เด็กๆ เราจะรู้แต่หนังสือและวิชาชีพ ไม่รู้ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง



"#การศึกษาระบบหมาหางด้วน #วันเด็กแห่งชาติ

"ประเทศไทยก็เป็นประเทศเล็ก ถ้าพูดด้วยภาษาตรงไปตรงมาก็ว่าเป็นประเทศตามก้น ไม่ใช่ประเทศผู้นำ

หมาหางด้วนในนิทาน มันเผอิญหางด้วน มันก็ไปหลอกเพื่อนว่า หางด้วนนี้ดี ให้ช่วยกันตัดหางตามๆ กันไป

นี่ประเทศชาติใหญ่ๆ ที่เขากันศาสนาออกไปจากการศึกษาแล้วบอกว่าดี ประเทศเล็กๆ ก็ตามก้นเหมือนตัดหางตามหมาหางด้วนตัวแรก นี่ทั้งโลกกำลังเป็นอย่างนี้

บางประเทศถ้าสอนศาสนาในโรงเรียนถือว่าผิดกฎหมาย ให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวบุคคล อยากรู้ก็ไปหารู้เอาเอง ไม่สอนในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย เราไปตามก้นเขา ก็ได้ระบบการศึกษาที่ไม่มีธรรมะหรือศาสนาอยู่ในระบบการศึกษาพลอยเป็นหมาหางด้วนตามๆ กันไป

ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าโรงเรียนตั้งแต่ระดับต่ำสุดถึงสูงสุดเป็นมหาวิทยาลัย มันก็เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ไม่มีเรื่องธรรมะ

เขาเอาเรื่องของศาสนาไปเป็นแขนงเล็กๆ ของหน้าที่พลเมือง มันก็เกิดการบกพร่องขึ้น มันก็เกิดการเสื่อมทางศีลธรรม สมน้ำหน้าคนโง่ที่ไม่ให้ความจำเป็นกับสิ่งที่เรียกว่าศาสนาหรือพระธรรมให้เพียงพอกัน"

หมายเหตุ สำนวน "หมาหางด้วน" หมายถึง คนที่ทำอะไรผิดพลาดจนได้รับความอับอายแล้วชวนให้ผู้อื่นทำตามโดยยกย่องการกระทำนั้นว่าดี ควรเอาอย่าง

#เยาวชนรู้ธรรมะแต่ไม่มีธรรมะ

"มีสอนธรรมะหรือศีลธรรมบ้างในโรงเรียน มันก็สอนแต่เพียงให้รู้ ให้เรียนรู้ จำได้ สอบได้ แต่มันไม่ได้ผล คือ คนไม่มีศีลธรรม

ลูกเด็กๆ เยาวชนของเรารู้ธรรมะแต่ไม่มีธรรมะ

ไม่เป็นแต่ลูกเด็กๆ เท่านั้นแหละ คนทั่วๆ ไปมันก็เป็น รู้ธรรมะ พูดธรรมะกันมาก แต่ไม่มีธรรมะในตัวบุคคลนั้นๆ

บุคคลเหล่านั้นไม่กลัวบาป รู้อยู่ว่าบาปเป็นอย่างไร แล้วมันก็ไม่กลัวบาป มันจึงทำบาป ทั้งที่รู้อยู่ว่านี่เป็นบาป

เหมือนกับคนรู้กฎหมาย มันไม่ได้รู้กฎหมายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย มันรู้กฎหมายเพื่อจะฝ่าฝืนกฎหมาย

หาช่องทางออกสำหรับประพฤติทุจริตเป็นประโยชน์แก่ตัว เรียกว่า รู้กฎหมายเพื่อทำสิ่งตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย

จงดูให้ดีว่า เยาวชนของเรานี้กำลังรู้ธรรมะอย่างวิชาความรู้ แต่ไม่มีธรรมะอย่างที่เขาจะต้องมีหรือต้องเป็นตามหลักของศาสนา

เด็กๆ รุ่นหลังนี้จึงมีปัญหาชนิดที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน การแต่งเนื้อแต่งตัว กริยามารยาท การประพฤติกระทำเป็นปัญหาไปหมด"

#ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง

เราก็สนใจกันแต่เรื่องความสนุกสนานเอร็ดอร่อยซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส การศึกษาในยุคปัจจุบันนี้ก็สอนแต่เรื่องนี้ สอนแต่ให้เป็นทาสของอารมณ์ทั้งนั้น

การศึกษาทั้งโลกเลย ทั้งโลกทุกประเทศในโลกเลย มันก็สอนแต่เรื่องหนังสือ กับเรื่องวิชาชีพ

สอนหนังสือให้ฉลาด แล้วก็ไม่ได้สอนว่าให้ใช้ความฉลาดอย่างไร

คนเขามีความฉลาด แล้วก็สอนอาชีพ มันก็ได้ปัจจัย คือเงินมาซื้อหาสิ่งที่ตัวต้องการ เมื่อมันไม่มีความรู้ว่าอะไรควรต้องการ อะไรไม่ควรต้องการ มันก็โง่ มันก็ต้องการแต่สิ่งที่มาสนองกิเลสตามความรู้สึกของกิเลส

ในโลกนี้มีการศึกษาเพียง 2 อย่าง คือ สอนหนังสือให้ฉลาด แล้วก็สอนวิชาชีพ เป็นเครื่องทำให้เกิดทรัพย์ เกิดปัจจัย คือ เงิน สำหรับจะไปซื้อหาสิ่งที่ต้องการ ส่วนการศึกษาที่ 3 ไม่มี

ศึกษาที่ 3 คือ ธรรมะ ที่จะสอนให้รู้ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร #เป็นคนกันอย่างไรชีวิตจึงจะเย็น

คนมันไม่ได้เรียนความเป็นมนุษย์กันอย่างไร มันก็เป็นมนุษย์ไปตามอวิชชา ตามกิเลสตัณหา

ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ เรียกว่าการศึกษาในโลกมันมีลักษณะเป็นสุนัขหางด้วน เป็นการศึกษาด้วนเหมือนสุนัขหางด้วน หรือพระเจดีย์ยอดด้วน มันไม่น่าดูทั้งนั้นแหละ

ขอให้ช่วยคิดดูว่าเด็กๆ ของเราจะรู้แต่หนังสือและวิชาชีพ ไม่รู้ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง
ไม่สามารถจะบังคับตัวเองให้มีธรรมะจึงมีอันธพาลในโรงเรียน ในโรงเรียนจะกลายเป็นที่ประพฤติอาชญากรรม ตีรัน ฟันแทง ขว้างระเบิด ชกต่อย สนามกีฬากลายเป็นที่เพาะอันธพาล สร้างนิสัยสันดานแห่งความเห็นแก่ตัว

#สอนให้เป็นสุภาพบุรุษ

การศึกษาที่สูงสุดในโลก เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ผู้ที่ไปเรียนเคมบริดจ์หรือออกซ์ฟอร์ดมาเขามาเล่าให้ฟังว่า ไม่ต้องการอะไร เรียนจบเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษจะได้ดีกรีนั่น ดีกรีนี่ ไม่มีใครสนใจ วิชาอะไร ดีกรีอะไรก็ไม่มีใครใคร่สนใจ เขาสนใจแค่ว่าคนเรียนจบแล้วต้องเป็น #สุภาพบุรุษ นั่นแหละสิ่งที่ต้องการ เป็นจุดสูงสุดของการศึกษา

เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจนักกีฬา ไว้ใจได้ ไม่มีอันตราย เป็นคนซื่อตรง น่าเคารพนับถือ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้ใด เดี๋ยวนี้การศึกษาระบบนั้นก็หายไปแล้ว ที่เคยมีนั้นก็หายไปแล้วเป็นเหมือนๆ กันไปทั้งโลก เพียงแต่ให้ได้ความรู้มีปริญญายาวเป็นหางก็พอแล้ว ความเป็นสุภาพบุรุษไม่มีเหลืออยู่ โลกจึงเป็นอย่างนี้

#รู้จักตัวเอง_เคารพตัวเอง_บังคับตัวเอง

อยากจะพูดถึงคำพูด ๒ – ๓ คำที่สำคัญว่า ที่สำคัญที่สุดที่ควรจะถือเป็นหลักว่า เขาจะต้องรู้จักตัวเอง เขาจะต้องเคารพตัวเอง เขาจะต้องบังคับตัวเอง

บังคับตัวเองให้ทำให้ได้ตามหลักการนั้นๆ ในที่สุดเราก็เคารพตัวเองว่า เราทำได้ ถึงขนาดที่ว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ว่า ตัวเองนี้มันช่างมีความดีความงามอย่างครบถ้วน

นี่จะต้องรู้จักตัวเอง จะต้องเชื่อตัวเอง จะต้องบังคับตัวเอง แล้วเคารพตัวเองได้ในที่สุด เพียงเท่านี้ก็เป็นความสมบูรณ์แห่งศีลธรรมทุกแขนง

เดี๋ยวนี้ศีลธรรมของเด็กๆ มันหายไปๆ อย่างที่ปรากฏอยู่ในประจักษ์พยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะในหน้าหนังสือพิมพ์ไปดูเถอะ เด็กๆ ของเรากำลังอันธพาลมากขึ้นแล้วก็จะมากขึ้น

ในโรงเรียนนั่นเองยังมีการประพฤติที่เรียกว่า ไม่ใช่มนุษย์ ในมหาวิทยาลัยก็ยังมีข่าวว่า นักศึกษาฉุดสตรีไปทำความเลวทรามกันที่นั่นในมหาวิทยาลัย นี่มันไม่เคยมีอย่างนี้ในกาลก่อน

ขึ้นชื่อว่านักเรียนมันแต่งตัว รู้ว่านี่เป็นนักเรียน เป็นนักเรียนในโรงเรียน มันก็ต้องมีเครื่องแบบ มีเครื่องหมาย ตัดผมตัดเผ้าเรียบร้อย เนื้อตัวเรียบร้อย

ส่วนเดี๋ยวนี้นักเรียนนักศึกษานั้น ผมเป็นเซิง แต่งตัวปอนๆ ไม่รู้ว่าคนบ้าหรือคนดี ลองเปรียบเทียบกันดูอย่างนี้ ดังนั้น ก็มีโอกาสทำอะไรอย่างไม่มีศีลธรรมได้มากขึ้น นั่นก็เกิดเป็นความนิยมตามๆ กันมา ไม่มีใครละอายใคร โรงเรียนนี้เป็นได้ โรงเรียนโน้นก็เป็นได้ มหาวิทยาลัยนี้เป็นได้ มหาวิทยาลัยโน้นก็เป็นได้ ความเลวทรามทั้งหลายก็เต็มไปหมด ในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นกันมากขึ้นๆ จะเป็นกันทั้งโลกด้วยซ้ำไป

โลกนี้ก็กลายเป็นที่อยู่ของบุคคลที่เห็นแก่ตัว ไม่ถือศาสนา ไม่ถือพระเจ้ายิ่งขึ้นทุกที บูชาประโยชน์ อะไรเป็นประโยชน์แก่กิเลสของตนก็เอาอันนั้นแหละเป็นสิ่งสูงสุด

ที่เคยบูชาพระเจ้าก็เปลี่ยนมาบูชากามารมณ์ บูชาเงิน บูชาอำนาจวาสนา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับเสาะแสวงหาปัจจัยแห่งกามารมณ์ โลกนี้เป็นอย่างนี้ ก็ดูเถอะ ตรวจดูให้มากๆ พิเคราะห์ดูให้มากๆ มันกำลังเป็นอย่างนี้

องค์การโลกก็ช่วยไม่ได้ องค์การโลกไม่ทำให้มีสันติภาพได้ มีแต่ให้เกิดการแย่งชิง ฉวยโอกาสที่จะเอาเปรียบกันในที่ประชุมองค์การโลกเท่านั้น มีเท่านั้น เป็นเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งไม่มีที่สิ้นสุด มันก็ทำให้โลกนี้มีสันติภาพไม่ได้

องค์การโลกอย่างนี้ไม่ทำให้โลกนี้มีสันติภาพได้ มีองค์การโลกอย่างนี้สัก ๑๐ องค์การ ๑๐๐ องค์การ โลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพได้ เพราะมันไม่มีศีลธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศีลธรรม ฉะนั้นเราหวังให้กิจกรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งศีลธรรมกันดีกว่า

#ครอบครัวสอนด้วยการทำเป็นตัวอย่าง

บิดามารดาอย่าให้เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาทำเป็นตัวอย่างดีๆ แล้วลูกเด็กๆ ของเราก็จะเอาอย่างเอง

การได้เกิดในครอบครัวที่ดีนั้นนับว่า มีบุญเหลือประมาณ ครอบครัวที่ดี ประพฤติดีกันทั้งพ่อทั้งแม่ ทั้งพี่ทั้งน้อง ทั้งตาทั้งยาย ทั้งปู่ทั้งย่า มันประพฤติเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ในครอบครัวนั้น พอเด็กคลอดออกมา ก็เห็นแต่ตัวอย่างที่ดี ก็เอาอย่างได้ จึงเป็นคนเรียบร้อย เป็นคนสุภาพ พูดจาไพเราะ ไม่เกะกะระราน เป็นคนรักความสะอาด อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าลองเปรียบเทียบเด็กๆ ที่เกิดมาในตระกูลที่มันต่างกัน ในครอบครัวที่ต่างกัน เด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่มีศีลธรรมดีนั้นก็จะมีศีลธรรมมาตั้งแต่เล็ก เกิดมาในตระกูลที่ไม่มีศีลธรรม พูดจาหยาบคาย โฮกฮาก ไม่รู้จักความเรียบร้อย ความสวยงาม ความสะอาด เด็กนั้นมันก็ไม่มีศีลธรรมมาตั้งแต่ เรียกว่าตั้งแต่เกิดเลยแล้วกัน มันก็สอนยาก มันก็ทำความเข้าใจกันยาก แล้วจะมาโทษครู ครูก็สอนไม่ไหว

ถ้าพื้นเพนิสัยสันดานมันเลวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้ว ครูก็สอนไม่ไหว บิดามารดาก็โทษครู ครูก็โทษบิดามารดา เหวี่ยงไปเหวี่ยงมากันอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ในที่สุดเราก็มีแต่ลูกเด็กๆ ที่ไม่มีศีลธรรม

ขอให้ช่วยปรับปรุงบ้านเรือนให้เป็นตัวอย่างแห่งความมีศีลธรรม ในครอบครัวนั้นล้วนแต่มีบุคคลที่เป็นตัวอย่างทางศีลธรรม"

พุทธทาสภิกขุ

3,185







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย