วสวัตตีมาราธิราชคำกลอน (ภาคจบ) ๑ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
วสวัตตีมาราธิราช (ภาคจบ)
กาลวันคร่า พร่าผลาญ ลาญทุกสิ่ง
กลบกลืนกิน สิ้นซาก ยากแก้ไข
ล้วนเกิดดับ กลับเปลี่ยน หมุนเวียนไป
พ้นวิสัย ใครักฉุด ให้หยุดลง
พุทธกาล ล่วงคล้อย สองร้อยเศษ
หลากประเทศ เขตมัชฌิม สิ้นสุขสม
เกิดข้าวยาก หมากแพง แก่งแย่งสะดม
ซ้ำฟ้าฝน พิกลแกล้ง แล้งเหลือใจ
ผลหมาก รากไม้ ก็ตายสิ้น
ทรุดทาบดิน อิงพาด ยากฟื้นหาย
ภัยสงคราม ตามกระหน่ำ ระส่ำไป
มองทางไหน ให้อนาถ โลกขาดธรรม
ไฟกิเลส เฉกพาล เข้าผลาญจิต
เปลี่ยนความคิด พลิกใจ ให้กลายผัน
ความเมตตา อารี เคยมีกัน
กลับสะบั้น ช่างกระไร ไม่ไยดี
ญาติพี่น้อง ผองเพื่อน ก็เบือนจาก
ทิ้งรกราก เพราะยากทน ซมซานหนี
พ่อจูงบุตร ฉุดกันไป ในพงพี
ปู่อุ้มหลาน ติดตามรี่ ลี้หลบพลัน
กองทหาร พาลผยอง คะนองศึก
อึกทึก ครึกโครม โจนถลัน
พุ่งซัดแหลน แทงหอก หลอกล่อฟัน
ดาบพลิกผัน ตะบันฆ่า ไม่ปรานี
ห่าธนู พรูไป ไฟลุกร่า
ตกหลังคา หญ้าฟาง ร้างบ้านหนี
เสียงแตรฆ้อง กลองสนั่น สั่นธรณี
เสียงเกือกม้า บีฑาปรี่ ผงคลีคลุม
ไฟไหม้เรือน เคลื่อนลาม ฉางยุ้งข้าว
แสนปวดร้าว เศร้าใจ ดั่งไฟสุม
เห็นฝาบ้าน สะท้านแตก แหลกเป็นจุณ
เหมือนกระสุน พุ่งกลาง หว่างดวงใจ
วัวควายลนลานพล่าน ไฟลามคลอก
เสือกหัวออก คอกกั้น ดึงดันไส
หนังถลอก ปอกเปิก เตลิดไป
ร้องมอหาย ลับไกล ไฟลามเลีย
พวยเมฆควัน ดำครอบ รอบท้องทุ่ง
ดั่งขยุ้ม มือมาร พานใจเสีย
ผัวระทม ทนทุกข์หนัก พลัดพรากเมีย
ลูกสูญเสีย พ่อไป ไร้แม่พิง
ศพทับถม จมดิน ดับสิ้นอนาถ
บ้างไร้หัว ตัวขาด ปากบิดผิน
บ้างทะลัก ไส้ไหล หมาในกิน
บ้างนอนลิ้น ปลิ้นปาก อาบเปลวไฟ
เหล่าแร้งกา เริงร่า กระสากลิ่น
เกลือกกลิ้งดิน กินศพ หมกซุกไซ้
เจ้าคอแดง แรงมาก ลากไส้ไกล
กาตามไล่ ใคร่แบ่ง แย่งแร้งกิน
ทั่วแผ่นดิน สิ้นสุข ทุกข์ครอบหมด
แสนรันทด อกใจ ให้ถวิล
อดีตวัน ผันผ่าน ช่างสุขจริง
ฤาจักสิ้น ทิ้งไป ไม่คลายคืน
อนิจจัง วันเวียน หมุนเปลี่ยนผัน
ความระกำ ช้ำทุกข์ สุดจักฝืน
ในที่สุด ก็ผลุบหาย ไม่กรายคืน
ความสดชื่น ฟื้นมา ผาสุกใจ
ผลหมาก รากไม้ ที่ตายดับ
เริ่มขยับ กลับเกิด บรรเจิดใส
ฝนจากหยุด พลันผุดตก กลบแล้งไป
มองทางไหน ให้ระรื่น ชื่นชีวัน
มวลหมู่ไม้ รายแยก แตกกิ่งช่อ
ซุ้มพุ่มกอ ละออเด่น เปล่งสีสัน
สยายปริ ผลิบาน ประสานกัน
งามเฉิดฉัน ประชันแข่ง แกว่งลมไกว
เหล่าภมร หนอนไหม ที่ตายสิ้น
ก็กลับบิน ผินว่อน ร่อนซุกไซ้
ดูดน้ำหวาน สำราญเปรม เอมอิ่มใจ
กรีดเสียงใส ระเริงไพร ไปทั่วกัน
ฝูงวิหค นกน้อย เคยคล้อยจาก
หนีลำบาก จำพรากถิ่น บินเหหัน
ต่างคืนหวน ทวนกลับ ทับรวงรัง
เพลินสุขสันต์ กันถ้วนหน้า หาหนอนกิน
ฝ่ายแร้งกา พาระทด เริ่มอดอยาก
ต้องเหงาปาก ยากแค้น แสนถวิล
เคยอิ่มหนำ พลันอด ไร้ศพกิน
คงแดดิ้น สิ้นใจ ในไววัน
ณ แว่นแคว้น แดนมคธ พสกศานต์
สิ้นสงคราม อารามเขต ดุจเสกสรรค์
ธรรมเรืองโรจน์ โชติตระการ บานเบ่งครัน
ทุกข์โศกศัลย์ พลันดับ สงัดไป
องค์ธรรมา โศกราช ผู้อาจศึก
ทรงตรองตรึก สำนึกผิด คิดแก้ไข
ที่เคยพลั้ง ผิดฆ่า บ้างมงาย
ชนมากหลาย ต้องมลาย วายชีวัน
เคยก่อบาป หาบกรรม กระทำผิด
เคยครุ่นคิด เข่นฆ่า ให้อาสัญ
ก็ระงับ ดับคลาย หายไปพลัน
จิตสุขล้ำ ได้ธรรม ชี้นำใจ
จอมราชา ทรงศรัทธา อุตสาหะ
ให้สลัก หลักเจดีย์ ศรีไสว
เป็นบทธรรม นำสุข ปลุกปลอบใจ
จารึกไว้ ในศิลา ค่าควรเมือง
เพื่อผองชน คนหลัง ไม่พลั้งผิด
มีสติ ดำริธรรม นำฟูเฟื่อง
รวมแปดหมื่น สี่พันหลัก ปักรอบเมือง
เปรียบเสมือน เครื่องเตือนใจ ให้ระวัง
ครั้นสำเร็จ เสร็จดี มีประกาศ
ให้ทวยราษฎร์ ทุกภาคส่วน ร่วมสังสรรค์
ทั่วถิ่นแคว้น แดนอโศก สมโภชกัน
เช้ายันค่ำ วันแลคืน เริงรื่นใจ
กำหนดกาล งานพิธี มีต่อเนื่อง
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันครบ จึงจบได้
ร่วมเถลิง เริงสราญ ชื่นบานใจ
ให้ลือลั่น สนั่นไกล ไปทั่วแดน
ทรงบัญชา เสนา มหาอำมาตย์
มวลนักปราชญ์ ปราดเปรื่อง กระเดื่องแคว้น
เข้าปรึกษา หายาม ตามสำแดง
ติดแถลง แจ้งประกาศ ให้ทราบกัน
แม้ยามนอน มหิธร ยังตรองกิจ
ปลื้มปีติ ดำริงาน พลางสรวลสันต์
คิดไปมา พาตระหนก อกสั่นพลัน
ให้คร้ามครั่น หวั่นใจ เกรงภัยมาร
จึงเสด็จ อาราม ถามพระสงฆ์
เรื่องกังวล ลนใจ ให้เกรงขาม
จักเป็นดั่ง ดังนิมิต พิศเห็นมาร
ฤาฟุ้งซ่าน พล่านจิต คิดไปเอง
องค์สงฆ์ใหญ่ ได้ฟัง พระดำรัส
พริ้มตาหลับ จับยาม บันดาลเห็น
พญามาร พาลกล้า น่ากลัวเกรง
ลอยมาเด่น เป็นลางร้าย กล้ำกรายงาน
จึงเอื้อนตอบ บอกเอ่ย เฉลยไข
ถึงมารภัย ใจกล้า น่าเกรงขาม
เข้ากวนแน่ วุ่นวายแท้ แต่เริ่มงาน
ยากพ้นผ่าน จักต้องเห็น เป็นแน่นอน
แล้วจึงเล่า เรื่องราว เท้าความหลัง
ครั้งเมื่อยัง บรมครู อยู่สั่งสอน
โปรดเวไนย ให้สลัด ตัดทุกข์รอน
ขนรื้อถอน ผองบาป ให้ขาดใจ
มีอยู่หน ทศพล ทรงปรารภ
ถึงพยศ ซ่อนกบดาน มารวิสัย
ภายหน้าจัก กลับมา แก้ปราชัย
ที่แพ้ไว้ เพราะใจคิด ผิดจากธรรม
เนื่องจากเหตุ กิเลสหนุน คุกรุ่นจิต
ปรุงแต่งคิด ดำริพาล พานหุนหัน
ยิ่งนานเนา โกรธเข้าแทรก จนแตกธรรม
ล่วงถลำ หันออก นอกทางไป
แลครั้งนั้น ท่านว่ามี ศรีภิกษุ
นามอุปคุต พระคุณเจ้า เข้าผลักไส
กำราบมาร พาลพ่าย ทั้งกายใจ
จนจิตใคร่ ไกลบาป น้อมกราบธรรม
องค์ภูมี ปรีดิ์เปรม เกษมสุข
ปลดเปลื้องทุกข์ หลุดไป ใจสุขสันต์
แต่ใคร่รู้ ที่อยู่ ผู้คุ้มกัน
ของอรหันต์ ล้ำเลิศ ประเสริฐคุณ
ว่าครูบา ฤทธิ์กล้าพัก สำนักไหน
ทำอย่างไร ให้ท่านเชื่อ มาเกื้อหนุน
ขออาจารย์ วานตอบ บอกเอาบุญ
แม้นจักยุ่ง วุ่นหา จักฝ่าไป
องค์เถระ ศักดิ์สูง ประยูรสงฆ์
ก็อับจน พ้นสามารถ มิอาจไข
จึงบัญชา บรรดาศิษย์ ทั่วทิศไป
รีบรวมกลุ่ม ประชุมใหญ่ โดยไวพลัน
ลำดับนั้น ธรรมสภา มากหน้าสงฆ์
มีหลายองค์ ทรงถึง ซึ่งอรหันต์
ต่างเพ่งฌาณ ควานหา ให้พัลวัน
จนกระทั่ง พลันรู้ ท่านอยู่ใด
สังฆราช ครั้นทราบ ไม่ยากสั่ง
ให้สองท่าน ลือลั่นฤทธิ์ ลูกศิษย์ใหญ่
จัดจีวร จรพลัน ในทันใด
อย่าไถล เฉไฉออก นอกเส้นทาง
สองสงฆ์ฟัง คำกล่าว เจ้าอาวาส
ก้มเศียรกราบ ถอยจากไป ไม่ท้วงถาม
กลับห้องหับ จัดเสบียง เตรียมเดินทาง
บาตรบริขาร ย่ามขัน พลันยาตรา
กำหนดทิศ มุ่งคิดไป ไว้เป็นหลัก
ไม่เลี่ยงหัก ตัดตรง แม้นดงผา
อาคเนย์ ไม่เหออก นอกมรรคา
สองมหา ฝ่าเผชิญ ดำเนินไป
ผ่านตลาด มากร้าน ย่านการค้า
แผงเสื้อผ้า ปลาผัก สัตว์น้อยใหญ่
ชั้นถ้วยโถ โอชาม วางเรียงราย
ผลไม้ ทลายหมาก ดาษดื่นดิน
เสียงพ่อค้า ร้องหา ลูกค้าเอะอะ
เสียงปี่กรับ ขับคลอ ร้องขอสิน
เสียงเด็กร้อง คะนองโดด โลดโผนจริง
เสียงคนทิ้ง อายสิ้น วิ่งขอทาน
จนเลยล่วง ช่วงปลาย ท้ายถนน
เริ่มเห็นดง ไม้ใหญ่ แผ่ไพศาล
ให้ระรื่น ชื่นตา พาชื่นบาน
บ้านเริ่มห่าง กว้างไกล ไม่ใกล้กัน
พอเย็นย่ำ ค่ำพลบ จุดคบไต้
หยุดพักกาย ชายชัฎ พักธาตุขันธ์
เข้าสมาธิ ตริตรึก ฝึกฝนธรรม
เช้าผลุนผลัน ชวนกันปลุก บุกฝ่าไป
ผ่านทุ่งแฝก แพรกหญ้า คาขนัด
มาพบปะ กับดง วงศ์ไม้ใหญ่
มะค่าคูน พะยูงสัก มะพลับไทย
เต็งรักใหญ่ ไข่เน่า กันเกรารัง
กระโดนกร่าง ยางกว้าว ช้างน้าวฝาง
แดงแข้งกวาง จันทน์ตะโก โพธิ์มะกล่ำ
ต่างสูงเสียด เบียดแข่ง แย่งแสงกัน
ดูแล้วพรั่น หวั่นใจ ให้พิกล
พอเลยพ้น ดงไม้ น้ำลายสอ
เห็นหว้ายอ ตะคร้อปรู พรูดอกผล
มะเฟืองไกร มะไฟหวาน มะปรางมะยม
ฝรั่งกลม ส้มสาลี่ มีมากมาย
พันธุ์มะม่วง นวลแตง งาแดงล่า
คำจำปา กาละแม แลไสว
คุมันแห้ว แก้วลืมคอน ทองทวาย
ทูลถวาย สายฝน ปนลูกกลม
ผลไหนงอม หอมหวาน ซาบซ่านจิต
ลิงค่างปลิด บิแบ่ง แย่งกันขรม
ผลไหนอ่อน ค่อนดิบ จิกไม่ลง
เขวี้ยงทับถม จมดิน ทิ้งมากมาย
หมู่นกกา ถลาร้อง ก้องไพรป่า
แก้วจิกกา แย่งหว้ากิน บินโฉบฉาย
กวางเหลียวหลัง หันดู หมูเกือกทราย
เจ้าลายใกล้ กรายย่อง จ้องมองกวาง
หมีหมาป่าย ไต่คบ พบรวงผึ้ง
กระชากดึง ทึ้งกิน ชิมรสหวาน
มดแดงเขลา เฝ้าแล ชะแง้นาน
พลาดรสหวาน ฝันค้างคอย พลอยเสียดาย
ผ่านไม้ผล ดงใหญ่ ใคร่ทรุดเข่า
มองเห็นเขา ยาวยืด เป็นพืดสาย
ตระหง่านล้ำ ค้ำฟ้า สุราลัย
ทำไฉน ให้หนักใจ ไปทีเดียว
ถึงเขาคั่น แต่สองท่าน ไม่พรั่นหยุด
ต่างเร่งรุด บุกตะกาย ไต่ลดเลี้ยว
มือเหนี่ยวน้าว เท้ายัน เข้ากันเชียว
เพียงประเดี๋ยว เดียวเผ่น ไม่เห็นเลย
พอหลุดผา หน้าจ้อง ต้องตระหนก
แสนระทด อกใจ ใคร่เฉลย
ผืนทรายห้อม ล้อปิด ทุกทิศเลย
ปากไม่เอ่ย เผยคำ จำสู้ทน