มิใช่ขณะ มิใช่สมัย ..... ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์

 หิ่งห้อยน้อย   10 มิ.ย. 2553


 นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส 

     
 
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ซึ่งไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

 






อรหํ........................
เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สมฺมา สมฺพุทฺโธ ..........
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชฺชาจารณสมฺปนฺโน .....
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคโต ......................
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
โลกวิทู ....................
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ .
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
สตฺถา เทวมนุสสานํ ......
เป็นครูผู้สอน ของเทวคาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทฺโธ .....................
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
ภควา ......................
เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์


เจริญในธรรมเจ้าค่ะ






     

พระผู้มีพระภาคเจ้า           ศาสดา เอกเอย
ตรัสรู้เองทางสัมมา           ชอบแล้ว
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา     และจรณะ
ทั้งเสด็จไปดีแล้ว             รู้แจ้งโลกา

เป็นยอดสารถีแห่ง            สามโลก
พาเทพแลมนุษย์พ้นโศก     ยิ่งแท้
เป็นผู้รู้ ตื่น พ้นวิโยค          เบิกบาน ยิ่งเฮย
จำแนกธรรมเพื่อแก้          สัตว์พ้นสังสาร์



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ







ปุถุชน คนกิเลสหนา ปัญญาหยาบ
ผู้ไม่ทราบ กาล สมัย ให้สับสน
เพราะไม่รู้ ในขณะ จะฝึกตน
เพื่อให้พ้น อุ้งหัตถ์ ของหมู่มาร

ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะ พึงทำกิจ
แต่ดวงจิต มืดมิด มิสุขศานต์
บ้างก็สุข แต่มิรู้ ว่าถึงกาล
เสนามาร จึงคร่าไว้ ในวัฏฏา

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้แจ้ง
ได้แสดง พระธรรม เทศนา
ให้มวลหมู่ ภิกษุ ประจักษ์ตา
เชิญผู้อ่าน ติดตามมา จักเผยคำ

กาลมิใช่ สมัยประพฤติ พรหมจรรย์
ทรงรังสรรค์ แปดประการ มิอุปถัมภ์
เพื่อพินิจ พิศ เพาะ วิเคราะห์ธรรม
ว่าปัจจุบัน ควรกระทำ กันอย่างไร

ว่ากาลนี้ เป็นขณะ หรือ มิใช่ขณะ
ควรลดละ เร่งเพียรจิต ชิดธรรมใส
หรือควรรอ เพราะยังไม่ ถึงกาลไซร้
หรือทิ้งให้ กาลหมดไป ควร ไม่ควร



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ





[๑๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะจึงทำกิจ
แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กาลมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้

๘ ประการเป็นไฉน ? ? ? ? ? ?



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ .... ประการที่ ๑



พระผู้มีพระภาคเจ้า          โคดม
พระพุทธปิ่นบรม             โลกหล้า
อุบัติขึ้นโปรยธรรมพรม      สามโลก สดับแล
แสงสัทธรรมเจิดจ้า          ส่องฟ้าจรดพรหม

กาลขณะมิได้เอื้อ            พรหมจรรย์
อยู่ภพสิ้นสุขสันต์            ทุกข์คร่า
พระธรรมเทศนาถูััี้กกั้น       มิอาจ เกื้อนา
เพราะอยู่ในนรก หล้า     ยามพุทธอุบัติพลัน





ประการที่ ๑ ที่สัตว์โลกมิอาจประพฤติพรหมจรรย์ได้ คือ

เมื่อกาลที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอุบัติขึ้น
และทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์โลก

ผู้นั้น ... เสวยอกุศลวิบากอยู่ในนรกภูมิ
คือเกิดเป็นสัตว์นรก ไม่มีแม้ขณะจิตเดียวที่จะว่างเว้นจากการเสวยทุกข์
เพราะอกุศลวิบากให้ผล จึงมิอาจที่จะสดับพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคได้

นี้จึงมิใช่กาล หรือ มิใช่ขณะ ที่จะประพฤติพรหมจรรย์




เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๑


กาลขณะ มิได้เอื้อ ให้ฝึกฝน
ดำรงตน ในพรหมจรรย์ พลันเสื่อมสูญ
อกุศล ดลไว้ ให้อาดูร
กุศลมิ เกื้อกูล ให้หมองมัว

เพราะอกุศล ดลวิบาก ในนรก
จิตจึงหมก ทุกข์ไป ในสลัว
เป็นขณะ หรือสมัย ที่หม่นมัว
กรรมของตัว จึงทำให้ ไม่งดงาม

มิอาจได้ เข้าถึง ซึ่งดวงแก้ว
ที่เพริศแพร้ว รัศมี มีถึงสาม
พระศาสดา แสดงธรรมเทศนา ที่งดงาม
ไม่มีโอกาส กำหนดตาม พระสัทธรรม

นี่ก็คือ กาลขณะ มิอาจเกื้อ
ช่วยจุนเจือ พรหมจรรย์ได้ ไม่อุปถัมภ์
เพราะจิตเสวย นรกภูมิ แห่งธรรมดำ
จึ่งถลำ พลาดเวลา พานิพพาน



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ






ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้
เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๑ ฯ




[๔๕๐] ธรรม ๘ อย่างที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน
ได้แก่กาลที่มิใช่ขณะมิใช่สมัย เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ คือ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคต
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้
และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ
เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้
เป็นธรรมอันพระสุคตประกาศแล้ว
แต่บุคคลนี้เป็นผู้เข้าถึงนรกเสีย

นี้เป็นกาลมิใช่ขณะมิใช่สมัยเพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๑ ฯ






เจริญในธรรม เจ้าค่ะ





มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๒


พระผู้มีพระภาคเจ้า          โคดม
พระพุทธปิ่นบรม             โลกหล้า
อุบัติขึ้นโปรยธรรมพรม      สามโลก สดับแล
แสงสัทธรรมเจิดจ้า          ส่องฟ้าจรดพรหม

กาลขณะมิได้เอื้อ             พรหมจรรย์
มิสามารถได้สุขสันต์          ทุกข์คร่า
พระธรรมเทศนาห่างพลัน     มิอาจ เกื้อนา
อยู่ในเดรัจฉานหล้า          ยามพุทธอุบัติพลัน

กาลขณะที่มิได้เอื้อ          อวยธรรม
พระตถาคตอุบัตินำ           พรากพ้น
มหากรุณาอุปถัมภ์            ทุกสัตว์ โลกนา
แต่บุคคลมิพรากพ้น          กำเนิดนี้ติรัจฉาน



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๒


มิใช่สมัย การประพฤติ พรหมจรรย์
ที่รังสรรค์ ประการที่สอง พาหมองไหม้
พระศาสดา แสดงธรรม แสนอำไพ
สัตว์น้อยใหญ่ ได้สดับ พระธรรมมา

แต่กลุ่มหนึ่ง อยู่ซึ่ง ในทุคติ
จิตจึ่งมิ ได้สดับ ธรรมเทศนา
เข้าถึงกำเนิด สัตว์ติรัจฉาน
ด้วยพาลพา
จินตนา จึ่งโฉดเขลา เมาหลงกาล

เพราะโมหะ ประชิดจิต สนิทแน่น
จึงเกิดใน ดินแดน เดรัจฉาน
เสวยชาติ เป็นสัตว์ จึงเสียการ
ครั้นสิ้นปราณ เกิดใหม่ ใช่พ้นกรรม

เพราะขาดโอกาส ได้สดับ ในธัมมา
อกุศล วิบากมา พาถลำ
ยืดวัฏฏา วนสงสาร พาลระกำ
พลาดพระธรรม เทศนาไซร้ จึ่งไร้กาล



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ









ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้
เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว
แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒ ฯ




เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๓



พระผู้มีพระภาคเจ้า       โคดม
พระพุทธปิ่มบรม          โลกหล้า
อุบัติขึ้นโปรยธรรมพรม . สามโลก สดับแล
แสงสัทธรรมเจิดจ้า       ส่องฟ้าจรดพรหม

กาลขณะมิได้เอื้อ           พรหมจรรย์
มิสามารถได้สุขสันต์.       ทุกข์คร่า
พระธรรมเทศนาห่างพลัน . มิอาจ เกื้อนา
ปิติวิสัยคือหล้า
            ยามพุทธอุบัติพลัน

กาลขณะที่มิได้เอื้อ          อวยธรรม
พระตถาคตอุบัตินำ          พรากพ้น
มหากรุณาอุปถัมภ์           ทุกสัตว์ โลกนา
แต่บุคคลมิพรากพ้น          กำเนิดในปิติวิสัย



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๓


พระผู้มีพระภาคล้น       คุณนา
ทรงอุบัติพร้อมมรรคา .. พุทธเจ้า
แสดงธรรมเทศนา       โปรดเหล่า สัตว์เอย
ปิตติวิสัย
สุดเศร้า       เกลือกเจ้าไว้นาน



ด้วยกิเลส ตัณหา มาโรมเร้า
จิตของเจ้า สู่อกุศล วนสงสาร
ก่อวิบัติ อกุศลกรรม นำพ้นกาล
จิตไหลสู่ อุ้งมือมาร เกลือกโคลนตม

ปิตติวิสัย ดินแดน ทุคติ
อกุศลวิบาก บานผลิ ไร้สุขสม
ต้องเสวย ทุกข์ เศร้า เคล้าเปือกตม
ทุกข์ระทม มิได้ พ้นบ่วงพาล

ยามพุทธะ อุบัติ ตรัสเทศนา
พรหม เทวา มนุษย์ สุดสุขศานต์
น้อมพระธรรม นำไว้ ในดวงมาน
จิตสราญ ถึงกาลไซร้ ในพรหมจรรย์

แต่หมู่สัตว์ ในแดน ปิตติวิสัย
กลับห่างไกล ไม่ได้รับ สดับนั่น
นี่คือกาล มิได้ประพฤติ พรหมจรรย์
ประการที่สาม
ทรงรังสรรค์ ให้แจ้งไว้




เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๓



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้
เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว




แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัย



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓ ฯ


เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๔




พระผู้มีพระภาคเจ้า.       โคดม
พระพุทธปิ่มบรม           โลกหล้า
อุบัติขึ้นโปรยธรรมพรม .. สามโลก สดับแล
แสงสัทธรรมเจิดจ้า.       ส่องฟ้าจรดพรหม

กาลขณะมิได้เอื้อ          พรหมจรรย์
เพราะพบแต่สุขสันต์.      ทุกข์คร่า
พระธรรมเทศนาห่างพลัน. มิอาจ เกื้อนา
เทพนิกาย
อยู่ชั้นฟ้า       ยามพุทธอุบัติพลัน

กาลขณะที่มิได้เอื้อ          อวยธรรม
พระตถาคตอุบัตินำ           พรากพ้น
มหากรุณาอุปถัมภ์            ทุกสัตว์ โลกนา
แต่เพลินสุขมากล้น           เทพผู้ยืนยง

เจริญในธรรม เจ้าค่ะ







มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๔




บางหมู่เข้าสู่เทพ            นิกาย
นิรทุกข์อยู่มิคลาย           เริงรื่น
เสพกามทิพย์เริงร่าย.       สุขยิ่ง
พระตถาคตอุบัติยื่น          ธรรมให้มิเห็น



ด้วยทาน ศีล ภาวนา พาส่งผล
ให้เจ้ายล สุขสันต์ สู่หรรษา
กุศลวิบาก ซัดส่ง ดลผลพา
ให้เจ้ามา สู่สวรรค์ บ้างชั้นพรหม

มีชีวิต อยู่ได้ ด้วยของทิพย์
ระยับยิบ จิตชื่น ระรื่นสม
มีอายุ ยิ่งยาวยืน กว่าคืนตรม
มิอาจชม ในสัทธรรม องค์สัมมา

เพราะจิตเจ้า มัวเมา ระเริงรื่น
มิได้ตื่น ยามพุทธองค์ ทรงเทศนา
ยามสัตว์โลก ได้สดับ พระธัมมา
แต่ตนอยู่ แดนเทวา มามิทัน

นี่คือกาล ประการสี่ ควรสดับ
ผลที่รับ มิได้เป็น เช่นหฤหรรษ์
เพราะเป็นกาล มิได้ประพฤติ พรหมจรรย์
ทรงรังสรรค์ ประกาศแจ้ง แห่งวจี


เจริญในธรรม เจ้าค่ะ







มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการที่ ๔



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้
เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว




แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืน ชั้นใดชั้นหนึ่ง เสีย



ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๔ ฯ


เจริญในธรรม เจ้าค่ะ






 เปิดอ่านหน้านี้  5582 

  แสดงความคิดเห็น



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย