ขนบธรรมเนียมประเพณีภาคอีสาน

 lovethailand2019     2 มี.ค. 2566

ขนบประเพณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพิธีบูชาตามจารีตของชาวอีสาน เกี่ยวทั้งกับความเลื่อมใสในอำนาจนอกเหนือจากธรรมชาติและพุทธทักษิณนิกาย มีทั้งพิธีกรรมอันเป็นขนบประเพณีที่เป็นสิ่งปฏิบัติรวมทั้งจารีตที่ถือมั่นสืบต่อกันมา

ฮีตสิบสอง แปลว่าประเพณี 12 เดือนที่เกี่ยวโยงกับหลักทางพุทธ ความเชื่อถือรวมถึงการดำรงชีวิตทางทำไร่ทำนาซึ่งชาวอีสานตั้งมั่นปฏิบัติกันมาแม้กระนั้นโบราณ มีแนวปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละเดือนเพื่อเกิดมงคลในการดำรงชีวิต เรียกอย่างชายแดนว่างานบุญ ชาวอีสานให้ความเอาใจใส่กับขนบธรรมเนียมประเพณีฮีตสิบสองอย่างใหญ่โตรวมทั้งถือมั่นปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอนับเป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสานอย่างแท้จริง
คำว่า “ฮีตสิบสอง” มาจากคำว่า “ฮีต” อันหมายถึงจารีต ความประพฤติปฏิบัติที่สืบต่อกันมาจนกระทั่งกลายเป็นจารีต “สิบสอง” เป็นประเพณีที่ทำตามเดือนทางจันทรคติทั้งสิบสองเดือน

เดือนอ้าย : บุญเข้าบาป (วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
งานกุศลเดือนอ้ายหรือเดือนเจียง พระภิกษุสงฆ์จะประกอบพิธีเข้าบาปหรือที่เรียกว่า”เข้าปริวาสบาป” เพื่อทำจ่ายความหมองมัวที่ได้ล่วงละเมิดพระกฎระเบียบเป็น จำเป็นจะต้องบาปสังฆาทิเสส การอยู่กรรมนั้นจะใช้เวลา 6-9 วันในระหว่างนี้เองราษฎรจะเตรียมอาหาร หวานคาวนำไปมอบให้พระสงฆ์อีกทั้งเช้าและเพล เนื่องจากการอยู่กรรมจำต้องอยู่ในบริเวณสงบ ตัวอย่างเช่น ชายป่าหรือที่ห่างไกลชุมชน(หรืออาจเป็นที่สงบในบริเวณวัดก็ได้) พลเมืองที่นำอาหารไปมอบให้ภิกษุในระหว่างอยู่กรรมนี้แน่ใจว่าจะทำให้ได้บุญกุศลมากไม่น้อยเลยทีเดียว

สิ่งที่ทำให้เกิดพิธีบูชา
เพื่อลงทัณฑ์ภิกษุผู้จำเป็นต้องข้อผิดพลาดสังฆาทิเสส จำเป็นจะต้องเข้าปริวาสบาป ก็เลยจะพ้นจากความผิดหรือพ้นโทษกลายภิกษุ ผู้มีศีล บริสุทธิ์อยู่ในพุทธต่อไป คำ “เข้าปริวาสธรรม” นี้ภาษาลาวรวมทั้งไทอีสานตัดคำ “ปริวาส” ออกเหลือเป็น “เข้าบาป” ด้วยเหตุนี้บุญเข้าบาปก็คือ “บุญเข้าปริวาสบาป” นั่นเอง

พิธีกรรม ภิกษุผู้ต้องข้อผิดพลาดหมวดสังฆาทิเลสที่จะเข้าอยู่ปริวาสบาป เพื่อชำระล้างความมัวหมองของศีลให้แก่เฒ่าเองจำต้องไปขอปริวาสจากพระภิกษุ เมือสงฆ์อนุญาติแล้วจึงมาจัดสถานที่ที่จะเข้าอยู่ปริวาสบาป เมื่อจัดเตรียมสถานที่เป็นระเบียบแล้ว ภิกษุจึงควรข้อผิดพลาดสังฆาทิเสสข้อใดข้อหนึ่งควรต้องอยู่ปริวาส (การอยู่พักแรม) และจำเป็นที่จะต้องกระทำการกระทำ (การกระทำการจำศีล) ต่างๆได้แก่ ละเว้นใช้สิทธิบางสิ่งลดฐานะรวมถึงประจานตนเอง เพื่อเป็นการลงโทษตนเอง โดยจำเป็นที่จะต้องทำการปฏิบัติให้ครบจำนวนวันที่ปกปิดบาปนั้นๆเพื่อทุเลาตนจากความผิดพลาดสังฆาทิเสส และจากนั้นก็จำเป็นจะต้องไปพบ “สงฆ์จตุรวรรค” (เป็นภิกษุสี่รูปขึ้นไป) เพื่อจะขอ “มานัต” รวมทั้งมีภิกษุอีกรูปหนึ่งจะสวดมนตร์ประกาศให้มานัตแล้ว ภิกษุผู้ต้องบาปสังฆาทิเสสจำเป็นต้องกระทำตัวมานัตอีก 6 คืน แล้วภิกษุผู้บริสุทธิ์ก็เลยจะเรียกเข้าพวกกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไป

เดือนยี่ บุญคูนลานหรือบุญคูนข้าว
บุญคูนลานหรือบุญคูนข้าวเป็นพิธีบูชาพบปะภายหลังเสร็จการเก็บเกี่ยว ประชาชนรู้สึกยินดีที่ได้ผลผลิตมากมายก่ายกอง ก็เลยต้องการทำบุญสุนทานโดยนิมนต์ภิกษุมาสวดมนต์ไหว้พระในลานข้าวแล้วก็ในบางที่จะมีการสู่ขวัญข้าวเพื่อคบหาสมาคมความอุดมสมบูรณ์ กล่าวขอบพระคุณมากๆแม่โพสพและขอโทษที่ได้ดูถูกดูแคลน พื้นพิภพในระหว่างวิธีการทำท้องทุ่ง เพื่อความเป็นสิริมงคลและก็สำเร็จผลิตเป็นสองเท่าในปีต่อไป
ที่มาของพิธีกรรม

สิ่งที่ทำให้เกิดพิธีกรรมทําบุญสุนทานคูนข้าวหรือบุญคูนลาน เนื่องจากว่าเมื่อเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จจะหาบฟ่อนข้าวมารวมกันเป็น “ลอนข้าว” ไว้ทุ่งนาของตน หากลอมข้าวของผู้ใดกันแน่สูงใหญ่ก็แสดงให้ผู้คนที่ผ่านไปมารู้ว่านาทุ่งนั้นเป็นทุ่งนาดี ผู้เป็นเจ้าของก็ดีหัวใจ หายเหมื่อยล้าอารมณ์เบิกบานอยากทำบุญสุนทานปลูกข้าวน เพื่อเคราะห์ดีบุญกุศลส่งให้ในปีถัดไปจะได้ผลผลิตข้าวมากขึ้นเรื่อยๆอีก เรียกว่า “คูนให้ใหญ่ให้สูงขึ้น” เนื่องจากว่าคำว่า “คูณ” นี้มาจาก “ค้ำคูณ” เป็นอุดหนุนให้ดีขึ้น ช่วยปรับเจริญรุ่งเรืองขึ้น

พิธีบูชา ผู้ตั้งจิตใจจะทำบุญสุนทานคูนข้าวหรือบุญคูนลาน ต้องจัดสถานที่ทำบุญทำกุศลที่ “ลานนวดข้าว” ของตนเองโดยนิมนต์สงฆ์มาก้าวหน้าพุทธมนต์มีการวางด้าย สายสิญจน์และปักเฉลวรอบกองข้าว เมื่อภิกษุล้ำหน้าพุทธมนต์เสร็จและจะมอบของกินเลี้ยงเพลแก่ภิกษุ แล้วต่อจากนั้นนำข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงลูกพี่ลูกน้องผู้มาร่วมทำบุญ เมื่อภิกษุฉันเสร็จก็จะประพรมน้ำพุทธมนต์ให้กองข้าว ให้ผู้จัดงานและทุกคนที่มาร่วมทำบุญสุนทาน แล้วต่อจากนั้นท่านก็จะอำนวยพรผู้จัดงานก็จะนำน้ำมนต์ที่เหลือไปประพรมให้แก่วัว ควาย ตลอดจนไร่เพื่อความเป็นศรีมงคล และแน่ใจว่าผลของการทำบุญสุนทานจะช่วยอุดหนุนเพิ่มพูนให้ได้ข้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกๆปี

เดือนสาม บุญข้าวปิ้ง
บุญข้าวปิ้งเป็นจารีตที่เกิดจากความสมัครสมานสามัคคีของชุมชนสามัญชนจะนัดกันมาทำบุญสุนทานร่วมกันโดยช่วยเหลือซึ่งกันและกันปลูกผามหรือปะรำจัดเตรียมไว้ในเวลาบ่าย ครั้นเมื่อถึงรุ่งสางในวันต่อมาพลเมืองจะช่วยเหลือเจือจุนกันปิ้งข้าว หรือปิ้งข้าวและก็ตักบาตรข้าวปิ้งร่วมกัน ถัดจากนั้นจะให้มีการแสดงธรรมนิทานชาดกเรื่องนางปุณณลงสีเป็นเสร็จพิธีกรรม

ต้นเหตุของพิธีบูชา
สาเหตุจากความเลื่อมใสทางพุทธ ด้วยเหตุว่าสมัยพุทธกาล มีนางข้ารับใช้ชื่อปุณณลงสี ได้นำแป้งข้าวปิ้ง(แป้งทำขนมจีน)ไปมอบพระพุทธเจ้า แม้ว่าจิตใจของนางรู้สึกว่า อาหารหวานแป้งข้าวปิ้งเป็นของหวานของผู้ต่ำต้อย พระพุทธเจ้าบางครั้งอาจจะไม่ฉัน ซึ่งพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตใจนาง ก็เลยทรงฉันแป้งข้าวปิ้ง ทำให้นางปลื้มใจดีอกดีใจ ชาวอีสานก็เลยเอาแบบอย่างและก็พากันทำแป้งข้าวปิ้งมอบให้พระมาตลอด อีกทั้งด้วยเหตุว่าในเดือนสามอากาศของภูมิภาคอีสานกำลังอยู่ในฤดูหนาว ในตอนเวลาเช้าผู้คนจะใช้ฟืนก่อไฟ ผิงแก้หนาว ประชาชนจะเขี่ยใช้การได้ออกมาไว้ด้านหนึ่งของกองไฟแล้วนำข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนกลมโรยเกลือวางลงบนถ่านไฟแดงๆนั้นเรียกว่า ข้าวปิ้ง ซึ่งมีกลิ่นหอมยวนใจ ผิวไหม้เกรียมกรอบน่ารับประทานทำให้รำลึกถึงพระภิกษุ ผู้บวชอยู่วัดอยากให้ได้รับประทานบ้าง ก็เลยมีการทำบุญสุนทานข้าวปิ้งขึ้น ดังมีคำกล่าวว่า “เดือนสามค้อย เจ้าเหนือหัวคอยปั้นข้าวปิ้ง ข้าวปิ้งบ่มีน้ำอ้อย จัวน้อยเช็ดน้ำตา” (พอเพียงถึงสิ้นเดือนสาม ภิกษุก็รอคอยปั้นข้าวปิ้ง ถ้าหากข้าวปิ้งไม่มีน้ำอ้อยยัดไส้ เณรน้อยเช็ดน้ำตา)

พิธีบูชา พอเพียงถึงวัดนัดทำบุญสุนทานข้าวปิ้งทุกครอบครัวในหมู่บ้านจะเตรียมการข้าวปิ้งตั้งแต่ตอนย่ำรุ่งของวันนั้นเพื่อข้าวปิ้งสุกทันใส่บาตรจังหัน ยกเว้นข้าวปิ้งรวมทั้งจะนำ “ข้าวเขียบ” (ข้าวเกรียบ) ในช่วงเวลาที่ยังไม่ปิ้งเพื่อพระเณรปิ้งกินเองและที่ปิ้งไฟจนถึงโป่งพองใส่ถาดไปด้วยพร้อมจัดกับข้าวไปมอบให้พระที่วัด ข้าวปิ้งบางก้อนผู้เป็นเจ้าของได้ยัดไส้ด้วยน้ำอ้อย แล้วทาด้วยไข่ เพื่อเกิดรสหวานหอมชวนรับประทาน พอเพียงถึงห้องเช่าแจกหรือศาลาโรงธรรมพระสงฆ์สามเณรทั้งปวงในวัดจะลงศาลาที่ญาติโยมที่มารวมกันอยู่บนศาลาก่อนแล้วประธานในพิธีกรรมเป็นผู้ขอศีล สงฆ์อวยพร ญาติโยมรับศีล แล้วกล่าวคำมอบข้าวปิ้ง แล้วก็จะนำข้าวปิ้งใส่บาตรพระ ซึ่งตั้งเรียงไว้เป็นแถวเท่าจำนวนพระเณร พร้อมทั้งมอบปิ่นโต สำรับของคาวหวาน เมื่อพระฉันจังหันแสดงธรรมเสร็จแล้วก็อำนวยพร ญาติโยมรับพรเป็นเสร็จพิธีกรรม

เดือนสี่ บุญผะเหวด
“บุญผะเหวด” เป็นสำเนียงชาวอีสานที่มาจากคำว่า “บุญพระเวส”หรือพระเวสสันดร เป็นประเพณีตามคติความเลื่อมใสศรัทธาของชาวอีสานที่ว่า ถ้าหากคนไหนกันแน่ได้ฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียว จะได้เกิดร่วมชาติโลกกับพระศรีอริยเมตไตย บุญผะเหวดนี้จะทำต่อเนื่องกันสามวัน วันแรกตระเตรียมสถานที่ ตกแต่งศาลาการเปรียญวันที่สองเป็นวันฉลองพระเวสสันดร

ประชาชนร่วมทั้งยังสงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาร่วมพิธีกรรมมีทั้งยังการจัดขบวนวัตถุทานฟังธรรมแล้วก็แห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะเหวด(ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าพระเวสสันดร) ซึ่งสมมุติเป็นการแห่พระเวสสันดรไปสู่เมือง เมื่อถึงเวลาเย็นจะมีแสดงธรรมเรื่องพระพวงดอกไม้ ส่วนวันที่สามเป็นงานบุญพิธีกรรม สามัญชนจะร่วมกันตักบาตรข้าวพันก้อน พิธีกรรมจะมีไปจวบจนกระทั่งเย็น พลเมืองจะกลุ้มรุม รำตั้งขบวนเรียงรายตั้งกัณฑ์มามอบให้ พระจะแสดงธรรมเรื่องพระเวสสันดรชาดกจนถึงจบและเทศน์อานิภิกษุอีกกัณฑ์หนึ่ง ก็เลยเสร็จพิธีกรรม

ต้นเหตุของพิธีกรรม
จากเรื่องในหนังสือมาไลยหมื่นมาไลยแสนกล่าวว่ากาลครั้งหนึ่งพระพวงดอกไม้เถระได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วก็ได้พบปะสนทนากับพระศรีอริยเมนไตย ผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตรวมทั้งพระศรีอริยเมตไตยได้สั่งความมากับพระพวงดอกไม้ว่า

“ถ้ามนุษย์ต้องการจะพบและร่วมเกิดในศาสนาของท่านแล้วจำเป็นต้องประพฤติตนดังต่อไปนี้เป็น”
1. ควรจะอย่าฆ่าพ่อตีแม่สมที่พราหมณ์
2. ควรจะอย่ารังแกพระพุทธเจ้า และยุยงให้พระพระสงฆ์แตกกันกัน
3. ให้ตั้งใจฟังแสดงธรรมเรื่อง พระเวสสันดรให้จบในวันเดียวเนื่องจาก ชาวอีสานต้องการจะได้พบพระศรีอริยเมตไตยรวมถึงเกิดร่วมศาสนาของท่าน ก็เลยมีการทําบุญสุนทานผะเหวด ซึ่งบ่อยๆทุกปี

พิธีบูชา การเตรียมงาน
1. แบ่งหนังสือ นำหนังสือลำผะเหวดหรือลำมหาชาติ (หนังสือเรื่องพระเวสสันดรชาดก) ซึ่งมีจำนวน 13 กัณฑ์ (หรือ 13 ผูกใหญ่) แบ่งเป็นผูกเล็กๆเท่าๆกับจำนวนพระเณรที่จะนิมนต์มาเทศน์ในคราวนั้นๆ
2. การใส่หนังสือ นำหนังสือผูก เล็กที่แบ่งออก จากกัณฑ์ต่างๆ13 กัณฑ์ ไปนิมนต์พระเณรทั้งยังวัดในหมู่บ้านตนเองและก็จากวัด ในหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้เคียงให้มาเทศน์ โดยจะมีใบฎีกาบอกรายละเอียดวันเวลาเทศน์ ตลอดจนบอกเจ้าไว้ใจ ผู้ที่จะเป็นเจ้าของกัณฑ์นั้นๆไว้ด้วย
3. การจัดแบ่งเจ้าเลื่อมใส เพื่อพระเณรท่านแสดงธรรมจบในแต่ละกัณฑ์ ผู้เป็นเจ้าเลื่อมใสก็จะนำเครื่องต้นเหตุของทำทานไปมอบให้ตามกัณฑ์ที่ตนเองรับผิดชอบ พลเมืองจะแยกกันออกเป็นกรุ๊ปๆเพื่อรับเป็นเจ้าเลื่อมใสกัณฑ์เทศร่วมกัน โดยจำเป็นจะต้องหาบ้านพัก ข้าวปลาอาหารไว้คอยเลี้ยงต้อนรับญาติโยมที่ติดตามพระเณร จากหมู่บ้านอื่นเพื่อมาแสดงธรรมผะเหวดครั้งนี้ด้วย
4. การเตรียมสถานที่พัก พวกประชาชนจะพากันชำระล้างบริเวณวัดแล้วช่วยเหลือเจือจุนกัน “ปลูกเขาหินม” หรือ ปะรำไว้บริเวณรอบๆวัด เพื่อใช้เป็นที่จำเป็นจะต้องรับพระเณรและญาติโยมผู้ติดตามพระเณรจากหมู่บ้านอื่น ให้เป็นที่ค้างแรมรวมทั้งที่เลี้ยงข้าวปลาอาหาร
5. การจัดเครื่องคำกริยาบูชาหรือเครื่องครุพัน สำหรับการทำบุญสุนทานผะเหวดนั้นพลเมืองต้องจัดเตรียม “เครื่องฮ้อยเครื่องพัน” หรือ “เครื่องเซ่นคาถาพัน” มีธูปหนึ่งพันดอก เทียนหนึ่งพันเล่ม ดอกบัวโป้ง (บัวหลวง) ดอกบัวแป้ (บัวผัน) ดอกบัวทอง (บัวสาย) ดอกผักตบ รวมถึงดอกก้างของ (ดอกปีบ) อย่างละหนึ่งพันดอก เมี่ยง หมากอย่างละหนึ่งพันคำ มวนยาดูดหนึ่งพันมวน ข้าวตอกแตกใส่กระทงหนึ่งพันกระทง ธุงกระดาษ (ธงกระดาษ) หนึ่งพันธง

ที่มา : https://www.lovethailand.org/travel/th/46-นครราชสีมา/15787-ประเพณีภาคอีสาน-วัฒนธรรมภาคอีสาน-ประเพณีไทยที่สำคัญ.html

3,946






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย