อุบายแก้ใจหงอยเหงาผิดหวัง : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

 จำปาพร  


พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

เวลาใดจิตใจมันหงอยเหงาเศร้าโศก
มันประสบกับความผิดหวังบางสิ่งบางอย่าง
หรือบางทีมันก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างนี้
คนธรรมดาสามัญมันก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ
หรือทำการงานอะไรมันผิดหวังลงไป
ทำการค้าการขายขาดทุน
ทำนาทำสวนไม่ได้ข้าวไม่ได้ผลไม้
เนื่องจากแล้งเบาะ ท่วมเบาะ อะไรหมู่นี้นะ
ก็ได้ชื่อเป็นความผิดหวังในชีวิตอย่างใหญ่หลวงพอได้เหมือนกัน

ทีนี้เมื่อบุคคลมาประสบกับภัยพิบัติดังกล่าวมานี้แล้ว
ก็ต้องมีอุบายสอนใจตัวเอง ก่อนอื่นก็ควรนึกถึง
"สภาพของสังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง" นั่นแหละมาเป็นอารมณ์
ถ้าหากว่าสังขารคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นขึ้นนี่มันเที่ยงแล้ว
มันก็จะไม่แปรปรวนไม่แตกไม่ดับไป
นี่เมื่อทุกสิ่งในโลกนี้มันเป็นของไม่เที่ยงแล้ว
มันจะได้สมหวังมาแต่ไหนก็ต้องหาอุบายสอนใจตัวเองเข้าไป
ให้ใจมันรู้มันเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
มันก็คลายความทุกข์ความโศกลงเพราะว่าทุกสิ่ง
"มันเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจหวัง"
เมื่อไตรลักษณญาณปรากฏแจ่มแจ้งในใจอย่างนี้แล้ว
มันก็บรรเทาเบาบางลงได้ความโศกเศร้าเสียใจต่างๆนานา

อีกนัยหนึ่งก็นึกถึงความดีของตัวเอง
ไม่ใช่ตนของตนนี่มีแต่ความชั่วอย่างเดียว
มีแต่ความผิดหวังอย่างเดียว ความสมหวังก็มีอยู่ในชีวิต
อาศัยบุญบารมีที่สั่งสมอบรมมาตั้งแต่ก่อนโน้นน่ะ
มันมาอำนวยผลให้ เช่น ได้เกิดมาเป็นคนอย่างนี้
มีอวัยวะร่างกายครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่บกพร่องแต่อย่างใด
แล้วก็มีสติปัญญาพอสมควร พอหาเลี้ยงอัตภาพได้
ไม่ถึงกับว่าได้เป็นทาสทาสีทาสาของผู้อื่น
มีพื้นความรู้ในการทำมาหาเลี้ยงชีพเช่นทำนา ทำสวน เป็นต้น
เหล่านี้นะ ผู้ใดไม่เกียจคร้านแล้วลงมือทำไป
มันก็ต้องได้มาทรัพย์สมบัติต่างๆเหล่านั้นน่ะ
นี่ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญอยู่ ไม่ใช่ไม่มีบุญเสียเลย

นึกถึงบุญถึงวาสนาของตนมาแต่หนหลังตลอดมาถึงจนปัจจุบัน
ตนก็ได้ทำความดีมาอย่างนี้นะ เมื่อนึกถึงความดี
นึกถึงบุญวาสนามาแล้วมันก็ชื่นใจขึ้นมา
ก็รู้ว่าตนนั้นไม่ใช่มีแต่ความชั่วความผิดหวัง
ความสมหวังก็มีอยู่ บุญวาสนาบารมีก็มี
ถ้าบุญวาสนาไม่มีก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคน
แต่ว่าบุญวาสนาที่มาตกแต่งให้นี้มันน้อยไป
เนื่องจากว่าตนได้ทำความดีไว้แต่ก่อนน่ะมันน้อย
ชักจะมัวเมาประมาทเพลิดเพลินไปในโลกสงสารอันนี้
มากกว่าการมาทำความดี มากกว่าการฝึกฝนอบรมจิตอย่างที่ว่านี่ล่ะ
ไม่ฝึกจิตใจของตนให้ตั้งมั่นต่อกุศลคุณงามความดี
หรือว่าตั้งมั่นก็ตั้งนิดๆหน่อยๆไม่มาก
ทีนี้เวลามันอำนวยผลให้มาในปัจจุบันนี่
มันก็อำนวยผลให้ตามกำลังของบุญวาสนาที่ตนได้กระทำอบรมมา

บางทีทำบาปเข้า เอ้า บาปก็มาตัดรอนชีวิต
ไม่ให้มีความสุขสม่ำเสมออยู่ได้
เมื่อมีความสุขความเจริญไปๆหน่อยหนึ่ง
บาปมันตามมาทัน บาปมันมาตัดรอนเอา
ความสุขความเจริญเหล่านั้นสูญหายไปอย่างนี้นะ
เมื่อเป็นเช่นนี้น่ะ บุคคลไม่รู้แจ้งในกรรมในผลของกรรม
จึงได้เสียใจเศร้าโศกพิไรรำพันต่างๆนานา
นี่มันก็เป็นความทุกข์อย่างนี้แหละบุคคลผู้ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์
ไม่ละเหตุแห่งทุกข์นั้นๆแล้วมันก็เป็นทุกข์ร่ำไป

...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"การฝึกจิตเพื่อชีวิตที่สูงขึ้น"

5,591







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย