"มรรคแท้มีอันเดียว" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

 วิริยะ12  

 "มรรคแท้มีอันเดียว"

" .. "มรรคแท้มีอันเดียว คือสัมมาทิฏฐิ" อีก ๗ ข้อเบื้องปลายเป็นบริวารบริขารของสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น "หากขาดสัมมาทิฏฐิตัวเดียวเสียแล้ว สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ย่อมเป็นไปไม่ได้"

เช่น "ปัญญาพิจารณาเห็นความทุกข์ตามเป็นจริงว่า มนุษย์สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมถูกทุกข์คุกคามอยู่ตลอดเวลา" โลกนี้จึงเป็นที่น่าเบื่อหน่ายเห็นเป็นภัย "แล้วก็ดำริตริตรองหาช่องทางที่จะหนีให้พ้นจากกองทุกข์" ในโลกนี้

"การดำริเช่นนั้นก็เป็นผลสืบเนื่องมาจาก สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบนั่นเอง" การดำริที่ชอบที่ถูกนั้นก็เป็นสัมมาวาจาอยู่แล้ว เพราะวาจาจะพูดออกมาก็ต้องมีการตริตรองก่อน การตริตรองเป็นศีลของอริยมรรค การพูดออกมาด้วยวาจาชอบเป็นศีลทั่วไป

"การงานของใจ" คือ "ดำริชอบ วาจาชอบ อยู่ภายในใจ เป็นการงานของอริยมรรคผู้ไม่ประมาท ดำเนินชีวิตเป็นไปในอริยมรรคดังกล่าวมาแล้วนั้น" ได้ชื่อว่าความเป็นอยู่ชอบของผู้นั้น ผู้พยายามดำเนินตามอริยมรรคดังกล่าวมาแล้ว โดยติดต่อกันตามลำดับไม่ขาดสายได้ "ชื่อว่ามีความเพียรชอบในมรรคทั้งแปด"

"๖ ข้อเบื้องต้นมีความเห็นชอบเป็นต้น" มีความพยายามชอบเป็นที่สุด "หากขาดสัมมาสติ ตั้งสติชอบเสียแล้ว จะเดินไปให้ถึงสัมมาสมาธิไม่ได้เลย" เหมือนทางที่ไม่ติดต่อเชื่อมกัน จะนำยานพาหนะไปตลอดทางได้อย่างไร

"องค์สุดท้ายคือสัมมาสมาธิ ยิ่งเป็นกำลังใหญ่สนับสนุนให้องค์มรรคนั้น ๆ" มีกำลังกล้าหาญที่จะไม่ท้อถอยในหน้าที่ของตน ๆ พึงสังเกตดูเถิดว่า นักปฏิบัติโดยมาก หากสมาธิไม่มั่นคงแล้วมักไปไม่รอด

"ปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นผู้ส่องทางให้เห็นทางเดินก็จริง แต่เมื่อสติกับสมาธิอ่อนกำลังลงแล้ว ปัญญาอาจกลายเป็นสัญญาเป็นสังขารไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้" .. "

"สามทัพธรรม"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
 

5,574







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย