วิปัสสนา

เรื่องที่ ๑๐ : ศิลปะในการดำเนินชีวิตด้วยวิปัสสนา ( ตอนจบ )
โดย : ท่านอาจารย์สัตยา นารายัน โกเอ็นก้า


การอ่านเรื่องราวที่มีเนื้อหาสุขุมคัมภีรภาพ อย่างเรื่องของวิปัสสนานี้ คงต้องใช้ความพยายาม อ่านทบทวนและพิจารณากันหลายๆเที่ยว จึงจะเข้าใจในเนื้อหา ฉะนั้น ถ้าอ่านครั้งแรกไม่เข้าใจ ก็พึงอ่านใหม่ ทำความเข้าใจใหม่ พร้อมทั้งพยายามปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย จะยิ่งทำให้เข้าใจ ชัดเจนขึ้น สำหรับเนื้อหาในตอนจบนี้ ท่านได้แสดงไว้อย่างนี้ครับ

"ด้วยวิปัสสนา เราจะเริ่มเข้าใจว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา (เวทนา ปัจจยา ตัณหา) ได้ อย่างไร"

เมื่อมีความรู้สึกพอใจเกิดขึ้น ความอยากก็ตามมา เมื่อมีความไม่สบายเกิดขึ้น ความโกรธความ ไม่พอใจก็ตามมา พฤติกรรมเช่นนี้ ถ้าไม่ขจัดออกไปเสีย ก็จะมีแต่ความโลภ ความโกรธ หรือ มีโลภะ โทสะ ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน

โดยผิวเผิน ท่านอาจจะกล่าวว่า ท่านได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาแล้วแต่ความ จริงท่านมิได้ทำเช่นนั้น ท่านปฏิบัติตามคำสอนของผู้อื่นต่างหากพระพุทธองค์ทรงสอนให้เรา เข้าไปให้ถึงส่วนลึกภายในจิต ที่เป็นรากเหง้าของความทุกข์ ความทุกข์ที่ เกิดจากการที่เรามี ปฏิกิริยาปรุงแต่ง ตามความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ ต้นเหตุอยู่ที่นี่ และเราจะต้องเปลี่ยน พฤติกรรมของเราเสีย พระพุทธองค์ทรงต้องการให้เราคอยสังเกตดูความทุกข์ และเหตุแห่ง ทุกข์หรือสมุทัย ถ้าเราไม่สังเกตทั้งสองสิ่งนี้ เราก็จะไม่สามารถดับเหตุแห่งความทุกข์ ( ทุกข นิโรธ ) ได้ เหตุแห่งความทุกข์ หรือสมุฏฐานแห่งความทุกข์ คือเวทนา หรือความรู้สึก ( sen sation ) เรามีปฏิกิริยาปรุงแต่งต่อความรู้สึก จึงทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นถ้าท่านไม่มี ปฏิกิริยา ปรุงแต่งต่อ ความรู้สึกนั้น ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะแย่สักแค่ไหน ท่านก็ไม่มีปฏิกิริยาปรุงแต่งไปตามความรู้สึกไม่ชอบ ไม่ปรุงแต่งไปตาม ท่านได้แต่ยิ้มดูมันไป ทั้งนี้เพราะท่านมีอุเบกขา

ท่านวางเฉย เพราะท่านรู้ถึงความ ไม่เที่ยง รู้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง แล้วชีวิตก็จะราบรื่น ขึ้นสำหรับท่าน พฤติกรรมทางจิตก็จะเปลี่ยนแปลงไปในระดับที่ลึกที่สุดของจิตใจ ถ้าในส่วนที่ ลึกที่สุดของจิตของท่าน ยังคงมีปฏิกิริยาปรุงแต่งต่อสิ่งที่มากระทบ ว่ามีความพอใจ หรือไม่ พอใจ เกิดความโลภ หรือความโกรธขึ้น ตามความรู้สึกนั้นๆ ท่านก็จะยังไม่สามารถหลุดพ้น จากความทุกข์ได้ ไม่ว่าท่านจะนับถือหรือศรัทธาในศาสนาสักเพียงใด ท่านก็ไม่อาจจะหลุดพ้น ได้ เพราะท่านมิได้เปลี่ยนแปลงในจิตส่วนลึกของท่าน

บุคคลผู้มีความทุกข์จากความโกรธ จากความลุ่มหลง จากความกลัว จากความหลงตน มี ความไม่บริสุทธิ์ในจิตใจทุกชนิด เมื่อได้ปฏิบัติวิปัสสนา กระแสแห่งกิเลสก็ จะเริ่มหลั่งไหลออก มา หลั่งไหลออกมา ในไม่ช้ากระแสกิเลสก็จะหลั่งไหลออกมาอย่างชัดเจน นี่คือผลแห่งวิปัสสนา ที่จะสามารถรู้สึกได้ โดยไม่จำกัดเวลา หรือ อกาลิโก ในชีวิตนี้ท่านจะต้องได้เห็นผล ประเทศ ไทยเป็นดินแดนแห่งธรรมะ เป็นดินแดนที่ศึกษาพุทธศาสนา เป็นดินแดนที่มีพระสงฆ์ผู้สืบต่อ พุทธศาสนามาก จงใช้คำสอนของพระพุทธองค์ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเอง จงเข้าไปให้ ถึงส่วนลึกที่สุดในจิตใจของท่าน ส่วนที่ตัณหาซ่อนตัวอยู่
เวทนา ปัจจยา ตัณหา..............เวทนาก่อให้เกิดตัณหา
เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ........เวทนาดับไป ตัณหาก็ดับด้วย

ฉะนั้น ท่านจึงจะต้องปฏิบัติ ให้ถึงส่วนที่ทำให้เกิดเวทนา ( ความรู้สึกทางกายหรือ sensa tion ) แล้วท่านจึงจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมทางจิตของท่านได้ จงปฏิบัติด้วยวิธีการนี้ ซึ่ง จะนำท่านเข้าไปถึงส่วนที่ลึกสุดของจิต ถ้าหากท่านจะปฏิบัติให้เข้าถึงแต่เพียงแค่พื้นผิวของจิต ท่านจะสามารถเปลี่ยนได้แต่เพียงในส่วนที่เป็นจิตสำนึกของท่านเท่านั้น ท่านทำได้แค่เปลี่ยน แปลงความรู้ความเข้าใจของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้เข้าไปถึงรากเหง้าอันเป็นสาเหตุ รากเหง้า ของจิตของท่าน ซึ่งอยู่ในชั้นของภวังคจิต หรือจิตไร้สำนึก และท่านก็จะไม่อาจขุดค้นเอา อนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานให้ออกมาได้ อนุสัยกิเลสที่เป็นเสมือนภูเขาไฟที่หลับอยู่ซึ่ง จะระเบิดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ และท่านก็จะยังคงเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ไม่มีวันหลุดพ้นจาก ความทุกข์ จงใช้วิธีการนี้ให้เป็นประโยชน์ และหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากเครื่อง พันธนาการทั้งปวงและพบกับความสงบสุขอันแท้จริง





จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย