... ของร้อน ....

 หิ่งห้อยน้อย   28 เม.ย. 2554

 
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
                     ผู้ซึ่งไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง





ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน
ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุเป็นของร้อน
รูปทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน


ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่และความตาย
ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น.



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ




 





โสตเป็นของร้อน
เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยโสตเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยโสตเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย
ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ











ฆานะเป็นของร้อน
กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยฆานะเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยฆานะเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ที่เกิดขึ้นเพราะฆานะสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย
ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น


เจริญในธรรม เจ้าค่ะ







ชิวหาเป็นของร้อน
รสทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยชิวหาเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยชิวหาเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย
ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

เจริญในธรรม เจ้าค่ะ










กราบนมัสการท่านยะมุนีและท่านอิทธิ ครับ กราบสวัสดีท่า่นผู้อาวุโสทุกท่านครับ

ไฟราคะ โทสะ โมหะ ร้าย
ปุถุชนจะรู้ได้อย่างไรหนา
มากกว่าโดยอัตถและสัญญา
จึงจะพ้นจากศาสตราดุจอัคคี

หากดำเนินชีวิตติดวัตถุ
กลับมองดูเป็นไฟเย็นไปเสียนี่
ทำเช่นไรจึงไม่เห็นเป็นเช่นนี้
กิเลสมารที่มากมีล้วนลวงตา

ธรรมของพระศาสดาดั่งอาวุธ
จักเปิดโปงให้เห็นจุดเคยปรารถนา
ว่าล้วนเพียงสิ่งลวงบ่วงมายา
จักเห็นตามด้วยปัญญาได้อย่างไร

ด้วยคอยตามคอยดูคอยรู้สึก
นั่งคิดนึกถึงสิ่งเคยพิสมัย
จึ่งเห็นตามว่ายึดติดกับสิ่งใด
จักกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดเรา

สุขทุกข์ใดที่เห็นเป็นตามคิด
ถ้ายึดติดเมื่อไรใจโฉดเขลา
ล้วนกลับกลายภายหน้ามาหาเรา
ให้นั่งเฝ้าถวิลหาจินตนาการ

กับหนึ่งทุกข์ดิ้นรนกระวนกระวาย
สองทุกข์ใจหากไม่เป็นเช่นดั่งฝัน
แม้สมใจแต่น้อยกว่าที่ถือมั่น
ก็เป็นทุกข์เหมือนกันต่างความแรง

มีทุกข์น้อยทุกข์มากยากกำหนด
ให้หมดจดบางคราเป็นเช่นทุกข์แฝง
หลอกว่านี่คือสมหวังดังที่แจ้ง
จิตจัดแจงเข้ายึดมั่นในทันที

ครั้นวันหนึ่งต้องไกลจากต้องพรากเสีย
ก็วนเวียนตามละเหี่ยว่ามานี่
ขอให้รออีกนิดคิดอีกที
ให้ทุกข์ใจทุกข์หนักนี่มีเนาว์นาน

ด้วยสังขารที่เที่ยงนั้นไม่มี
จะหาไหนได้ตามที่เคยคิดฝัน
ตามหาสุขที่ยืนยงคงกระพัน
ได้เหมือนกันได้ทุกข์สุขไม่มี

เมื่อปล่อยจิตยึดติดกับสิ่งใด
ก็กลับกลายเป็นบ่วงบาศก์ไปเสียนี่
คอยลวงหลอกให้ห่วงหามาอีกที
กลับไม่มีดั่งฝันในวันเพรง

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในวันก่อน
ว่าทุกสิ่งมันยอกย้อนลวงล่อเก่ง
เป็นไตรลักษณ์จักเสื่อมไปในตัวเอง
ไม่ขึ้นอยู่กับเพลงของผู้ใด

คือความอยากทั้งสามห้ามไว้เถิด
จุดสุดท้ายจะบรรเจิดเลิศพิสมัย
หากละขาดได้จากพวกสมุทัย
คงจากไกลจากกันนิรันดร

"โลกอันอุดมด้วยโมหะย่อมดูเสมือนว่าสมบูรณ์ด้วยเหตุ ผู้รู้ย่อมไม่ข้องแวะในสิ่งเหล่านั้น"
ง่ะ ถ้าผิดอย่าว่านะครับ ผมจำได้ว่าเป็นตอนหนึ่งที่ท่านตรัสไว้ในเรื่องของพระนางสามาวดีอ่ะครับ
(อย่าว่าเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนนะครับ คืออยากยกตัวอย่างสิ่งที่จำได้คลับคล้ายคลับคลาบ้างอ่ะครับ ถ้าผิดไม่ได้มีเจตนากล่าวตู่พระพุทธพจน์เลยครับ)





"โลกอันอุดมด้วยโมหะย่อมดูเสมือนว่าสมบูรณ์ด้วยเหตุ ผู้รู้ย่อมไม่ข้องแวะในสิ่งเหล่านั้น"
ง่ะ ถ้าผิดอย่าว่านะครับ ผมจำได้ว่าเป็นตอนหนึ่งที่ท่านตรัสไว้ในเรื่องของพระนางสามาวดีอ่ะครับ

คืนถิ่น
1 พ.ค. 2554 เวลา 16:11 น.






สาธุ สาธุ สาธุ

ขออนุญาตท่าน "คืนถิ่น" ร่วมบุญด้วยเจ้าค่ะ

ขอยกเอาพุทธพจน์เต็มๆ จากอุเทนสูตร
จากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ มาร่วมด้วยเจ้าค่ะ






สัตว์โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน
ย่อมปรากฏเหมือนสมบูรณ์ด้วยเหตุ

คนพาลมีอุปธิเป็นเครื่องผูกพัน
ถูกความมืดหุ้มห่อไว้
ย่อมปรากฏเหมือนว่าเที่ยงยั่งยืน
กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้พิจารณาเห็นอยู่ ฯ



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ









กายเป็นของร้อน
โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยกายเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยกายเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย
ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น


เจริญในธรรม เจ้าค่ะ











มนะเป็นของร้อน
ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน
วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน
สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน
ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

ร้อนเพราะอะไร?
เรากล่าวว่า
ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ
ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย
ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย
เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น

เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








กราบขอขมาพระรัตนตรัยและขอบพระคุณคุณหิ่งห้อยน้อยที่กรุณายกข้อความเต็มๆในพระไตรปิฎกมาให้ครับ ที่พลาดไปหรือน้อยไป ไม่ได้มีเจตนากล่าวตู่พระพุทธพจน์เลยครับ จำได้แค่นี้เอง ท่านผู้อ่านอ่านแบบเต็มๆดังที่คุณหิ่งห้อยน้อยกรุณานำมาโพสท์ให้ดีกว่านะครับ(เพราะข้อความที่ผมนำมาแม้จะดูคล้ายๆแต่ไม่อยากให้มีข้อความคิดเองหรือสัทธรรมดัดแปลงหรือปฏิรูปมาแสดงอ่ะครับ)






สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ

คุณคืนถิ่น อย่ากังวลเจ้าค่ะ

หิ่งห้อยน้อยปรารถนาที่จะร่วมบุญ อธิการกุศลด้วยน่ะค่ะ
ที่ท่านยกมาน่ะ ไม่ได้ผิดความแต่อย่างไรค่ะ และน่าชื่นชมด้วยที่จำได้แม้กระทั่ง
เป็นคำตรัสในเรื่องพระนางสมาวดี สาธุ เจ้าค่ะ สาธุ

จึงนำพุทธพจน์ทั้งหมดมาลงน่ะค่ะ

ต้องกราบขอบพระคุณท่านคืนถิ่น ที่จุดประกายทำให้
หิ่งห้อยน้อยได้กุศลด้วยเจ้าค่ะ



เจริญในธรรม เจ้าค่ะ









ด้วยคอยตามคอยดูคอยรู้สึก
นั่งคิดนึกถึงสิ่งเคยพิสมัย
จึ่งเห็นตามว่ายึดติดกับสิ่งใด
จักกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดเรา ... คืนถิ่น

เพราะไปคอย ตามดู ตามรู้สึก
แล้วมานึก สิ่งที่ผ่าน นั่นคือเขลา
จิตพัวพัน อาลัย ให้นานเนา
เฝ้าย้อนเอา มั่นใน กามสัญญา

สิ่งใดกระทบ จบที่ จับแล้ววาง
ความอางขนาง ก็จะไม่ ใฝ่ถามหา
เพราะนำจิต ไปพัวพัน ในอัตตา
ไม่คืนมา สู่สาสนา ตามปัจจุบัน

การไตร่ตรอง มองทุกข์ อริยสัจจ์
ที่เห็นชัด แล้วคิดไป ให้โศกศัลย์
นำอริยสัจจ์ พันไตรลักษณ์ เป็นพัลวัน
ความสัจจ์นั้น คนละเงื่อน คนละกอง

ทุกข์อริยสัจ คือทุกข์ ที่แสบร้อน
ยากไถ่ถอน ทนไป ให้สนอง
ทุกข์ไตรลักษณ์ นั้นควร พินิจตรอง
ทุกขันธ์/กอง ตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวน


เจริญในธรรม เจ้าค่ะ








จริงๆตามคำพูดจะเหมือนว่าผม overacting หรือถ่อมตัวมากจนกลายเป็นถล่มตัว(อวมานะ) แต่ผมมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า ความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยในวันนี้ที่เราอาจมองว่าไม่น่ามีอะไรมักเป็นจุดเริ่มต้นของทางใหม่ที่เบี่ยงเบนออกนอกทางเดิมไปเป็นคนละทางไปเลยก็เลยคิดว่าข้อความแบบตรงๆที่มีการอ้างอิงดีกว่าข้อความที่ถูกประยุกต์มาน่ะครับเพราะการประยุกต์นั้นคำว่ายุคสมัยและความแปรผันยอกย้อนของภาษาจะเข้ามามีผล ไม่ใช่ อกาลิโกเลยน่ะครับ(แบบคำว่า "เกรียน" ในวันนี้น่ะครับ กลายเป็นคำพูดเชิงตำหนิไปเสียแล้ว)

อย่างไอติม(สมัยก่อนจะเป็นภาษาง่ายๆ ไทยๆ) ที่ผมเคยกิน วันนี้กลายเป็น "ไอครีมโบราณ"
ชาเย็นก็เป็น "ชาโบราณ" กาแฟเย็นก็กลายเป็น "กาแฟโบราณ" ทองม้วน กลายเป็น "ทองม้วนโบราณ" ไปซะแล้ว ผมไม่ได้มาจากยุค Jurassic(ไดโนเสาร์) ซักหน่อย (แต่ราคาของสิ่งเหล่านี้ไม่โบราณเลยครับ...ราคาปัจจุบัน)

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ผมต้องไปศึกษาทุกข์ในอริยสัจกับทุกข์ในไตรลักษณ์ให้ดีแล้วครับ(เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเป็นคนละความหมายแต่ไม่มีใครมาสะกิดเตือนเลยปนเปกันมั่วน่ะครับ)




ขอบคุณสำหรับธรรมะดีๆๆครับ
ขอนำไปเผยแพร่นะครับ




 เปิดอ่านหน้านี้  5587 

  แสดงความคิดเห็น



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย