ผมเข้าใจจากการอ่านว่า สมมุติว่านาย ก. ตายวิญญาณก็จะไปเกิดทันทีจะเกิดเป็นโอปาติกะประเภทไหนก็สุดแล้วแต่ผลของกรรมที่ผู้นั้นสร้างไว้ แต่ท้ายที่สุดขอสมมุติอีกว่าหากวิญญาณของนาย ก.ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งอยากเรียนถามว่า
1. วิญญาณที่มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ล่าสุดนี้ก็คือวิญญาณเดิมของนาย ก.ใช่หรือไม่ ถ้าใช่นิสัยใจคอยังเหมือนเดิมหรืเปล่าครับ
2. คำถามข้อนี้เป็นความเชื่อครับ ผมได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดให้ฟังต่อๆกันมาว่าคนเรามี 32 ขวัญหากตายไปแล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกก็จะไปเกิดขวัญละ 1 คนหมายความว่าไปเกิดได้หลายคน จึงมีบางคนเข้าใจว่าคนในโลกนี้เพิ่มขึ้นก็ด้วยเหตุนี้ จริงหรือไม่ครับ ผมได้ยินมาอย่างนี้จากผู้เฒ่าผู้แก่ก็อดสงสัยจึงนำมาถามครับ
1. วิญญาณที่มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ล่าสุดนี้ก็คือวิญญาณเดิมของนาย ก.ใช่หรือไม่ ถ้าใช่นิสัยใจคอยังเหมือนเดิมหรืเปล่าครับ
ไม่ใช่ครับ ความเข้าใจว่าวิญญานเป็นกายทิพย์ล่องลอยออกจากร่างหลังตายแล้วไปเกิดใหม่เหมือนเป็นตัวตนนั้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนอะไรไปเกิด แต่เป็นสภาพการเกิดดับสืบต่อเนื่องกัน ของจิตตามเหตุปัจจัยเท่านั้นครับ เมื่อจุติจิตเกิด(คือตาย) ปฏิสนธิจิต(เกิด)จะเกิดต่อทันทีไม่มีอะไรมาคั่นด้วยความเร็วชนิดที่เกินวิสัยแห่งปุถุชนจะสามารถกำหนดรู้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงทราบได้..ส่วนนิสัยใจคอก็อาจสามารถมีส่วนจากของเดิมด้วยแต่ก็จะแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยอื่นๆได้เช่นกัน.
2. คำถามข้อนี้เป็นความเชื่อครับ ผมได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดให้ฟังต่อๆกันมาว่าคนเรามี 32 ขวัญหากตายไปแล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกก็จะไปเกิดขวัญละ 1 คนหมายความว่าไปเกิดได้หลายคน จึงมีบางคนเข้าใจว่าคนในโลกนี้เพิ่มขึ้นก็ด้วยเหตุนี้ จริงหรือไม่ครับ ผมได้ยินมาอย่างนี้จากผู้เฒ่าผู้แก่ก็อดสงสัยจึงนำมาถามครับ
เป็นความเชื่อที่ขาดมูลไม่มีเหตุผลครับ สัตว์มีจำนวนมากนับไม่ถ้วน ไม่ได้เกิดเฉพาะภูมิมนุษย์เท่านั้น แต่เกิดในภูมิทั้งสวรรค์ พรหม นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต ฯลฯ เขาย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนภูมิไปได้ทั่ว ด้วยกรรมดีบ้างชั่วบ้าง แม้มนุษย์ภูมิก็หาได้มีเฉพาะในโลกนี้ใบเดียวไม่แต่มีโลกอื่นๆนับไม่ถ้วนที่มนุษย์ สามารถไปเกิดได้ เเล้วก็เวียนตายเวียนเกิดไปได้ทั่วทุกโลกเช่นกัน ปริมาณคนที่เพิ่มก็ย่อมมาจาก หมุนเวียนเกิดตายเช่นนี้เองครับ
สาธุท่านddman
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เช่นนั้น พระองค์ตรัสแต่ว่า เมื่อจุติจิตของสัตว์ใดดับลง หากสัตว์นั้นยังมีเหตุปัจจัยคือกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดอยู่ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิด เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ สุดแต่กรรมที่สัตว์นั้นทำไว้จะให้ผลนำเกิด
ถ้าบาปกรรมนำเกิด ก็เกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายหรือสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าบุญกรรมนำเกิด ก็เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีการรอเวลา หรือต้องไปพักอยู่ที่ใดเลย เพราะตายแล้วเกิดทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ด้วยเหตุนี้ ตอนตายจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าตนกำลังตาย เพราะจิตที่กำลังตายกับจิตที่รู้ว่าตายแล้วหรือกำลังตายนั้นเป็นจิตคนละจิตกัน
และที่คุณถามว่า คนตายตอนวิญญาณออกจากร่าง
คำว่าวิญญาณออกจากร่างก็ไม่มี เพราะวิญญาณเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น คือ
เกิดทางตาก็ดับทางตา เกิดทางหูก็ดับทางหู
เกิดทางจมูกก็ดับทางจมูก เกิดทางลิ้นก็ดับทางลิ้น
เกิดทางกายก็ดับทางกาย เกิดทางใจก็ดับทางใจ
เพราะฉะนั้นจึงออกไปจากร่างไม่ได้ ถ้าออกจากร่างได้ก็หมายความว่า วิญญาณไม่ดับจึงจะล่องลอยไปได้ ถ้าเช่นนั้นวิญญาณก็เป็นรูป ถึงจะล่องลอยไปไหนได้ และเมื่อวิญญาณไม่ดับล่องลอยไปได้ วิญญาณก็เป็นของเที่ยง ซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนาอีก
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่เฉพาะแต่วิญญาณเท่านั้น รูป เวทนา สัญญา สังขารก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่เที่ยง คือไม่เกิดไม่ดับ หรือเกิดแล้วไม่ดับ
อีกประการหนึ่ง จิตหรือวิญญาณเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จึงล่องลอยไปไหนไม่ได้ เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=12&A=8041&Z=8506
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
อัสสุตวตาสูตร
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566
สาธุๆ อนุโมทนาครับอาจารย์ 8q
นิสัยใจคอยังติดมาได้มากทีเดียว เช่น เรื่องพระสารีบุตร กระโดดข้ามท้องร่อง
เพราะนิสัยเดิมจากอดีตชาติ
สาธุเจ้าค่ะ
ท่านddman DT07247 [6 มิ.ย. 2552 00:26 น.] คำตอบที่ 1
ท่าน *8q* DT07501 [6 มิ.ย. 2552 17:51 น.] คำตอบที่ 2
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ
วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ
วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ
วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ
วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ
วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ
เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ
ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้
ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า
ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า
ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟโคมัย
ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ
ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ
วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ
วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ
วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ
วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ
วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ.
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
วิญญาณธาตุ ไม่เคยตาย เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ที่มันจะเข้าเกาะกุมสิงสู่เท่านั้น เพียงแต่เราจำเรื่องราวอดีตไม่ได้เท่านั้น เพราะมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก
วิญญาณของเราเพียงแต่เปลี่ยนเรื่องเล่นหนังให้ตัวเองดูในภพชาติต่างๆเท่านั้น
วิญญาณธาตุมีเป็นอนันต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์นี่ยังเป็นส่วนน้อย