ค้นหาในเว็บไซต์ :

โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ภาคจบ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

 pt  

เมื่อนั้น…มหาสัตว์ สดับพราน พลุ่งพล่านนัก
เจ้าจุลล สุภัททา มารศรี
น้องกล่าวอ้าง พี่จาง ร้างไมตรี
จึงแค้นพี่ ข้ามชาติ พิฆาตกัน

แสร้งมุสา หาความ งางามพี่
สวยกว่ากรี หัตถีใด ในไพรสัณฑ์
สูงค่ายิ่ง สินทรัพย์ นับอนันต์
หลับยังฝัน จำติด จิตฝังตรึง

แม้ไม่ได้ สองงา อุราขม
จิตระทม ตรมเศร้า เฝ้าคิดถึง
ทำอย่างไร ไม่คลาย หายคำนึง
ร่ำนึกถึง แต่งา พาหม่นใจ

แท้ในใจ เจ้ามาก อาฆาตพี่
แสร้งทำมี น้ำตา อุราสลาย
หวังไท้โทษ โกรธฆ่า พี่ยาไป
อรไท จึงคลาย หายจองเวร

ผิเยี่ยงนั้น ชีวัน พี่นำให้
เจ้าจักได้ สุขใจ คลายทุกข์เข็ญ
สิ้นอาฆาต มาดร้าย หายจองเวร
สิ้นเยื่อใย อาลัยเห็น เป็นสามี

จึงบัดนั้น ฉัททันต์ เจ้าพังสาร
เอ่ยเรียกพราน วางใจ อย่าไกลหนี
เข้ามาตัด งาไป ให้เทวี
เราน้อมพลี ชีวัน กำนัลนาง

บอกชายา อ่าองค์ ทรงอย่าโกรธ
จงได้โปรด อภัย ในช้างสาร
ที่ยังรัก ภักดี มีให้นาง
แม้ว่ากาล ผ่านไป ไม่เปลี่ยนแปลง

พรานได้ฟัง พลันสลด รันทดยิ่ง
ยินคชินทร์ กรินทร์กล่าว เศร้าเหลือแสน
มือจับเลื่อย เหนื่อยล้า พาอ่อนแรง
ซ้ำเข่าแข้ง อ่อนโรย ระโหยไป

เขย่งขา เอื้อมคว้า งาไม่ถึง
หวังจักดึง งาต่ำ ช่างยากหลาย
ท้าวคเชนทร์ เห็นยื้อยุด จึงทรุดกาย
พรานสบาย คลายเกร็ง เขย่งยืน

คชาธาร วางพักตร์ ลงทับหล้า
พรานเถื่อนอาดูรไห้ จำใจฝืน
ขึ้นเหยียบโคน งวงใหญ่ ไต่ไปยืน
ช้างไม่ขืน ฝืนขัด ยอมตัดใจ

ถึงกระพอง นรการ เจ้าพรานหยุด
นั่งเข่าซุก ดันต้อน ก้อนเนื้อไหล
ย้อยข้างปาก ยากผลัก กลับเข้าไป
กว่าจักได้ ใคร่ยอม ถอนเลิกรา

หมดเนื้อย้อย ห้อยบัง จึงพลันเห็น
โคนงาเด่น อร่าม งามนักหนา
ลงกระพอง พร้อมจับ เลื่อยตัดงา
สอดหน้าขา กรรไกร ไสขึ้นลง

เสียงเลื่อยไส ไอยรา น้ำตารื้น
จำกล้ำกลืน ฝืนทน ตรมขื่นขม
ปวดกายใจ ไม่โกรธ โทษอนงค์
หวังเพียงสม ใจนาง แค้นจางไป



พรานไสเข้า ไสออก หอบพะงาบ
เหงื่อรินอาบ หยาดตก หมดแรงไส
เจ้ากุญชร มองดู หดหู่ใจ
บอกพรานไป ให้ตนช่วยด้วยอีกแรง

พรานได้ฟัง คำสาร ร้าวรานจิต
นึกตำหนิ ติตัว ชั่วเหลือแสน
ก่อแต่บาป หาบนรก หมกไฟแดง
ระบายแค้น แทนเขา เรารับกรรม

แต่ตนโรย ระโหยนัก ยากจักไส
ทนฝืนใจ ไร้แรง ไม่แข็งขัน
คงยากตัด งาไป ให้ทรงธรรม
มอบของขวัญ ล้ำค่า หน้าเทวี

จึงเอ่ยปาก หากสาร ไม่พานช่วย
เกล้าคงม้วย อาญา เจ้ากาสี
มีชีพกลับ ก็ดับดิ้น สิ้นชีวี
ตายเป็นผี หัวขาด อนาถใจ

ท้าวฉัททันต์ ฟังคำ จำเอ่ยตอบ
บอกตนบอบ ช้ำเพลีย เปลี้ยเหลือหลาย
ขอท่านงัด งวงทับเลื่อย เหนื่อยคงคลาย
จึงจักได้ คลายหนัก ผลัดกันดึง

พรานเถื่อนฟัง ทำตาม คำสารกล่าว
เลื่อยงายาว วาวนวล ร่วงขาดผึง
เลือดแดงสด หยดไหล ให้ตะลึง
เจ้าคชดึงดันเปรย เผยความนัย

สหายพราน เราประทาน งางามท่าน
ใช่เพราะชัง มันหนัก จึงผลักไส
ใช่ไม่รัก ไม่หวง ห่วงอาลัย
หรืออยากใหญ่ ในสงสาร โลกมารพรหม

แต่เรารัก พระสัพพัญญุตญาณ
กว่าสังขาร ร่างกาย ตายทับถม
ดินกลบหลุม บุญกรรม นำวกวน
เวียนสุขสม ตรมเศร้า คละเคล้ากัน

ขออานิสงส์ ผลทาน ในการนี้
จงเกิดมี อานุภาพ มากเสกสรร
ให้สงบ หมดทุกข์ สุขนิรันดร์
ข้ามสงสาร โอฆะ ละโลกไป

แล้วเอ่ยถาม พรานไพร ใจฉกาจ
มากสามารถ ยากฝ่า พนาไศล
ท่านบุกดง พนมสิงค์ สิ้นเท่าใด
นานแค่ไหน วานบอก จงตอบที



พรานหน้าเศร้า เล่าตอบ บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันจึง ดั้นถึงนี่
กรินทร์คิด อธิษฐาน บารมี
ที่ยอมพลี ชีพให้ ไม่นำพา

แม้ศรปัก ชนักติด ไม่ปริโอษฐ์
ไม่ถือโทษ โกรธคน ห่มกาสาว์
ขอกุศล ผลบุญ หนุนนำพา
ให้พรานป่า ฝ่าไพร ไร้กังวล

ให้กลับถึง กาสี ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว แผ้วภัย ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง กรุงไกร ได้บังคม
นโรดม สมจำนง องค์เทวี

เสร็จกำหนด จดจิต อธิษฐาน
จึงบอกพราน เร่งการ เดินทางหนี
พาลมฤค พฤกษ์พราย อย่ากรายมี
ถึงกาสี กรุงไกร ในเจ็ดวัน

ให้ประสพ ยศถา บรรดาศักดิ์
มากสมบัติ ทรัพย์สิน ทุกสิ่งหวัง
ชนเลื่องชื่อ ลือก้อง แซ่ซ้องกัน
สบสุขสันต์ วันคืน ชื่นสราญ

ทันใดนั้น ธาษตรี อยู่ดีสั่น
กระเพื่อมลั่น ประดังเสียง สำเนียงสาง
โกลาหล อึงอล ตรงมาลาน
พรานพลุ่งพล่าน เหงื่อกาฬตก อกร้อนรน



ท้าวฉัททันต์ ฟังดู ก็รู้ว่า
เหล่าพังคา หาตลบ หมดแห่งหน
แต่ไม่พบ จึงวกมา พากังวล
บอกพรานจง เร่งปลีก รีบเดินทาง

ให้นิราศ จากไป ในบัดนี้
ก่อนดำรี กรีนาค มากช้างสาร
ยกพลกลับ มาพร้อม ล้อมทั่วลาน
ต้องถูกผลาญ ลาญสิ้น นิ่งอยู่ไย

โสณุดร สะท้อนใจ อาลัยแสน
เนตรรื้นแดง แสลงอุรา น้ำตาไหล
ยากจักหัก ตัดจิต ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล ไอยรา พาเศร้าตรม

รีบแบกงา แล่นหาผา หน้าตาตั้ง
เห็นเชือกพลัน จาบัลย์จาง พลางสุขสม
มือฉวยจับ มัดงา ท่าลุกลน
แล้วผูกตน วนเชือกรัด มัดรอบกาย

เสร็จหยิบพลุ จุดไฟ มือไม้สั่น
ยื่นชูพลัน เสียงบึ้มดัง ลั่นฟ้าใส
แตกสว่าง กลางหาว พร่างพราวพราย
เหล่าดำไร ให้ประหลาด กวาดตามอง

เห็นพรานบาป หยาบช้า หน้าตาเหลือก
ให้แค้นเดือด เลือดพล่าน ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา โกรธาพุ่ง ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง จ้องฆ่า พร่าชีวัน

ฝ่ายลูกน้อง พร้อมรอ พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง เสียงดัง พลันพลุ่งพล่าน
ให้ตระหนก ตกใจ รีบไวพลัน
ต่างแข็งขัน เกรียวกราว สาวเชือกดึง

เหล่าทันตี กรีนาค เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง ทิ่มงา ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม สัญญาณไป ให้รีบดึง
กระตุกเชือก แทบขาดผึง ดึงขึ้นไว

เหล่าสมุน ชุลมุน รุมกันชัก
พรานขยับ ระดับลอย เหงื่อย้อยไหล
คชคลั่งบ้า งาแทงเสียบ เบียดเฉียดไป
พรานงอเข่า สาวเชือกใหญ่ ไวเหมือนลิง

งาแทงถาก บาดทวาร พรานตระหนก
หนังถลก เลือดหยดสาด ราดอาบหิน
รีบสาวเชือก เสือกหนี กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น ถูกหินขูด ครูดรอบกาย

พอถึงยอด รอดพ้น ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล แม้ฉกรรจ์ นานวันหาย
แต่แผลลึก สำนึกผิด ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย คลายระบม ต้องทนตรอม



เจ้าพญา คชาธาร เห็นพรานรอด
สิ้นแรงหมอบ มองรอบไป ไร้พลผอง
นอนโดดเดี่ยว เปลี่ยวใจ ในพนอง
ข่มตรมหมอง แหงนมองฟ้า ตาพร่าเลือน

เสียงเหล่าสงฆ์ ธุดงค์ชัฏ ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว แผ้วใจ เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์ พลันคลาย ประกายเดือน
จิตฟูเฟื่อง เรืองรุ่ง พุ่งออกกาย



ฝ่ายพรานไพร ใจระทม ชวนพลกลับ
ไม่เปะปะ ตัดดง ตรงที่หมาย
เจ็ดวันถึง ซึ่งธานี ศรีไผท
โดยปลอดภัย ไร้ข้องขัด อัศจรรย์

เข้าหมอบกราน ผ่านเผ้า เล่าถวาย
เรื่องมากมาย รายผ่าน อย่างแข็งขัน
พร้อมยื่นสอง งาให้ ไท้ราชัน
เป็นของขวัญ กันยา ชายาไท

แล้วเล่าความ ตามคำ ฉัททันต์สาง
แด่จอมนาง สารพารณ ยังหลงใหล
มั่นในรัก ภักดี มีไม่คลาย
ไม่แหนงหน่าย กลายกลับ ซื่อสัตย์นาง

หวังเทวี มีสวัสดิ์ คอยรักษา
บุญหนุนพา สถาพร อย่าหมองหมาง
กายผ่องใส ไร้ทุกข์ สุขสราญ
ตลอดกาล นานปี อย่ามีคลาย

จงอโห สิกรรม สารพลั้งผิด
คลายทิฐิ จิตเดือด ให้เหือดหาย
ละอาฆาต นาคสาร เรื่องหมางคลาย
ใจสบาย ไกลทุกข์ สุขนิรันด์

กรีขอน้อม สองงา ชายาเจ้า
เพื่อบรรเทา เบาแค้น แม้นอาสัญ
ถึงตายยอม พร้อมให้ ไม่อินัง
หวังผ่องพรรณ งามชื่น รื่นเริงใจ



เมื่อนั้น.... โฉมนงราม งามจิต ขนิษฐา
ฟังวาจา พรานป่า อุราไหว
โศกอาดูร พูนเทวษ สังเวชใจ
ให้อาลัย ในทันตี สามีตน

หวนรำลึก นึกไป ในชาติผ่าน
มีเจ้าสาร ข้างกาย ใจสุขสม
ท่องเที่ยวป่า พนาไพร ไร้กังวล
ยลพพม ชมอฆ คคนางค์

สายเหนื่อยนัก พักนิโครธ ลมโกรกรื่น
บ่ายแก่ตื่น ชื่นกมล ลงสนาน
ธารน้ำไหล ใสสะอาด อาบสำราญ
ค่ำเหล่าสาร พารณะ พักย่านไทร

ทุกวันคืน ดื่มสุข ทุกข์นิราศ
ไม่เคยจาก ขนาบข้าง ไม่ห่างหาย
เคล้าพะนอ คลอคู่ อยู่เคียงกาย
ให้ใจหาย ไม่วายคิด จิตระกำ

ยิ่งตรองตรึก นึกไป ในความผิด
เป็นบาปติด ฝังตรึง จึงโศกศัลย์
ถอนสะอื้น รื้นน้ำตา นองหน้าพลัน
ยิ่งหวนหลัง ประดังเศร้า เผาข้างใน

กอดงาใหญ่ ไห้ครวญ กำสรวลพร่ำ
ร่ำรำพัน ระกำหม่น เกินข่มสลาย
สุดจักยั้ง รั้งจิต คิดผ่อนคลาย
องค์โฉมฉาย ทรุดกายพับ ชีพดับพลัน



บัดนั้น....ท้าวกาสี ฤดีหาย ทรามวัยจาก
ครวญพิลาป ยากทน ตรมโศกศัลย์
โสณุดร มองนาง พลางจาบัลย์
บังคมทาบ บาทราชัน หันจากลา

องค์มุนินทร์ สิ้นดำรัส ตรัสเท่านี้
หยุดวจี พาทีหมด จบเนื้อหา
ในชาดก คชสาร แต่นานมา
เหล่าเถรานุเถระ คับข้องใจ

เห็นเมธี มีแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
จึงอาราธน์ จอมปราชญ์เอ่ย เผยความนัย
เหตุไฉน ไยไม่ตรัส กลับยิ้มพราย

พระทศพล ทรงฟัง ซึ่งคำถาม
จึงประทาน ถ้อยความอรรถ ข้องขัดหาย
บอกบริษัท จับจ้อง มองหันไป
ยังเถรี ที่ร้องไห้ ไม่อายคน

องค์ชายา สุภัททา มารศรี
คือเถรี มีน้ำตา หน้าหมู่สงฆ์
ส่วนพรานไพร รับใช้นาง ผลาญพารณ
คือเทวทัต ผู้หลงตน จนงมงาย

ท้าวฉัททันต์ ดำรี ที่สละ
ยอมให้ตัด งาไป ให้โฉมฉาย
จนร่างตน ถมดิน สิ้นชีพวาย
คือตถาคต ผู้ยอมตาย ไม่คลายธรรม

จบชาดก สุคตกล่าว เหล่าวงศ์สงฆ์
แต่ละองค์ ทรงธรรม สมดังหวัง
ละสังโยชน์ ลดโกรธได้ ไม่อินัง
ต่างได้โสดาบัน กันหลายองค์

ฝ่ายอนงค์ องค์เถรี ที่ปรารภ
ฟังชาดก กำหนดใจ ไม่ใหลหลง
ครุ่นดำริ ทิฐิคลาย หายกังวล
จิตหลุดพ้น ทรงอรหันต์.....ในทันใด

  

สืบ ธรรมไทย
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓

ที่มา : พุทธชาดก

6,864







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย