อสทิสทาน มหาทานแด่สมเด็จพระพุทธองค์ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
สมัยหนึ่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงประกาศสัจธรรมอยู่ ครานั้นผู้คนในชมพูทวีปไม่ว่าจักเป็นวรรณะสูงอย่างกษัตริย์หรือพราหมณ์ก็ดี หรือจักเป็นวรรณะต่ำอย่างแพศย์ลงไปจนถึงจัณฑาลก็ดี พวกเขาต่างก็พากันละทิ้งลัทธิของตนหันมาเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาเพิ่ม ขึ้นกันเป็นจำนวนมาก ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างให้ความสำคัญกับการบริจาคทาน รักษาศีล ตลอด จนเจริญสมาธิภาวนากันอย่างแพร่หลาย เพราะเชื่อว่าการกระทำทั้งสามนี้คือหนทางเอกที่จักทำให้พวกเขาได้บุญได้กุศลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการถวายทานอันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระประธานนั้น ยิ่งถือว่าเป็นยอดของบุญทีเดียว ดังนั้นผู้คนในสมัยนั้นจึงให้ความสำคัญกับทานชนิดนี้มากที่สุด บางครั้งถึงกับแข่งกันว่าใครจักทำได้ยิ่งใหญ่กว่ากันก็มี และไม่เพียงประชาชน แม้แต่กษัตริย์ก็ทรงให้ความสำคัญไม่แพ้กัน
มีอยู่คราวหนึ่งหลังจากสมเด็จพระพุทธองค์ได้เสด็จจาริกไปตามแว่นแคว้นต่างๆจนเกือบจักทั่วชมพูทวีปแล้ว ครานั้นพระองค์ได้เสด็จกลับยังนครสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูป เมื่อทรงมาถึงก็ทรงเข้าพักยังวัดพระเชตวันที่ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย บรรดาชาวเมืองพอทราบต่างก็ดีอกดีใจ พากันจัดเตรียมของแห้งของสดกันเป็นการใหญ่ หวังจักใช้ประกอบอาหารนำไปถวายทานกันในวันพรุ่งนี้
แต่ความปรารถนาพวกเขาก็มีอันต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากราชาปเสนทิพอทรงรู้ข่าวพระศาสดาเสด็จกลับก็ทรงรีบเสด็จชิงตัดหน้าอาราธนาพระองค์ให้ทรงพาเหล่าภิกษุมารับบิณฑบาต ณ พระบรมมหาราชวังในเช้าวันพรุ่งนี้ก่อนใคร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเมื่อทรงสดับคำขออาราธนาของจอมกษัตริย์ พระองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ จึงยังความปลาบปลื้มพระทัยให้กับจอมราชันเป็นอย่างยิ่ง พอกลับถึงวังท้าวเธอจึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษออกไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่า เช้าพรุ่งนี้ผู้ใดที่ไม่ติดภารกิจสำคัญ ขอให้มาชมการบำเพ็ญทานของพระองค์พร้อมกันถ้วนหน้า!
รุ่งขึ้นราชาปเสนทิก็ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการตักบาตรถวายทานแด่พระศาสดาแลพระสงฆ์สาวก ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวัง บรรดาชาวเมืองที่มาร่วมงานพอเห็นการถวายทานของจอมกษัตริย์ พวกเขาต่างก็ยินดีไปกับอานิสงส์ที่จักเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงต่างพร้อมใจกันกล่าวคำอนุโมทนาเสียจนดังลั่น นั่นยิ่งเหมือนไปเพิ่มความปลื้มปีติให้เกิดกับจอมราชันมากยิ่งขึ้นไปอีกจนยากจักบรรยาย
หลังเสร็จพิธีบรรดาผู้นำชุมชนเมื่อเห็นการถวายทานของจอมกษัตริย์แล้วพวกเขาก็อยากจักจัดงานถวายทานให้มันยิ่งใหญ่เหมือนพระราชาของตนบ้าง จึงประชุมหารือกันถึงรายละเอียดของการจัดงานในเช้าวันพรุ่งนี้ หลังได้ข้อสรุปก็ตั้งบุรุษผู้หนึ่งขึ้นเป็นผู้แทนปวงชนเข้าไปอาราธนาสมเด็จพระชินสีห์ พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกให้มารับบิณฑบาตในฟากของเหล่าประชาชนบ้าง จากนั้นก็ให้เขาไปทูลอัญเชิญสมเด็จพระราชาธิบดีและพระมเหสีมัลลิกาให้เสด็จมาเป็นประธานในงาน
รุ่งขึ้นราชาปเสนทิและพระนางมัลลิกาเทวีก็เสด็จมายังลานคนเมืองตามคำเชิญของเหล่าประชาชน พอมาถึงเวลานั้น ณ ลานคนเมืองอันกว้างใหญ่ได้มีผู้คนจำนวนมากออกมารอตักบาตรถวายทานกันให้เนืองแน่นไปหมดแล้ว แต่ละคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม ทักทายหยอกล้อกันอย่างมีความสุข อาหารที่นำมาแต่ละอย่างก็ล้วนแต่มีสีสันสวยงาม กลิ่นหอมหวนชวนรับทานเสียนี่กระไร ไม่ว่าจักเป็นของคาวของหวาน ล้วนน่ากินไปเสียทั้งหมด จอมราชาเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นความตั้งใจในการถวายทานของเหล่าปวงประชา พระองค์ก็ทรงรู้สึกปลาบปลื้มไปกับพวกเขาด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงเกิดทิฐิฝ่ายกุศลขึ้นในพระทัยว่า
“ เช้านี้ชาวเมืองจัดงานได้อย่างยิ่งใหญ่นัก หากเทียบกับงานถวายทานของเราเมื่อวาน ดูเหมือนจักใหญ่กว่า ไม่ได้การ! เห็นทีเราต้องจัดงานถวายทานใหม่อีกครั้ง แลครั้งนี้จักต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทานของเหล่าชาวเมืองในเช้านี้ให้ได้ ” เมื่อทรงดำริดังนี้พอเสด็จกลับถึงวังจึงทรงรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศทั่วพระนครทันทีว่า เช้าพรุ่งนี้ใครไม่ติดธุระสำคัญขอให้มาชมการบำเพ็ญทานของพระองค์กันอีกครั้ง
รุ่งขึ้นชาวเมืองที่ไม่ติดภารกิจ ต่างก็เดินทางเข้ามายังลานหน้าพระบรมมหาราชวังกันจนเนืองแน่นล้นหลาม เพื่อจะมาชมการถวายทานที่ยิ่งใหญ่ของจอมราชา ครั้งนี้จอมกษัตริย์ได้ทรงจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมาก เหล่าพสกนิกรเมื่อเห็นการถวายทานของพระองค์ต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญกันแทบไม่หยุดปาก โดยเฉพาะผู้นำชุมชนยิ่งปลาบปลื้มมากกว่าผู้ใด แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เกิดทิฐิฝ่ายกุศลตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพอเสร็จพระราชพิธีพวกเขาจึงรวมกลุ่มปรึกษา หารือกันว่าจักจัดงานถวายทานใหม่ขึ้นอีกครั้งในเช้าวันพรุ่งนี้ แลครั้งนี้จักต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทานของจอมราชาในเช้านี้ให้ได้!
การแข่งกันถวายทานระหว่างพสกนิกรกับจอมกษัตริย์อย่างชนิดไม่มีใครยอมใครได้ถูกจัดขึ้นถึงห้าครั้งห้าคราด้วยกัน กระทั่งครั้งที่หกบรรดาชาวเมืองได้ร่วมแรงร่วมใจกันถึงที่สุด ออกเสาะหาสิ่งของต่างๆที่มีอยู่บนแผ่นดินนำมารวมไว้อยู่ในกองทานจนหมดจนสิ้น จนแทบจักกล่าวได้ว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย ราชาปเสนทิพอทรงเห็นทานครั้งนี้พระองค์ก็ถึงกับทรงมีสีพระพักตร์เปลี่ยนไปทันที แต่ด้วยทิฐิกษัตริย์กลับมิได้ตรัสชมเชยออกไปแม้แต่คำเพียงเดียว
กระทั่งเสด็จกลับถึงวังแล้วก็ยังมิวายที่จักทรงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องทานของเหล่าชาวเมืองในเช้าที่ผ่านมา จนพระชายามัลลิกาทรงสังเกตเห็นความผิดปกติของพระสวามี จึงเสด็จเข้าไปถาม “ เสด็จพี่ทรงคิดเรื่องใดอยู่หรือเพคะ? หม่อมฉันเห็นสีพระพักตร์มิค่อยสู้ดีเลย ” จอมราชาซึ่งกำลังทรงหมกมุ่นกับการหาวิธีที่จะเอาชนะทานของเหล่าชาวเมืองให้ได้ จู่ๆพอถูกถามก็ถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัย หลังทรงตั้งพระสติได้จึงเสตรัสว่า “ เปล่านี่จ๊ะน้องหญิง เพียงแต่พี่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยจ๊ะ ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ยิ่งทรงคลางแคลงมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงทรงซักถามต่อไปอีก “ นิดหน่อยหรือเพคะ? แต่ไฉนหม่อมฉันเห็นเสด็จพี่ดูทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน เห็นทรงเดินไปเดินมาแล้วก็ทรงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ อย่างนี้ยังตรัสว่าเล็กน้อยหรือเพคะ? ”
พระราชาธิบดีพอทรงถูกซักมากเข้า ในที่สุดก็มิอาจจักทรงปิดบังพระชายาต่อไปได้ จำต้องเผยความจริงให้นางทราบ “ ก็ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ คือพี่กำลังหาทางว่าจักทำอย่างไรถึงจักเอาชนะทานของเหล่าชาวเมืองได้ น้องก็เห็นแล้วเช้าที่ผ่านมาทานของฟากประชาชนนั้นมันช่างยิ่งใหญ่มโหฬารนัก ข้าวของทุกอย่างบนแผ่นดินล้วนถูกพวกเขานำมารวมไว้ในกองทานจนหมดจนสิ้น แล้วอย่างนี้จักให้พี่ชนะพวกเขาได้อย่างไร? ”
มเหสีมัลลิกาพอทรงสดับก็ถึงกับทรงพระสรวลขึ้นมาทันที “ โธ่เอ๋ยนึกว่าเรื่องใด ที่แท้ก็เรื่องแข่งกันถวายทาน น่าขำนัก! เกิดมาหม่อมฉันก็เพิ่งเคยเห็นพระราชาผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดินต้องมาทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกลัวจักแพ้ให้กับเรื่องไม่เป็นสาระเช่นนี้ ช่างน่าตลกจริงๆ! ” จอมกษัตริย์ครั้นทรงสดับคำเย้ยของพระชายา ก็ทรงรู้สึกขัดเคืองพระทัย จึงตรัสไปว่า “ เอาเถอะมัลลิกา! เจ้าอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอันใด แต่พี่ขอบอก เรื่องนี้มันมิได้เล็กน้อยเลย! เพราะมันคือศักดิ์ศรีของกษัตริย์ เจ้าก็ดีแต่หัวเราะเยาะ แทนที่จักช่วยกันหาทางเอาชนะชาวเมืองว่าต้องทำอย่างไร มันช่างน่าขัดใจจริงๆ! ”
องค์เทวีพอทรงสดับคำพ้อของพระสวามี ก็ยิ่งทรงรู้สึกสนุก สนานมากขึ้น แต่มิได้ทรงแสดงให้เห็นทางสีพระพักตร์ ด้วยเกรงว่าหากจอมราชาทรงเห็นเข้าเดี๋ยวจักทรงขุ่นเคืองขึ้นมาจริงๆ รีบเสตรัสปลอบว่า “โธ่โถ...คนดีของน้อง อย่าทรงขุ่นเคืองไปเลยเพคะ ไว้เป็นธุระของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันสัญญาพรุ่งนี้ชาวเมืองจักต้องตกตะลึงกับทานของพระองค์แน่นอน! ทรงรอทอดพระเนตรเถิด ”
หลังทรงรับปากกับพระสวามีแล้วองค์เทวีก็ทูลลาจอมกษัตริย์รีบไปดำเนินการเรื่องการจัดงานในเช้าวันพรุ่งนี้ทันที ทรงบัญชามหาดเล็กให้ไปเกณฑ์ทหารมาช่วยตกแต่งลานหน้าพระบรม มหาราชวัง ทรงรับสั่งพ่อครัวให้ไปเตรียมอุปกรณ์ตลอดจนของแห้งของสดที่จักใช้ประกอบอาหาร ทรงกำหนดจำนวนและชนิดของอาหารที่จะทำถวาย โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ใช้ประกอบการปรุง ทรงให้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคเนื้อแพะ เนื้อไก่หรือเนื้อสุกร ทุกอย่างล้วนสดใหม่ เครื่องเทศเครื่องปรุงก็ต้องเป็นของนำเข้ามาจากต่างแค้วนแดนเมือง คนธรรมดาหากไม่รวยจริงก็อย่าหวังจักได้ลิ้มลอง กรรมวิธีในการปรุงก็ทรงกำชับให้ทำอย่างประณีตบรรจง ดังนั้นหน้าตาแลรสชาติของอาหารที่ออกมาจึงมีสีสันน่ารับประทาน รสชาติกลมกล่อมละมุนละม่อมจนยากจักหาอาหารชนิดใดในแผ่นดินเทียบได้
เท่านั้นไม่พอ ยังทรงรับสั่งให้ควาญช้างนำช้าง ๕๐๐ เชือกมาร่วมพิธีด้วย โดยช้างแต่ละเชือกให้ใช้งวงจับฉัตรยืนอยู่หลังพระคุณเจ้า คอยบังแดดยามสายมิให้ส่องมาต้องเนื้อตัวระหว่างที่ท่านนั่งฉันภัตตาหารได้
เล่ากันาว่าในบรรดาช้าง ๕๐๐ เชือกที่นำมาร่วมพิธีนั้น มีอยู่เชือกหนึ่งมันกำลังตกมันพอดี เที่ยวไล่แทงไล่ชนช้างตัวอื่นอยู่ให้วุ่นไปหมด นายควาญผู้เป็นเจ้าของเห็นว่าหากเอามันเข้าร่วมพิธี ก็อาจจักไปก่อความวุ่นวายให้เกิดในงานก็เป็น ได้ จึงไปแจ้งให้หัวหน้าควาญทราบ ด้านหัวหน้าควาญพอรู้ก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที เพราะยังไงเสียช้างเชือกนี้ก็ต้องเข้าร่วมพิธีแน่นอน ไม่ยังงั้นพระคุณเจ้ารูปหนึ่งก็จักไม่มีฉัตรบังแดดเหมือนรูปอื่น แต่จักให้ไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้ารูปไหนนี่ซิปัญหา!
คิดไปคิดมาเขาก็นึกได้ เห็นทีคงต้องให้ไปยืนอยู่หลังองคุลีมาลเถระเสียแล้ว พอถึงวันงานปรากฏช้างตกมันที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม พอไปยืนอยู่หลังพระคุณเจ้าองคุลีมาลเท่านั้น มันก็ถึงกับขาสั่นพั่บๆเป็นเจ้าเข้า หรุบหูหรุบหางหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองดูใดๆทั้งสิ้น บรรดาผู้มาร่วมงานพอเห็นอากัปกิริยาของมันต่างก็อัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน บางรายถึงกับรำพึงออกมาว่า “โอ้หนอ ตบะเดชะของพระคุณเจ้าองคุลีมาลนั้น ช่างมีอานุภาพถึงปานฉะนี้! ”
นอกจากจักทรงเกณฑ์ช้างมาร่วมพิธียังไม่พอ พระมเหสีมัลลิกายังทรงให้เหล่าขัตติยนารี ตลอดจนนางสนมกำนัลทั้งหลาย พากันมาคอยปรนนิบัติพระคุณเจ้าระหว่างที่นั่งฉันภัตตาหารอีกแค่ประการหลังนี่ก็เกินความ สามารถของคนทั่วไปจักกระทำได้แล้ว เว้นแต่ผู้นั้นจะเป็นพระราชาเหมือนกัน
รุ่งขึ้นบรรดาชาวเมืองเมื่อเห็นการบำเพ็ญทานที่แสนแปลกประหลาดแลยิ่งใหญ่ตระการตาของจอมกษัตริย์ พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อัศจรรย์ใจกันไปตามๆกัน เพราะตั้งแต่ออกมาจากครรภ์มารดาก็เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แล ที่ได้เห็นการบำเพ็ญทานที่แสนยิ่งใหญ่มโหฬารอย่างที่ไม่เคยเห็นจากไหนมาก่อน มันยากจะเชื่อว่าคนเราจะสามารถถวายทานได้อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ในใจพวกเขาต่างยอมศิโรราบให้กับพระราชาของตนกันจนหมดสิ้น
แหละทานครั้งนี้นี่เองที่ถือเป็น อสทิสทาน (ทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใด ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งจักปรากฏทานลักษณะนี้ขึ้นเพียงครั้งเดียว) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา เพราะนับจากนั้นตราบจนกระทั่งพระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพานก็ไม่มีทานใดจักยิ่งใหญ่เสมอกับทานของพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระนางมัลลิกาเทวีอีกเลย กล่าวกันว่าเพื่อจักให้งานออกมาได้ยิ่งใหญ่ถึงพียงนี้ ราชาปเสนทิต้องทรงจ่ายพระทรัพย์ออกไปเป็นจำนวนถึง ๑๔ โกฏิเลยทีเดียว แหละผลจากการทำอสทิสทานครั้งนั้น เมื่อถึงกาลละสังขาร อานิสงส์แห่งการทำอสทิสทานก็ได้นำพระนางมัลลิกาเทวีให้ทรงมาอุบัติเป็นเทพนารีอยู่บนดินแดนตุสิตาภูมิแห่งนี้ ได้เสวยทิพสมบัติอันแสนวิจิตรโอฬาร ครองความเป็นทิพย์ต่อไปอีกนานแสนนาน จนกว่าจักหมดสิ้นแห่งอำนาจของผลบุญ .
ด้วยความปรารถนาดี
สืบ ธรรมไทย