การสำรวมวาจา : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

 จำปาพร  

พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


เมื่อบุคคลใดรักษาวาจาของตนให้ดี
หัดกล่าวแต่วาจาที่เป็นสัตย์เป็นธรรม เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น
วาจาอันใดที่พูดไปแล้วมันทำให้ผู้อื่นเจ็บอกเจ็บใจก็ไม่พูดไม่ทำ
พูดไปแล้วทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์เสียสินก็ไม่พูด
พูดไปแล้วทำให้คนอื่นทะเลาะวิวาทกัน ก็ไม่พูด
อย่างนี้แหละ การกล่าววาจาดีงามนี่ก็เกี่ยวกับการฝึกนะ..
เกี่ยวกับ "สติสัมปชัญญะ"ด้วย

บางคนน่ะสติอ่อนแอเหลวไหล
เมื่อจะพูดอะไรออกไปก็ระลึกไม่ได้
พูดไปตามอำนาจของกิเลส
มันก็มักจะเป็นคำพูดที่ผิดพลาดไปเรื่อยๆ
ไปกระทบกระทั่งผู้อื่นให้เป็นทุกข์เดือดร้อน
ไม่ทันได้คิดให้ละเอียดถี่ถ้วนอะไรแล้วก็พูดออกไปเลยอย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้นขอให้พากันสำรวมระวังการกล่าววาจานี้ให้มากๆเลยทีเดียว
เพราะวาจานี้เป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี
นี่พูดถึงคุณค่าของวาจานี่นักปราชญ์ท่านยกให้เป็นเอกเลยทีเดียว
นี่เป็นเอกในที่นี้น่ะ..ถ้าหากว่าพูดชั่วอย่างนี้
มันก็เป็นเอกไปทางชั่วนะ ถ้าพูดดีก็เป็นเอกไปในทางดี
เอ้า "พูดชั่วตัวก็ตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา"
นี่คำโคลงท่านกล่าวไว้

อย่าไปเข้าใจว่าไม่สำคัญเน้อวาจาคำพูดนี้น่ะ
สำคัญมากทีเดียว เพราะมันส่อออกมาจากดวงจิตนู่น
ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นแล้ว จิตเหลาะแหละเหลวไหลแล้ว
แน่นอนแหละ วาจาก็เหลวไหล พูดออกไปไม่ค่อยเป็นประโยชน์
มักจะเป็นแต่โทษ บางคนเรียกว่าเมื่อมันขาดสติสัมปชัญญะแล้ว
ตนพูดผิดออกไปแล้วไม่รู้ตัวนะ ไม่รู้ตัวเลย
สำคัญว่าตนพูดถูกอยู่ร่ำไปอย่างนี้นะ

ดังนั้นแหล่ะ การฝึกฝนจิตให้ตั้งมั่นนี้นะมันจึงเป็นสิ่งจำเป็นน่ะ
เมื่อจิตตั้งมั่นลงไปได้ดีแล้ว จะพูดอะไรออกไปมันก็ต้องวินิจฉัยได้นะ
พิจารณาได้ทันที ควรหรือไม่ควรอย่างนี้นะมันก็รู้ได้
พอมันรู้ได้ว่ามันไม่ควรอย่างนี้มันก็งดเลย ไม่พูดแล้ว
ถ้าเห็นว่าควร พูดออกไปนี่มีประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นอย่างนี้
พูดออกไปมันก็ได้ประโยชน์จริง มันใคร่ครวญก่อนแล้วจึงค่อยพูดออกไป

เมื่อเป็นเช่นนี้อานิสงส์แห่งคำพูดที่เราระมัดระวัง
พูดแต่ในทางที่เป็นประโยชน์
เกิดไปชาติใดก็มีวาจาอันไพเราะอ่อนหวาน
มีวาจาที่มีอานุภาพ สามารถจูงใจให้ผู้ฟังนั้นทำตามได้
เลื่อมใสยินดีในคำพูดอันนั้นได้
นี่อานิสงส์ที่เราสำรวมวาจานะ
ถ้าไม่สำรวมก็ตรงกันข้ามแหละ
เกิดไปชาติใดจะพูดอะไรให้ใครฟัง
คนก็ไม่ค่อยจะเชื่อ แม้จะพูดดี
เขาก็ยังมองเห็นว่าเป็นชั่วไป

เพราะบาปกรรมที่ตนทำในปัจจุบันนี่มันไปอำนวยผลให้
เป็นความจริงนะบางคนนะ พูดดีมันมีคนตำหนิติเตียนก็มีอย่างนี้แหละ
ทั้งที่ผู้นั้นพูดดีอยู่ แต่คนฟังมันน่ะไม่ชอบใจ แสลงใจเลย
ถ้าผู้ใดปรากฏว่าเป็นอย่างนี้นะก็ให้นึกถึงกรรมเวรตัวเอง
ไม่ต้องไปโกรธคนอื่นหรอก เออนี่เราต้องได้มีกรรมเวร
เราต้องพูดไม่ดีมาแต่ชาติปางก่อนนู่น อย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้นมาชาตินี้เราพูดดียังไงเขาก็ไม่เชื่อไม่ทำตาม
หรือยังรังเกียจอีกซ้ำ ก็ทำความเข้าใจกับตัวเองอย่างนี้แล้ว
ก็สบายดี ไม่เดือดร้อนหรอก

ดังนั้นนะที่พูดมาโดยลำดับนี้ ก็จะเห็นได้ว่า
การฝึกฝนจิตนี้เป็นสิ่งสำคัญขนาดไหนน่ะ
เพราะว่าอะไร้อะไรมันก็เกิดจากจิตใจนี้หมดเลย
เหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย มันก็เกิดจากใจนี่
เหตุแห่งความสุขทั้งหลาย มันก็เกิดจากใจดวงนี้

เมื่อใจดวงนี้มีความเข้าใจผิด เห็นผิดแล้ว
คิดอะไรมันก็คิดไปในทางผิดแหละ เห็นอะไรก็เห็นไปในทางผิด
เมื่อมันเห็นผิด มันก็ใช้กายวาจาใจทำผิดพูดผิด
ไปจากทำนองคลองธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างนี้นะ
ถ้าใจดวงนี้มันเห็นถูก มันรู้ถูกแล้วอย่างนี้
มันก็ใช้กายทำ ใช้วาจาพูด แต่ในทางที่ถูก
ตรงต่อศีลต่อธรรมต่อคำสอนพระพุทธเจ้า

5,573







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย