ขอสักครั้ง ขอสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับชีวิต

 mahasud    8 พ.ค. 2555

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างลานปฏิบัติธรรม ภัทรธรรมประกาศ วัดภัทราราม
บ้านฟากนา ตำบลนาอาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย ตามรายการ ดังนี้
1. เจ้าภาพเสา 24 ต้น ๆ ละ 15,000 บาท
2. เจ้าภาพโครงหลังคาพร้อมมุง 1,000 ตารางเมตร ๆ ละ 1,500 บาท
3. เจ้าภาพปูพื้นหินแกรนิต 1,000 ตารางเมตร ๆ ละ 1,500 บาท
4. เจ้าภาพประตูด้านหน้า 30,000 บาท ด้านข้าง 2 ด้าน ๆ ละ 20,000 บาท
5. เจ้าภาพหน้าต่างทั้งหมด 12 ช่อง ๆ ละ 15,000 บาท
แสดงความประสงค์ได้ที่่
พระครูปริยัติภัทราภรณ์
เจ้าอาวาสวัดภัทราราม
โทร. ๐๘๘๕๔๐๓๙๘๘
หรือผ่านทางบัญชีธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเลย
ชื่อบัญชี วัดภัทราราม เลขที่บัญชี 249-1-08325-9

พุทธประวัติ
สมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิพุทธมหาราชา

พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งโลกธาตุ ทรงค้นพบวิชาว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีเพื่อความพ้นทุกข์และสำเร็จตามพระประสงค์ จากนั้นทรงบัญญัติรวบรวมพระสูตรพร้อมทั้งทรงฝึกบุคคลเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และฝึกบุคคลเพื่อสืบทอดพุทธวงศ์ ดำรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์
ระยะเวลาที่ทรงตั้งพระทัยมั่น ค้นคว้าโดยไม่มีแบบอย่างและไม่มีครูผู้ฝึกเป็นเวลาประมาณมิได้ แค่พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีแบบ วิริยะธิกะพุทธเจ้า ซึ่งมีการบำเพ็ญบารมียาวนานมากคือรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขย โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ ปรารถนาในใจ ๒๘ อสงไขย เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย จึงได้เป็นนิตยะโพธิสัตว์ รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจึงบำเพ็ญบารมีต่ออีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะถึงกาลมาตรัสรู้ได้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมจะต้องทรงใช้เวลานานสักเท่าใดกว่าพระองค์จะทรงมาตรัสรู้สั่งสอนสรรพสัตว์และสืบทอดพุทธวงศ์ได้ ด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธวงศ์ พระสัทธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และจุดประกายความสว่างในจักรวาลให้โลกได้เริ่มรู้จักการสั่งสมบุญบารมี
เมื่อทรงใช้เวลาอันมิอาจจะประมาณได้จนพระองค์สามารถสรุปแนวทางอันแน่นอนแล้ว ก็ยังทรงเวียนว่ายในวัฏสงสารอยู่นานกว่า ๔๐ อสงไขย จึงทรงดูกาลที่จะทรงลงมาตรัสรู้บนโลกในพระชาติสุดท้าย ขณะนั้นมนุษย์มีอายุขัยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี หลังจากทรงผนวชได้ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก จึงถือเป็นการอุบัติแห่งปฐมบรมครูพระผู้รู้แจ้งทุกสรรพสิ่งของโลกธาตุ ทุกสรรพวิชาในจักรวาล ที่ไม่มีใครเทียบและเสมอเหมือนพระองค์ได้ ทรงโปรดเวไนยสัตว์และประกาศพระสัทธรรม สร้างรากฐานก่อตั้งพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี “ แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ต่อมาก็ทรงมีพระนามซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงขอถวายพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑ พระองค์จึงทรงเป็นต้นวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์เป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง ส่วนพระนามอื่นๆ นั้น ชนทั่วไปยกย่องขานพระนามอีกมากมาย เหมือนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ได้ทรงรับการกล่าวขานพระนามมากมายเช่นกัน ด้วยความเคารพความศรัทธาอย่างยิ่ง
คณาจารย์ครูบาอาจารย์ผู้รู้ได้เล่าสืบต่อกันมาด้วยท่านเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งพุทธวงศ์มา จึงมาความรู้ตามวิสัยแห่งพุทธะไปด้วยและท่านที่มีความกล้าหาญ อดทนเป็นยิ่งที่นำเรื่องสมเด็จองค์ปฐมมาเผยแผ่ให้ชนทั้งหลายไม่ลืมต้นกำเนิดแห่งพุทธวงศ์ คือ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง เด่นชัดที่สุด ต่อมาสายหลวงปู่ปาน โสนันโทวัดบางนมโค ศิษย์สายหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก หลวงปู่ขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์ แม่วาง เชียงใหม่ และน่าจะมีอีกหลายท่านแต่ยังไม่ถึงกาลเวลาหรืออย่างไรจึงยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร บัดนี้น่าจะถึงกาลเวลาที่ผู้รู้จะได้ยังกิจนี้ให้สมบูรณ์เพื่อประโยชน์เกื้อหนุนแก่พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ไม่มีประมาณจะยังจิตให้แก่สรรพสัตว์ได้รักในการบำเพ็ญบารมีในทางที่ไม่ประมาท และเป็นความเจริญในชาติบ้านเมือง อันเป็นจุดนำไปสู่ความเจริญและสันติภาพของโลกด้วย
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
"ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืม ความตาย นั่นหมายถึงว่าการจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความ สุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ต้องประกอบกิจการ งานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน
แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่ง อยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติ ๆ ยังมีมากมาย"
( พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดานางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างองค์ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า )
"ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ( เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์ ) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มา เกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก! ( ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด ) ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้าหรือพรหมใหม่
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็น อันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น.. นิพพาน!"
( ท่านก็ยกมือชี้ขึ้นให้ดูนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกัน คือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า )
"ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระ นิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะ มีความเข้าใจแล้ว ( ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก )
ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ที่มาเกิดใหม่ ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติจะไม่มี การเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่า ท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธามีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สองที่ท่านจะไปนิพพานได้
หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม" ( พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า )
"ฤาษี .. เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ท้ง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี" ( แล้วท่านก็กลับหันหน้าไปหาเทวดานางฟ้ากับพรหมว่า )
ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิด เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราไม่เกิดเป็นมนุษย์
ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ ( แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์ ) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่าง ๆ มนุษย์ มีความหิวมีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดี ๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้เข้าได้แต่คนภายใน
แต่ว่าท่านทั้งหลายเมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิเข้าเขตนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่าน ทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน ( ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า )
จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้าเป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดานางฟ้า กับพรหมก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน
เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่า ๆ มีความเข้าใจดีแล้ว ( คำว่า "เข้าใจ" บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คือ อารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ )
สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็ก น้อยเท่านั้น และ บาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ
จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด..." ( เมื่อ พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ )
( หลวงพ่อได้สรุปใจความสั้น ๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้ )
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้นเป็นของไม่ยาก
๑. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอ ๆ
๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ ( ด้วยความจริงใจ )
๓. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
๔. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพาน ได้ในที่สุด"
หมายเหตุ : เทศน์ที่ "เทวสภา" วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๘.๐๐ น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๑.๐๐ น.
อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ได้ปรารภว่า �พระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกเป็นต้นแบบแห่งการเป็นพระพุทธเจ้า ทรงต้องบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าบุคคลอื่นๆ เพราะไม่มีต้นแบบแห่งการสร้างพระบารมี ทรงลองผิดลองถูกกว่าบารมีจะรวมตัวกัน แม้นว่าพระบารมีรวมแล้วทรงใช้เวลาถึง ๔๐ อสงไขยกำไรแสนกัป ใครสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมชื่อบัญชีจะเป็นสีทอง ปิดอบายภูมิ ถ้าคนนั้นจะรวยก็จะรวยเร็ว ถ้าหวังพระนิพพานก็จะทำให้เร็วขึ้น คือหมายถึงจะเร่งบารมีคนสร้างและผู้ร่วมสร้างได้สำเร็จเร็วขึ้น� และผู้ที่ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมจะมีอานิสงส์ ดังนี้ คือ
๑. เป็นผู้ถึงซึ่งพุทธานุสติ
๒. เป็นผู้ปิดอบายภูมิ
๓. เป็นผู้เจริญด้วยมนุษย์สมบัติ, สวรรค์สมบัติ, นิพพานสมบัติ
๔. เป็นผู้มีปัญญาและสมาธิมั่นคง
๕. เป็นผู้มีความเจริญก้าวหน้าในกิจการทั้งปวง
๖. เป็นผู้มีฐานะมั่นคง
๗. เป็นผู้ที่ไม่มีการถอยหลังแก่ทางโลกและทางธรรม
๘. เป็นผู้สมบูรณ์แก่ฐานะอันเจริญ คือ ญาติ และบริวาร
๙. เป็นผู้เป็นที่รักแก่มนุษย์ อมนุษย์ และเทวดา
๑๐.เป็นผู้สร้างแสงสว่างแก่สรรพสัตว์
หลวงปู่เล่าว่า
(จากคำบอกเล่าจากหลานหลวงปู่เพื่อเพิ่มพูนความศรัทธา)
หลวงปู่ขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ได้เคยเล่าเรื่องสมเด็จองค์ปฐมไว้มาก พร้อมกับให้ดูลักษณะพระบรมธาตุของสมเด็จองค์ปฐมที่เสด็จมาที่ท่านเพื่อประโยชน์แก่ศิษย์ ท่านว่ากว่าจะสำเร็จจนมาบัญญัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น สมเด็จองค์ปฐมทรงลำบากที่สุด บำเพ็ญนานที่สุด เพราะไม่มีแบบอย่างให้ดู จนทรงรู้แน่ชัดและรวบรวมเป็นพระสูตรต่างๆ ทุกแขนง จึงจะมาเริ่มบำเพ็ญตามที่ทรงค้นพบเส้นทาง พร้อมฝึกสาวก สาวิกา ให้ร่วมกันบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้น จึงถือว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้นตระกูลของพระพุทธะ เป็นปฐมบรมครูที่ฝึกคนเพื่อนำพระธรรม เพื่อความสงบสุขของโลก และยังต้องสั่งสอนผู้ที่จะมาสืบทอดพุทธวงศ์และพระธรรมให้คงไว้ในโลกสืบมาจนถึงปัจจุบัน
หลวงปู่ขันตยาภรณ์มีพระบรมธาตุสมเด็จองค์ปฐมหลายองค์ และท่านก็ยังไม่เปิดเผยเพราะท่านว่ายังไม่ถึงเวลา ผู้ที่เชื่อยังมีน้อย หากคนตำหนิจะเป็นบาปโดยไม่รู้ เพราะคนมีความคิดมาก ทะเลาะกันก็เพราะความคิดที่เป็นทิฏฐิเป็นต้นเหตุ ท่านจึงเล่าแก่ผู้ที่สนใจจริงๆ และเป็นผู้ที่มีวิสัยในพุทธจริต ศรัทธาจริตสูง ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มพุทธภูมิที่ยังต้องบำเพ็ญบารมียาวนาน เพื่อเป็นกำลังในการดำรงสืบวงศ์แห่งพุทธวงศ์ เมื่อหลังจากงานทำบุญวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก ออกพรรษา ปี ๒๕๔๖ หลวงปู่ได้เล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายปรารถนาพุทธภูมิมากมายจนประมาณมิได้ และต่างต้องบำเพ็ญบารมีมากเหลือเกิน ต้องเหนื่อยกันอีกแสนไกลและลำบากยิ่ง กว่าจะเรียนจบวิชาทุกแขนงเพื่อสำเร็จบารมีแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า การที่มาช่วยงานในพระพุทธศาสนาและงานส่งเสริมพุทธวงศ์ อย่างงานเกี่ยวกับพระบรมธาตุเพื่อเผยแผ่พระรัตนตรัยก็จัดเป็นการกระทำที่ควรสรรเสริญ แต่ก็ต้องพบเจอวาจาคนในสังคมมาก เพราะสังคมยุคนี้ไม่เชื่อพุทธวิสัย คนที่จะทำจึงมีน้อยลงทุกที แต่ใครทำปู่ก็ให้พร ให้ทำได้สำเร็จ เพราะดำรงไว้ซึ่งพระรัตนตรัย ต่อไปในอนาคตผู้ที่ดูแลพระพุทธศาสนาจะมาเกิดมากมาย เป็นยุคฟื้นฟูจะมาเผยแผ่เรื่องพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น เพื่อนำธรรมที่พระองค์ให้ไว้คงอยู่กับโลกต่อไป โลกปัจจุบันจึงถูกกรรมตามเร็วขึ้นเมื่อคนมีบุญมาเกิดหมั่นรักษาศีลไว้ จะอยู่ได้และขยันสร้างบุญไว้จะได้คุ้มครองให้พ้นภัย ซึ่งภัยนั้นจะมาจากทุกด้านตั้งแต่ภัยธรรมชาติ จนถึงโรคร้ายแรง ความอดอยากยากแค้น เพราะคนมันทิ้งศีล ทิ้งธรรม เอาวัตถุจิตใจห่างความดี พลังงานที่ออกมาก็มีแต่โลภ โกรธ หลง สูงขึ้นจึงอายุสั้นลงกันทุกที มีแต่พระรัตนตรัยที่จะคุ้มครองได้รีบๆ ทำกรรมดีเข้าไว้จะลำบากน้อยหน่อย ท่านเล่าต่อว่า หลังจากปี ๒๕๔๖ จะเกิดภัยธรรมชาติคนจะตายเยอะ ทั้งทางบก ทางน้ำมารอบด้านและเป็นทั่วโลก ของเมืองเราน้อยที่สุดเพราะมีคนทำบุญ ถือศีลมาก ยิ่งเวลานี้พระบรมธาตุเสด็จมามาก ก็เป็นโอกาสทองของผู้ที่ได้พบเจอ มีความเลื่อมใสในสันดานเดิมอยู่แล้วจึงเกิดความเชื่อโดยไม่ยาก ใครว่าอย่างไรก็ชั่งเขาเราก็พ้นภัย และมีความสุขสงบกว่าคนอื่นก็พอ ของอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง และการอยู่กับพระบรมธาตุก็คือ อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ถึงธรรมง่ายและให้ได้พบพระอริยสงฆ์ง่ายด้วย
หลวงปู่ท่านเป็นผู้บำเพ็ญบารมีแบบพุทธภูมิเช่นกัน ท่านจึงมีความรู้ในเรื่องพุทธภูมิมาก ท่านได้เล่าสืบต่อมาให้ศิษย์หลายๆ คนได้ฟังบางคนได้เห็นหลวงปู่แสดงฤทธิ์ เช่น หยุดลมฝนที่กำลังโหมกระหน่ำให้ดู เดินจงกรมโดยเท้าไม่ติดพื้น บางครั้งท่านมองไปที่แก้วน้ำ แก้วน้ำนั้นก็ยกตัวลอยหมุนไปมา แต่หลวงปู่จะอบรมสั่งสอนศิษย์ไม่ให้ติดสิ่งเหล่านี้ ท่านว่าเป็นเรื่องปกติของการเจริญสมาธิตามขั้นต่างๆ ยังเป็นโลกียะอยู่ ยังตกนรกได้ ไม่วิเศษเท่าโลกุตระซึ่งมีความวิเศษยังจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เป็นเลิศสุดแล้ว พระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายท่านสรรเสริญว่าเป็นการกระทำอันเลิศสุดแล้วสมควรเร่งการกระทำ โดยหมั่นรักษาศีลให้ได้เริ่มที่ศีล ๕ นี่แหละ
เวลานี้หลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว และได้มีพิธีสลายธาตุขันธ์ท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้พบเห็นอัฐิธาตุท่านมีลักษณะต่างๆ เช่น มีขนาดเล็กกว่าปกติทั่วไป เหมือนมีการย่อรูปร่าง อย่างกับถ่ายเอกสารย่อมาเลยที่เดียว เป็นอย่างนี้หลายส่วน การงอกและขยายเป็นพระธาตุไวมาก เมื่อนำมาถ่ายภาพจะเห็นว่ามีผิวที่เป็นผลึกแก้วสวยงามแปรเปลี่ยนไว บางองค์เป็นสีเขียวก่ำ เขียวมรกต และเมื่อถ่ายด้วยกล้องที่มีความขยายสูง จะพบว่าภายในมีลักษณะเป็นดวงแก้วใส มีแสงสว่างกลางดวงแก้วอยู่จำนวนมาก ข้อนี้ศิษย์ทั้งหลายให้เหตุผลมามาก เช่น บ้างก็ว่าหลวงปู่สำเร็จวิชาธรรมกายอย่างละเอียด บางรายว่าหลวงปู่เดินสมาธิแบบรัตนะหรือแบบพุทธานุสติ ตามที่ท่านค้นพบด้วยตนเอง บางรายว่าท่านเจริญกรรมฐานได้ทุกส่วนของร่างกาย ทั้งหมดนี้พอจะรวบรวมเท่าที่ได้แต่ที่ยอมรับมากที่สุด โลกุตระในจิตใจท่านหลวงปู่ ด้วยท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีจริยวัตรงดงาม และภูมิธรรมอันสูง ท่านได้ฝึกพระดีคนดีไว้มากต่างก็มีความรู้ความสามารถที่จะออกไปทำประโยชน์ให้แก่สังคมและเผยแผ่พระรัตนตรัยไว้มากมาย
เราทั้งหลายควรพิจารณาดูว่าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ทั้งที่มีการบำเพ็ญบารมีแบบปกติ และแบบบำเพ็ญทางพุทธภูมิ ทำบารมีให้เกิดมากมาย หลายท่านสืบมาได้เป็นครูผู้ฝึกพุทธบริษัท และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ โดยเริ่มตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม จนถึงพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ คือ พระกกุสันโธพระพุทธเจ้า พระโกนคมโนพระพุทธเจ้า พระกัสสโปพระพุทธเจ้า และพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าในปัจจุบันที่พระองค์ทรงฝึกเหล่าสาวกสาวิกาทั้งหลายให้มีบารมีมีคุณวิเศษ และธรรมวิเศษที่จะยังให้สรรพสัตว์ได้หลุดพ้นห่วงแห่งวัฏสงสาร จึงสมควรที่ชนทั้งหลายจะร่วมใจกันพึงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการระลึกในพุทธคุณนี้อานิสงส์นั้นหาประมาณได้ ยังผลให้ไปถึงธรรมคุณ และสังฆคุณ ทางวัดภัทราราม บ้านฟากนา ตำบลนาอาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย ได้สร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ประดิษฐาน ณ ลานปฎิบัติธรรม “ภัทรธรรมประกาศ” วัดภัทราราม แห่งนี้ เมื่อปี ๒๕๕๔ และขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างศาลาลานธรรม ดังกล่าวข้างต้น


 https://cdn.jsdelivr.net/gh/tatikers/san/dhamma.js">   


ที่มา : พระครูปริยัติภัทราภรณ์ วัดภัทราราม จังหวัดเลย


  3,606 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย