคำ ดำรีว่า
จึงรีบพา สองภรรยา นำหน้าลิ่ว
เหล่าบริวาร ตามชิด ติดเป็นทิว
แลลิบลิ่ว ริ้วขบวน ชวนเพลินมอง
ขวามหา สุภัททา สง่าสาง
ซ้ายไม่ห่าง จุลลภัททา ภรรยาสอง
บาทบริจา คชาเจ้า เหล่ากุญชร
คู่สมร สองกรินี ศรีวารณ
ดูแฉล้ม แช่มช้อย หยดย้อยยิ่ง
เกินกรินทร์ ถิ่นใด ในไพรสณฑ์
ยุรยาตร นวยนาดย่าง ข้างพระองค์
ช่างงามสม องค์ท้าว เจ้าไอยรา

ถึงป่ารัง แดงสะพรั่ง ดอกรังแก่
ไกวปรวนแปร แลละลาน บานหล่นหล้า
ต้องลมหนุน หมุนติ้ว พลิ้วไปมา
ร่อนถลา ตื่นตาเพลิน เจริญใจ
เหล่ามาตงค์ ดมไร ใจสุขสันต์
เตรียมแย่งดัน ต้นรังโคลง โอนเอนไหว
ดอกหลุดพวง ร่วงร่อน ว่อนพฤกษ์ไพร
แล้ววิ่งไล่ ให้สนุก สุขอุรา
โพธิสัตว์ ฉัททันต์ ครั้นแลเห็น
เหล่ากเรนทร์ นาเคศ ชายเนตรหา
จึงเยื้องย่าง ห่างสมร สองภรรยา
ก้าวเข้าหา รังใหญ่แก่ แต่ลำพัง
ครั้นถึงหน้า พญาไม้ รายใบตก
ราชาคช วกพักตร์ มองกลับหลัง
เหล่าพลายสาร ต่างพยัก หน้ารับพลัน
เจ้าไพรหัน ถลันมุ่ง พุ่งเข้าชน
พญารัง สะท้านไหว ใบกิ่งร่วง
ช่อดอกพวง ควงว่อน ร่อนสับสน
ดอกหมุนติ้ว ลิ่วเข้าหา เหล่ามาตงค์
พลันโกลาหล สับสนสุข สนุกกัน
หลังได้ฤกษ์ เปิดงาน การละเล่น
เหล่านาเคนทร์ คเชนทร์สาง ต่างหฤหรรษ์
เที่ยวพุ่งชน ยลดอกไม้ รายร่อนกัน
ร้องสรวลสันต์ สนั่นป่า น่าเพลินใจ
แต่เมื่อครา ท้าวคชา พญาสาร
พุ่งชนรัง มดแดงพลัน ระส่ำระสาย
ตกกายา ชายารอง หมองระคาย
เนื่องอยู่เหนือ ลมไพร ร่วงใส่พอดี
ส่วนเกสร ละอองไม้ กระจายพลิ้ว
ล่องลอยปลิว เป็นริ้วลง พรมมารศรี
ทั่วสรรพางค์ จอมนางใหญ่ ให้ยินดี
เหล่าหัตถี ปรีดาร้อง ก้องพฤกษ์ไพร
อนุรอง มองเห็น เข่นเขี้ยวโกรธ
ลืมตัวโทษ โกรธา ไอยราใหญ่
รักเมียหลวง ห่วงหา เฝ้าอาลัย
ส่วนตนไซร้ ไม่คำนึง นึกถึงกัน
จึงจดจำ กล้ำกลืนแค้น ฝังแน่นจิต
ตามืดมิด ริษยา บ้าโมหันธ์
ไม่ไต่ถาม ความนัย อย่างไรกัน
ด่วนสะบั้น ไมตรี ที่มีมา

ล่วงเดือนห้า หน้าแล้ง ป่าแห้งหมด
ไม่สวยสด ซบเซา เหล่าพฤกษา
ต้องแดดเผา เฉาไหม้ ไร้ชีวา
มวลช้างป่า พาฝูงเปลี่ยน เวียนสระงาม
บ้างหลบแดด แทรกก่าย ใต้เงากร่าง
บ้างเบิกบาน สนานชล ลงเล่นน้ำ
บ้างหมอบจ้อง ภมรดอม ดอกพลองงาม
บ้างเกียจคร้าน พานซุก คลุกโคลนตม
ท้าวพญา คชาธาร สำราญว่าย
ธารน้ำไหล ใสบริสุทธิ์ ใจสุขสม
เคียงนุชนาฏ ขนาบข้าง ไม่ห่างองค์
ดำอาบสรง จนพอควร ชวนขึ้นกัน
ยืนโขดหิน หว่างยุพิน ผินมองหมู่
เหลือบแลดู อยู่ไม่ไกล ใจสุขสันต์
เห็นบริวาร สนานสุข สนุกกัน
จึงสรวลสันต์ หรรษา หาใดเกิน
สองดำรี ศรีภรรยา คชาเจ้า
ต่างคอยเฝ้า ดั่งเงาตาม ไม่ห่างเหิน
คลอแนบชิด ติดข้าง ทุกย่างเดิน
ยิ่งขับเสริม เพิ่มยศศักดิ์ เจ้าฉัททันต์

เพลานั้น มีดำไร ใจอาจหาญ
ว่ายสระงาม ดำน้ำตรง ดงบุหงัน
โผล่กลางกอ หน่ออัมพุช บุษบัน
บานสีสัน ประชันช่อ ล้อลมไกว
มีดอกหนึ่ง ช่างสวยซึ้ง ตรึงดวงจิต
เบ่งบานผลิ เจ็ดกลีบชู ดูสดใส
เจิดจรัส รัศมี มีประกาย
งามเฉิดฉาย ไร้ใดเทียบ เปรียบอุบล
เจ้าพลายเห็น เผ่นพุ่ง มุ่งเข้าหา
ว่ายธารา ฝ่าไป ใจสุขสม
ตั้งใจเด็ด เก็บนำให้ เจ้าไพรชม
ถึงเหนี่ยวโน้ม งวงถอน ประคองมา
แล้วขึ้นฝั่ง ตรงยัง ฉัททันต์เจ้า
พลายสารเข้า เฝ้าหมอบ มอบบุปผา
นาเคศวร ยื่นงวงรับ ปัทมา
พลายพังคา หน้าใส ไกลจากจร
หลังรับก้าน บัวบาน คชสารเจ้า
พลันน้อมเกล้า งวงยาวชู พรูเกสร
ร่วงกระหม่อม กระพองงาม เมื่อยามมอง
ยื่นดอกหอม ประคองให้ เมียใหญ่เชย
อนุเจ้า ท้าวคชา ชายาสอง
เหลือบตามอง คับข้องใจ ใคร่เฉลย
รักเมียใหญ่ ไม่แบ่งใจ ให้ตนเลย
ปากไม่เผย เอ่ยไป ใจจดจำ

แล้ววันหนึ่ง บุญมาถึง ซึ่งผองสัตว์
มีเหล่าพระ คณะหมู่ สู่ไพรสัณฑ์
ห้าร้อยองค์ ทรงพิสุทธิ์ ผุดผ่องพรรณ
พักไม่ห่าง สระใหญ่ ใกล้นที
ท้าวฉัททันต์ ครั้นทราบ เอิบอาบจิต
เกิดดำริ ทิฐิหนุน บุญราศี
คิดถวาย หลายหลากภัตร กับมุนี
จึงป่าวร้อง ชวนน้องพี่ ทำดีกัน
เหล่าพหล พลช้าง เบิกบานยิ่ง
พากันวิ่ง เข้าไพร ใจสุขสันต์
เก็บผลหมาก รากไม้ รายรอบพลัน
อึกทึก คึกลั่น สนั่นไกล
ทั้งกล้วยหอม งอมเหลือ เนื้ออร่าม
ทั้งอ้อยตาล มะขามมะพูด ลูกหวาย
ทั้งเผือกมัน ฝรั่งหม่อน กองเรียงราย
แตงมากหลาย มะไฟหวาน บานพะเนิน
ท้าวพารณ คนมะซาง ด้วยน้ำผึ้ง
เคล้านวดคลึง ซึมผิวผ่าน รสหวานเพิ่ม
แล้วกอบใส่ ใบบัว ทูนหัวเดิน
สองนางเสริม ผลาผล ขนตามไป
ฝูงไอยรา หน้าใส ใจเปี่ยมสุข
ไม่ซนซุก หลุกหลิก ผิดวิสัย
เดินเป็นแนว แถวเรียง เคียงกันไป
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
ถึงที่พัก พำนักสงฆ์ มาตงค์หยุด
เจ้าไพรทรุด คุกเข่ายอบ นอบเกศา
เหล่าบริวาร ผสานตาม สารราชา
ต่างก้มหน้า น้อมเศียร เตียนติดดิน
เจ้าจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
ตั้งจิตปอง น้อมจิตตรง องค์ทรงศีล
ขออานิสงส์ ผลทาน เป็นตามจินต์
ชีพแดดิ้น สิ้นใจ ครรไลลา
แม้นเกิดใหม่ ให้สมหวัง ดั่งความคิด
หลังจุติ ปิดอบาย ไกลทุกขา
เกิดในพงศ์ วงศ์มัททะ กษัตรา
มีชื่อว่า สุภัททา กัลยาณี
ครั้นเติบใหญ่ ให้รูปร่าง สะอางโฉม
ใครยินยล ล้นเมตตา มารศรี
เป็นที่รัก สมัครสมาน สามัคคี
เจ้ากาสี รักใคร่ ให้โปรดปราน
นับแต่นั้น พังเจ้า ไม่เฝ้าติด
ไม่ตามชิด สนิทเคล้า เจ้าช้างสาร
ไม่ดื่มกิน ไม่สุงสิง บริวาร
เนิ่นวันผ่าน สังขารรูป ซูบซีดไป
จนวันหนึ่ง ฟ้าให้ครึ้ม ซึมผิดแปลก
วังเวงแทรก แนบเศร้า เหงาไฉน
เหมือนเป็นลาง บันดาลเหตุ แห่งเภทภัย
ผืนป่าใหญ่ เงียบเหลือใจ ไปทั่วกัน
กรินีนิ่ง สิ้นใจ ในที่สุด
ล้มหมอบทรุด ฟุบดิน สิ้นอาสัญ
ชีพสลาย แตกตาย วายชีวัน
ไร้คู่ขวัญ ลำพังตน ในดงแดน
ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป

ปีวันเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลหมุนเปลี่ยน
สุขทุกข์เวียน วนกลับ เกิดดับสลาย
เคยทุกข์ทน พลันพ้นทุกข์ สุขสบาย
เคยเฉิดฉาย กลับกลายพลาด ยากฝืนกรรม
สิ้นจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
เจ้ากุญชร นองน้ำตา พาโศกศัลย์
เฝ้าคำนึง ถึงคู่ เคยอยู่กัน
ตรมชอกช้ำ พอวันผ่าน ก็สร่างไป
ณ ดินแดน แคว้นเขต ประเทศราช
ดารดาษ หลากชน คนหลั่งไหล
กิจการ ร้านค้า หนาเรียงราย
พราหมณ์ศูทรไพร่ ไร้ทุกข์ สุขทั่วกัน
เจ้ามัททะ กษัตรา ราชาใหญ่
ธ มีใจ เมตตา พาสุขสันต์
ไม่ตึงเคร่ง เค้นส่วย เอื้ออวยกัน
ทั่วเขตขัณฑ์ ร่ำลือ ระบือไกล
ยิ่งใกล้ครบ ทศมาส คาดครรภ์คลอด
ทรงประกอบ ครอบคลุม บุญมากหลาย
ตั้งโรงทาน ประทานทรัพย์ สลับไป
ไพร่หน้าใส เริงรื่นใจ ไปทั่วกัน
ครั้นถึงฤกษ์ เบิกฟ้า ชายาประสูติ
ธิดาผุด ผ่องพิลาส ดังจากสวรรค์
ผิวอร่าม งามเหลือ หน่อเนื้อทรงธรรม
นามลือลั่น สุภัททา กุมารี
เมื่อเติบใหญ่ วัยสาว ราวสิบห้า
พระบิดา พาเฝ้า เจ้ากาสี
ถวายตน ปรนนิบัติ คอยพัดวี
องค์ภูมี ปรีดิ์ปลื้ม ชื่นฤทัย
จึงโปรดตั้ง นั่งดำรง สนมเอก
ใต้เศวต ฉัตรงาม เคียงข้างไท้
มีอำนาจ มากล้น สนมใด
หมื่นหกพัน นางใน ใต้บัญชา
ซ้ำบุญเก่า เฝ้าเสริม คอยเติมหนุน
ช่วยพยุง จิตมั่น ตั้งรักษา
เกิดฌานเห็น ภาพอดีต กรีดอุรา
องค์ชายา แค้นโกรธ โทษฉัททันต์

จึงวันหนึ่ง ให้ถึง ซึ่งโอกาส
โฉมพิลาส มากแสร้ง แกล้งโศกศัลย์
อ้างเป็นไข้ ใจไม่สุข ทุกข์ประดัง
เอาน้ำมัน ทากาย หมายหลอกไท
องค์วิภู รู้ข่าว รวดร้าวจิต
นั่งไม่ติด ผิดอาการ เหงื่อพานไหล
รีบย่างองค์ ตรงหา ยอดยาใจ
ห่วงโฉมฉาย ใจหายคิด จิตพะวง
ถึงตำหนัก ตรัสถาม อาการสมร
ไยบังอร จึงนอนไข้ ไม่สุขสม
ผิวเหลืองแปลก แผกไป คนละคน
ให้ฉงน นงพะงา ล้าอ่อนแรง
ท้าวสนม บรรทมใน ที่ไสยาสน์
แค่เอ่ยปาก ทำยากยิ่ง ประวิงแกล้ง
พูดสำเนียง เสียงกระเส่า เล่าสำแดง
บอกแถลง แจ้งเหตุ อาเพศไป
เมื่อคืนน้อง นอนฝัน อัศจรรย์เหลือ
ยากคนเชื่อ เมื่อฟัง คำบอกไข
เกิดความอยาก มากประมาณ เกินห้ามใจ
ถ้าไม่ได้ ใจร้อนเร่า เศร้าฤดี
แถมเจ้าครรภ์ พลันกำเริบเสิบสานซ้ำ
แพ้ประดัง ช่างจำเพาะ เหมาะเหลือที่
ช่วยกันรุม สุมน้อง รุ่มร้อนทวี
อยากจักลี้ หนีหน้า ลาจากไกล
แม้ไม่สม อารมณ์ฝัน ดั่งความคิด
น้องคงจิต ปลิดดับ ชีพตักษัย
ใจคับข้อง หมองเศร้า เฉาแห้งตาย
แหลกสลาย อย่าหมายคืน ฟื้นชีวี

ธรณินทร์ ยินคำ รำพันกล่าว
ให้ตาวาว เฝ้าจำ คำมารศรี
แพ้ครรภ์ท้อง ร้อนรุ่ม กลุ่มฤดี
จึงยินดี ปรีดา หน้าบานครัน
โอ้นงเยาว์ เจ้าแพ้ท้อง หรือน้องพี่
ยุพดี ศรีไผท ไอศวรรย์
เจ้ามีเชื้อ หน่อเนื้อพงศ์ วงศ์เทวัญ
ในกายนั้น ช่างดีเลิศ ประเสริฐจริง
จึงตรัสถาม อาการแพ้ แลความฝัน
เกี่ยวข้องกัน ฉันใด ไยโฉมฉิน
จึงนอนซม อมไข้ ไม่ยอมกิน
ขอยุพิน ผินหน้า บอกมาที

โฉมนงราม ฟังความ ภูบาลกล่าว
ตีหน้าเศร้า เฝ้าถอดใจ ใคร่ไกลหนี
ให้ลำบาก ยากเอ่ย เผยวจี
แพ้ครรภ์นี้ มีประหลาด หากบอกไป
ก่อนเล่าขาน น้องขอถาม ถึงพรานป่า
ทั่วอาณา วนาลี มีเพียงไหน
ขอพระองค์ ทรงบัญชา มาเร็วไว
จึงจักได้ เผยความนัย ให้ทราบกัน
ภูวไนย ได้ฟัง พลันสงสัย
แต่เร่งไป ในฤทัย ใคร่ทราบฝัน
รีบบัญชา เสนาไพร่ ให้รวมกัน
ตรัสแถลง แจ้งคำ กัลยาณี
เหล่าข้าราช ทราบความ ตามคำบอก
กระจายออก รอบแดน แคว้นกาสี
สามร้อยโยชน์ โอบครอบ รอบธานี
แจ้งวจี ภูบดี มีบัญชา
ให้เหล่าพราน ชำนาญไพร ใกล้ไกลล้วน
ยกขบวน รวมพลัน กันพร้อมหน้า
ตามหัวเมือง เคลื่อนพลเข้า เฝ้าราชา
นับเวลา เจ็ดวันมี จากนี้ไป
ผู้ใดฝืน ขืนขัด ดำรัสสั่ง
ให้โบยหลัง ขังรวม ตีตรวนใส่
ทรมาน งานโยธา เป็นข้าไท
ขออย่าได้ เนิ่นช้าไป ให้รีบมา
หลังแถลง แจ้งราช โองการ
เหล่าผองพราน ชำนาญไพร ใจผวา
จัดเสบียง เตรียมเดินทาง ตามบัญชา
มารวมกัน ยังหน้า ศาลาลาน
แล้วเคลื่อนพล ตรงมา พาราหลวง
หลากขบวน ล้วนหลากวัย ให้ล้นหลาม
ทั้งหนุ่มอ่อน ค่อนแก่ แต่ชำนาญ
เรื่องอารัญ วันพนา ป่าพนอง
ถึงกำหนด ครบกาล ตามรับสั่ง
พรานพร้อมพรั่ง นั่งลานเต็ม เห็นสลอน
บรรณารักษ์ ตรวจนับแถว ทุกแนวตอน
อำมาตย์พร้อม น้อมบอก ยอดพรานไพร
หลังรวบรวม จำนวนพราน ตามดำรัส
ยอดประจักษ์ ช่างนับยาก มากเหลือหลาย
หกหมื่นคน เรียงตนเข้า เฝ้าเทิดไท
ขอทรงได้ ทัศนา หน้าบัญชร
องค์ราชัน ครั้นทราบ เอิบอาบนัก
เสด็จตำหนัก เทวี ศรีสมร
เข้าตระกอง ประคองนำ ยังบัญชร
เชิญเนื้ออ่อน เลือกมองพราน ตามสบาย

เมื่อนั้น..ท้าวสนม สมจิต พิศพรานเถื่อน
ชายตาเคลื่อน แล้วเอื้อนความ ยามหลับใหล
ฝันเห็นช้าง งางามวาว ขาวอำไพ
กิ่งงอนใหญ่ ไร้คราบ ปราศมลทิน
เปล่งรัศมี มีประกาย เลื่อมพรายพิศ
หกชนิด พิสดาร เกินช้างถิ่น
ทั่วกาสี หามีเทียบ เปรียบคชินทร์
เหล่าทรัพย์สิน สิ้นหล้า ไร้ค่ายล
แม้ไม่ได้ ครอบครอง สองงาคู่
มีชีพอยู่ หดหู่ใจ ไม่สุขสม
กายเฉาแห้ง อ่อนแรงสู้ อยู่ดำรง
คงไม่พ้น ทศมาส ต้องจากลา
องค์ภูมินทร์ ยินคำ รำพันไห้
ให้ร้อนใจ ใคร่ปลอบ ถอดสีหน้า
มองโฉมฉิน พลันผินพักตร์ หันกลับมา
ประกาศหน้า ข้าภูบาล เหล่าพรานไพร
เจ้าทั้งมวล ล้วนฟัง คำสั่งข้า
ใครได้งา มอบภรรยา ของข้าได้
จักประทาน รางวัลงาม ตามชอบใจ
อยากจักได้ สิ่งใด ให้บอกมา
กามสมบัติ อัครค่า ทั่วหล้านั้น
ข้ากำนัล ปันให้ ไม่กังขา
ทั้งแก้วแหวน เพชรนิล แลจินดา
ทาสช้างม้า นาสวน ล้วนเลือกเอา
เหล่าพรานไพร ได้ฟัง พลันฝันหวาน
วาดวิมาน มีบ้านโต โอ่คนเขา
มีเงินทอง กองเรือน เกลื่อนวับวาว
ช่างยั่วเย้า ใจยิ่ง กว่าสิ่งใด
จึงเอ่ยถาม นามกรินทร์ ถิ่นพำนัก
ว่าอยู่ชัฏ พนัสภู คูหาไหน
แคว้นกาสี หามีสาร ดั่งคำไท
ขอจอมไท้ วานบอก ทรงตอบที

เมื่อนั้น โฉมงามฟังพราน เอ่ยถามถิ่น
เจ้าคชินทร์ มิ่งคชา พนาศรี
จึงเพ่งมอง ผองพราน เบื้องล่างมี
หาผู้ที่ มีรูปพักตร์ ดูขัดตา
เนื่องเจ้าชั่ว ทั่วร่าง กลางพรานหมู่
เคยเป็นผู้ คู่เวร จ้องเข่นฆ่า
เจ้ากุญชร คล้องกรรม ผูกพันมา
จักอาสา ราชัน บุกบั่นดง
แล้วนงเยาว์ สะดุดเข้า เจ้าพรานหนึ่ง
จ้องถมึง ขมึงตา ท่าฉงน
เท้าใหญ่งุ้ม ตะปุ่มตะป่ำ ช่างพิกล
เคราแดงล้น พ้นหน้า ตาเหลือกโปน
ท้าวสนม สมจิต พิศอยู่ครู่
จ้องมองดู ศัตรูสาร พลางสุขสม
แล้วชี้หัตถ์ ตรัสเรียกเข้า เฝ้าชั้นบน
ยังตำหนัก บรรทม องค์ชายา

เมื่อนั้น..พรานเถื่อนกายเปื้อนดิน ผินเปะปะ
เห็นนางตรัส ยกหัตถ์ชี้ ที่ไหนหวา
นึกสงสัย พรานใดเล่า เฝ้าชายา
ทั่วผืนป่า ข้าก็แน่ ไม่แพ้ใคร
ครั้นเห็นยาม ยืนทวาร เยื้องย่างหา
มองสบตา ทั่วกายา พาสั่นไหว
เกิดตระหนก วิตกคิด ผิดกระไร
พอยามไข ไท้กาสี มีบัญชา
ให้ตัวเขา เข้าวัง ฟังรับสั่ง
อย่างงงัน ทำซื่อ ทึ่มทื่อหนา
เร่งเร็วรีบ ห้ามกรีดกราย ย้ายย่างมา
ช้าบนบ่า จักหาเศียร เปลี่ยนไม่ทัน
เจ้าพรานไพร ใจชื้น ระรื่นยิ้ม
ให้สมจินต์ วิ่งตามยาม อย่างสุขสันต์
หัวบานเถิก เบิกตามอง ผองเพื่อนพลัน
แบะปากหยัน ลั่นหัวร่อ ห้อตามไป
<script src=" ></a>


ที่มา : พุทธชาดก


 เปิดอ่านหน้านี้  6058 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย