สุภัททาเทพเจ้า เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
สุภัททาเทพเจ้า
สมัยหนึ่งเมื่อครั้งพระอรหันต์ยังคงมีมากอยู่ในชมพูทวีป ครานั้นมีคหบดีผู้หนึ่งเขามีใจเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทุกๆต้นเดือนแลกึ่งเดือนเขามักนินมต์พระเรวตะเถระให้มาฉันอาหารที่บ้านอยู่เป็นประจำ คหบดีผู้นี้มีธิดาอยู่สองนาง คนโตชื่อภัททา ส่วนคนน้องชื่อ สุภัททา ทุกครั้งที่ว่างจากกิจเขาจักเรียกบุตรสาวทั้งสองเข้ามาอบรมอยู่เสมอ “ ลูกเอ๋ย! เว้นจากพระพุทธ พระธรรม แลพระสงฆ์แล้ว ที่พึ่งอย่างอื่นพวกเจ้ามิอาจถือเป็นที่ฝากเป็นฝากตายได้ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นผู้เจริญในธรรมเถิด ”
ภัททาพี่สาวเป็นหญิงฉลาด แม้จักจดจำคำพูดของบิดาได้ขึ้นใจ แต่ก่อนปฏิบัตินางมักจักใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองก่อนเสมอ จากนั้นจึงค่อยทำไปตามความคิดตน ส่วนสุภัททานั้นมิได้มีปัญญาเท่าพี่ แต่ว่าเป็นคนหัวอ่อน นางไม่เคยเคลือบแคลงหรือสงสัยในคำสอนบิดาแม้แต่น้อย จนถึงวัยอันควรบุตรสาวคนโตของคหบดีก็ได้แยกเรือนไปสู่ตระกูลของสามี ซึ่งมีบ้านเรือนตั้งอยู่ที่ยังอีกตำบลหนึ่ง ทิ้งสุภัททาน้องสาวให้อยู่กับบิดาและบ่าวเพียงไม่กี่คน
หลังจากแยกเรือนไปภัททาพี่สาวก็ใช้ชีวิตร่วมกับสามีอย่างมีความสุข แต่ว่าผ่านไปหลายปีแล้วนางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้ทายาทแก่ผู้เป้นสามีได้ ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา ( สมัยนั้นการที่ภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ถือเป็นข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวง ) จนวันหนึ่งนางได้ตัดสินใจเดินเข้าไปหาสามีพร้อมกับบอกเขาว่านางจักรับเอาน้องสาวของนางมาอยู่ด้วย เผื่อบางทีน้องของนางอาจจักให้กำเนิดทายาทแก่เขาได้ สามีพอฟังก็มิได้โต้แย้งอย่างใด เต็มใจรับน้องภรรยามาเป็นภรรยาเพิ่มอีกคน( ไม่ทราบท่านผู้อ่านที่เป็นบุรุษซึ่งกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ มีใจกว้างเท่านี้หรือเปล่า?) ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นนางจึงไปตกลงว่าจ้างช่างให้มาปลูกเรือนเพิ่มขึ้นอีกหลัง เพื่อเตรียมไว้รอรับน้องสาว พอเรือนเสร็จนางก็ไปรับเอาน้องมาอยู่ทันที
ด้านสุภัททาหลังจากพี่สาวแยกเรือนไป นางก็รับหน้าที่ดูแลบิดาแต่เพียงลำพัง ผ่านไปไม่นานบิดาก็พลันมาละสังขารไปอีก ทิ้งนางให้อยู่กับบ่าวเพียงไม่กี่คน ดังนั้นพอพี่สาวชวนไปอยู่ด้วยนางซึ่งไม่มีภาระใดจักต้องดูแลอีก จึงตกปากรับคำทันที
หลังจากมีน้องมาอยู่ ภัททาผู้พี่ก็มักจะไปยังเรือนน้องสาวอยู่เป็นประจำ เพื่อคอยอบรมสั่งสอนมิให้น้องประมาทในบุญดุจดั่งเช่นบิดาเคยทำ นางมักจักกล่าวกับสุภัททาว่า “ สุภัททาน้องพี่ ชีวิตคนใช่ว่าจักยืนยาว ดูบิดาเป็นตัวอย่างเถิด หากเจ้าปรารถนาสมบัติในเทวโลกแล้วไซร้ ก็ขอจงหมั่นประกอบกองบุญให้มากเข้าไว้ บุญที่เจ้าทำไว้ดีแล้วเมื่อถึงคราวที่เจ้าละสังขารไป บุญนี้จักช่วยให้เจ้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเทวภูมิ ได้! ”
สุภัททาผู้น้องเมื่อฟังคำเตือนพี่สาวบ่อยเข้าๆ ในที่สุดนางก็เกิดจิตปรารถนาอยากจักถวายทานเหมือนพี่บ้าง จึงใช้ให้บ่าวไปนิมนต์พระเรวตะมาฉันอาหารที่ยังเรือนตน ฝ่ายพระเถระเมื่อรับนิมนต์ก็ปรารถนาจักยังกุศลให้เกิดแก่เจ้าภาพโดยยิ่ง จึงไปชวนเพื่อนภิกษุมาด้วยอีก ๗ รูป ซึ่งแต่ละรูปล้วนเป็นพระอรหันต์แล้วทั้งสิ้น โดยหวังจักให้เจ้าภาพได้ถวายทานในรูปของสังฆทาน อันจักก่อให้เกิดอานิสงส์อย่างอเนกอนันต์
เมื่อพระคุณเจ้ามาถึงนางสุภัททาเห็นท่านไม่ได้มาเพียงลำพังแต่มีเพื่อนภิกษุมาด้วย ก็ให้แสนปลาบปลื้มดีใจ รีบสั่งบ่าวไพร่ให้ไปนำอาสนะมาปูเพิ่ม ส่วนนางก็รีบลงจากเรือนไปต้อนรับเหล่าพระคุณเจ้าด้วยตนเอง
หลังจากถวายทานแล้วนางก็รู้สึกว่าจิตใจของนางนั้นเกิดปีติขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นพอมีโอกาสนางจึงมักให้บ่าวไปนิมนต์พระเรวตะพร้อมเพื่อนภิกษุมาฉันอาหารที่เรือนอยู่เป็นประจำ ด้านภัททาพี่สาวแม้จะคอยพร่ำเตือนน้องมิให้ประมาทในบุญ ทว่าตนเองกลับไม่เคยได้มีโอกาสถวายสังฆทานเหมือนดั่งน้องสาวเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว!
กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จักหาสิ่งใดจีรังยั่งยืนไม่มี หลังจากสองศรีพี่น้องคู่นี้หมดสิ้นอายุขัยบนโลกมนุษย์แล้ว ปรากฏภัททาพี่สาวได้ไปอุบัติบนแท่นบรรทมของท่านท้าวโกสีย์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนสุภัททาผู้น้องได้มาอุบัติเป็นเทพเจ้าผู้มีสิริโฉมโสภา มีรัศมีรุ่งเรืองเจิดจ้าจรัส อยู่บนเมืองฟ้าชั้นนิมมานรตีภูมิ(สวรรค์ชั้นที่๕)
เทพเจ้าสุภัททาครั้นพออุบัติเป็นเทพเรืองฤทธิ์ก็ให้สงสัยในบุพกรรมของตนเสียยิ่งนัก ว่าเคยทำกุศลอันใดไว้ฤา ไฉนจึงครองทิพสมบัติที่แสนวิจิตรโอฬารอันมีปราสาททองคำเป็นอาทิ มีข้าทาสเป็นนางฟ้านับพันคอยปรนนิบัติรับใช้ นอกจากนั้นยังเปี่ยมไปด้วยศักดานุภาพแลฤทธานุภาพเหนือเทพทั่วไปอีกต่างหาก ดังนั้นจึงกำหนดจิตดู ทันใดก็ทราบว่าสมบัติทิพย์เหล่านี้ล้วนเกิดมาจากบุญที่ตนได้เคยถวายสังฆทานแด่ท่านพระ เรวตะเถระแลเพื่อนภิกษุเอาไว้ โดยมีพี่สาวเป็นผู้ชี้นำนั่นเอง ดังนั้นด้วยความสำนึกในบุญคุณพี่สาว เทพเจ้าสุภัททาจึงลงจากนิมมานรตีภูมิมายังไพชยนต์ปราสาทของท่านท้าวสักกะทันใด
ขณะนั้นนางฟ้าภัททากำลังเพลิดเพลินอยู่ในปราสาท จู่ๆเห็นเทพรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีเกินเทพองค์ใดในแดนตาวติงสา กำลังเดินเข้ามาหาตนก็ให้ประหลาดใจ จึงร้องถามไป “ ข้าแต่ท่านผู้ทรงศักดานุภาพแลบุญญานุภาพอันประมาณมิได้ ตัวท่านนั้นโอภาสไปด้วยรัศมีประดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยง มียศแลศักดิ์ยิ่งกว่าเทพองค์ใด! ข้าพเจ้ามิเคยเห็นท่านมาก่อน ทำไฉนจึงจักทราบนามของท่านฤา? ” เทพเจ้าสุภัททาพอฟังนางฟ้าพี่สาวถามมาจึงตอบว่า “ ดูก่อนนางฟ้าผู้งดงาม เรามีนามว่าสุภัททาเทพเจ้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เราเคยเป็นน้องสาวท่าน แลท่านก็คอยพร่ำสอนเรามิให้ประมาทในบุญ ซึ่งเราก็ได้ปฏิบัติตามด้วยดีเสอมมา หลังจากตายจากมนุษย์ด้วยอานิสงส์แห่งบุญที่ทำไว้ จึงนำเราให้ไปอุบัติยังนิมมานรตีภูมิ ซึ่งเป็นดินแดนอันไกลโพ้น ห่างจากที่อยู่ของท่านเป็นระยะทางอันประมาณมิได้ ด้วยความสำนึกในบุญคุณของนางฟ้าพี่สาว เราจึงลงจากภูมิที่อยู่มาเยี่ยมท่าน ก็ด้วยสาเหตุนี้แล”
หลังจากบอกกล่าวเท้าความกันแล้ว เทพกัญญาทั้งสองก็สนทนากันถึงบุญที่ทำเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ นางฟ้าภัททาคาดไม่ถึงว่าอานิสงส์ของการถวายสังฆทานนั้นจักให้ผลได้อย่างอเนกอนันต์ถึงเพียงนี้ พอฟังเทพเจ้าน้องสาวเล่าจบนางก็ถึงกับรำพึงออกมา “ ดูก่อนสุภัททาน้องพี่ แต่ก่อนพี่มิรู้เลยว่าการถวายสังฆทานนั้นจักมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้! บัดนี้พี่รู้แล้ว หากแม้นชาติหน้าฉันใดพี่ได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีก พี่จักขอขจัดเสียซึ่งความตระหนี่ทั้งปวง แลจักขอถวายแต่สังฆทานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันทีเดียว! ”
หลังจากสนทนากันพอสมควรแก่เวลา เทพเจ้าสุภัททาก็อำลานางฟ้าพี่สาวกลับยังที่อยู่แห่งตน และก็ใช้ชีวิตอยู่บนนิมมานรตีภูมิอย่างมีความสุขต่อไป อีกตราบนานเท่านาน.
สืบ ธรรมไทย
ที่มา : พุทธชาดก / โลกทีปนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)