ค้นหาในเว็บไซต์ :

บุญไม่ช่วย ๑ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย



บุญไม่ช่วย

พูดถึงเรื่องกรรม คนปัจจุบันมักไม่เชื่อว่าบุญนั้นมีจริงบาปนั้นมีจริง เนื่องจากการให้ผลของมันนั้นค่อนข้างช้า ไม่รวดเร็วทันใจตามความต้องการของคนยุคนี้ โดยเฉพาะกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลยิ่งไม่ต้องพูดถึง สู้บากบั่นทำแต่ความดีมาตลอด หลายปีดีดักก็ยังไม่เคยเห็นว่าความดีที่ทำจะย้อน กลับมาให้ผล เคยลำบากอยู่ยังไงก็ยังลำบากอยู่อย่างนั้น ทีกับคนก่อกรรมทำชั่วทำไมถึงได้รวยเอ๊ารวยเอา

ยิ่งใครทำชั่วได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น อย่างพวกนักโกงเมืองหรือข้าราชการที่คอร์รัปชั่นโกงกินเงินภาษีราษฎร มีให้เห็นดาษดื่น และก็พิสูจน์ได้ด้วย ว่าทำชั่วแล้วมันรวยทันตาจริงๆ!

ทรัพย์สมบัติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นรถยนต์คันโตหรือคฤหาสน์หลังงามราคาเป็นร้อยๆล้าน สิ่งเหล่านี้ล้วนจับได้สัมผัสได้ ไม่ใช่มัวแต่นั่งนึกเอาว่าทำความดีชาตินี้ แล้วชาติหน้าจะได้มีโน่นมีนี่ ก็มีมันซะชาตินี้ไม่ดีกว่ารึ? หรือยังมีพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่ยังหลงเชื่ออยู่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อีก ไม่มีแล้วสุภาษิตแบบนี้ เขาพูดเอาไว้หลอกเด็กเท่านั้น ยุคนี้มันมีแต่ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป นี่! มันต้องทุภาษิตแบบนี้ถึงจะเข้ากับยุคสมัยหน่อย

ถามจริงๆเถอะครับบ้านเราเมืองเราเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้แล้วหรือ? ผู้คนต่างพากันคิดแบบนี้แล้วหรือ? หากทุกคนคิดกันอย่างนี้แล้วสังคมมันจะอยู่ยังไง? ความสงบสุข ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนความถูกต้องยุติธรรม มันจะยังมีอยู่หรือ? สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ทราบว่าคนยุคนี้เขาคิดกันบ้างหรือเปล่า? ทำไมถึงคิดแต่ว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยังหลงทำความดี อะไรหรือที่เป็นสาเหตุ?

เหตุที่คนยุคนี้คิดเยี่ยงนี้ก็เพราะเขาไม่รู้หรือไม่เข้าใจเรื่องการให้ผลของกรรมนั่นเอง! เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าสติปัญญาของคนทั่วไปจะเข้าใจได้ สมเด็จพระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวไว้ การให้ผลของกรรมนั้นเป็นเรื่อง อจินไตย คือเรื่องที่บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด เพราะหากคิดอาจจะทำให้เกิดสติวิปลาสขึ้นมาก็เป็นได้ เนื่องจากมันไม่อาจเอาเหตุเอาผลตามความรู้สึกของเราๆท่านๆเข้าไปตัดสินได้

ดังนั้นการที่คนยุคนี้เห็นว่าทำชั่วแล้วได้ดี ทำให้ตนมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็เพราะเขาอ้างอิงจากสิ่งที่เขาเห็น แล้วก็ตัดสินไปตามความคิดตน โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องกรรมแม้แต่น้อย ซึ่งหากใครมีความเห็นดังนี้ต้องถือว่าเป็นผู้เห็นผิดอย่างมหันต์!

ผมขอถามการที่นักการเมืองโกงชาติแล้วร่ำรวยล้นฟ้า สาเหตุเป็นเพราะเขาโกงชาติจึงร่ำรวย? หรือเป็นเพราะบุญเก่าที่เขาทำไว้ตั้งแต่ชาติปางไหนก็ไม่ทราบย้อนมาให้ผล จึงทำให้เขาร่ำรวยได้อยู่บ้านหลังใหญ่ได้ขับรถคันโต ส่วนบาปหรืออกุศลที่ทำในชาตินี้กรรมชนิดนี้ยังไม่แสดงผล ดังนั้นเขาจึงสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมได้ทั้งที่เบื้องหลังนั้นแสนจะเน่าเฟะ! อย่างไหนมันน่าจักเป็นเหตุแลผลตามหลักศาสนาพุทธเรา?

ยังไม่ต้องรีบตอบก็ได้ ลองมาฟังเรื่องเล่าสักเรื่องก่อน เผื่อจะเกิดความคิดอะไรดีๆขึ้นมา เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน แต่จะอยู่ที่เมืองอะไร? หรือราชวงศ์ไหน? ผู้เขียนก็จำไม่ได้แล้ว บังเอิญโชคดีได้ฟังเทศน์ของท่านอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขา ทลามลตาราม ตำบลแพด อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร ถึงได้เข้าใจ เรื่องมีอยู่ว่า......

สมัยหนึ่งที่ประเทศจีน ยังมีคหบดีอยู่ครอบครัวหนึ่งมีเพียงสามีและภรรยา ผัวเมียคู่นี้ต่างรักใคร่กันมาก หนักนิดเบาหน่อยก็คอยอภัยให้กัน สามีเป็นคนใจดีจิตเมตตา ชอบบริจาคทานอยู่เป็นประจำ เนื่องจากเขาเชื่อว่าบุญนั้นมีจริง บาปนั้นมีจริง ผู้ใดทำกรรมเยี่ยงไรไว้ ต้องได้รับผลกรรมนั้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ส่วนภรรยากลับไม่ค่อยศรัทธาในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากนางไม่เคยเห็นสักครั้งว่าบุญที่สามีทำนั้น จะย้อนกลับมาให้ผล ทำให้นางร่ำรวยหรือมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่เพราะความที่รักสามี แม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็มิได้ห้ามปราม ดังนั้นทั้งคู่จึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา

วันหนึ่งชนวนของเหตุการณ์ทั้งมวลก็ได้ถูกจุดขึ้น ผู้นำตำบลที่ครอบครัวเขาทั้งสองตั้งบ้านเรือนอยู่ ได้เกิดมีความคิดจักสร้างสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ต่อชุมชนขึ้นมา จึงเปิดขอรับการบริจาคจากประชาชน เนื่องจากโครงการนี้จักสำเร็จได้จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาล และก็ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน ชายใจบุญหลังจากอยู่บ้านมาหลายวันเขาก็เกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา อยากจักออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง ดังนั้นจึงออกจากบ้านไปตลาด

ขณะที่เดินอย่างสบายใจเขาก็ได้ยินเสียงคนพูดว่าท่านผู้นำตำบลกำลังจักสร้างสิ่งอันประโยชน์ต่อชุมชน แหละกำลังต้องการความช่วยเหลือจากประชาชนเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นในเรื่องข้าวของเงินทอง วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนแรงงานแบกหาม เพื่อจะนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์นี้ให้สำเร็จลุล่วง

ชายใจบุญพอได้ยินก็ให้ดีใจเป็นล้นพ้น รีบย้อนกลับไปบ้านทันที คิดจักไปเอาทรัพย์มาร่วมบริจาคกับเขาด้วย พอถึงก็ตรงไปยังห้องนอน ลากเอาหีบสมบัติที่อยู่ใต้เตียงออกมา จากนั้นก็หยิบเอาทองคำก้อนจำนวนหนึ่งห่อใส่ผ้ามัดขึ้นสะพายบ่า แล้วก็ก็ไม่รอช้า รีบออจากบ้านกลับไปยังตลาดอีกครั้ง เนื่องจากบ้านผู้นำตำบลนั้นตั้งอยู่ติดกับตลาดนั่นเอง

ด้านผู้นำตำบลซึ่งนั่งรอรับการบริจาคอยู่ที่บ้าน พอเห็นชายใจบุญเดินมา มิหนำซ้ำบนบ่ายังมีห่อผ้าสะพายมาด้วย ก็เดาได้ว่าเขามาหาตนด้วยเรื่องใด จึงกุลีกุจอออกไปต้อนรับทันที รีบเชิญเขาเข้าข้างใน จัดน้ำชามาบริการ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพอเป็นพิธี จากนั้นจึงวกเข้าเรื่องถามถึงสาเหตุที่มาว่ามีด้วยเรื่องใด หรือต้องการจะให้ตนรับใช้สิ่งใดก็บอกมาได้เลย ตนพร้อมที่จะดำเนินการให้

ชายใจบุญพอฟังจึงตอบว่าที่เขามาวันนี้ก็เพราะทราบว่าท่านผู้นำกำลังจะสร้างสิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อชุมชน แหละกำลังต้องการขอรับบริจาคจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ตัวเขานั้นมิได้มีความรู้ความสามารถใด แต่อยากจักขอมีส่วนในโครงการนี้ด้วย ดังนั้นจึงตั้งใจนำทรัพย์มามอบให้ไว้เป็นทุน หวังว่าท่านผู้นำคงไม่รังเกียจในทรัพย์เขา พูดจบเขาก็หยิบห่อผ้าขึ้นมาเผยให้เห็นถึงสิ่งของข้างใน ซึ่งล้วนแต่เป็นทองคำก้อนเหลืองอร่ามสะดุดตาสะดุดใจเสียยิ่งนัก

ท่านผู้นำพอเห็นรัศมีของมันก็ถึงกับตาลายจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าชายใจบุญจะใจป้ำบริจาคให้มากเพียงนี้ จึงละล่ำละลักขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งพรวดออกจากห้องไปโดยไม่บอกไม่กล่าว

ชายใจบุญพอเห็นเขาตาลีตาลานออกไปก็ทราบแล้วว่าเขาคิดจักทำสิ่งใด จึงอ้าปากหมายจักห้ามปรามไว้ แต่ยังมิทันได้เอ่ย ก็ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของคนในตลาดดังกระหึ่มเสียแล้ว ดังนั้นจำต้องปล่อยเลยตามเลยไป

สาเหตุที่ทำให้ผู้คนในตลาดพากันไชโยโห่ร้องนั้น ก็เพราะผู้นำตำบลไม่อาจหักห้ามความดีใจเอาไว้ได้ รีบนำข่าวดีที่ชายใจบุญบริจาคทรัพย์ก้อนใหญ่ให้นั้น ไปบอกให้กับผู้คนที่อยู่ในตลาดแถวนั้นได้รับทราบ พอพวกเขารู้ก็อดที่จักรู้สึกดีใจตามไปด้วยไม่ได้ จึงเปล่งเสียงไชโยโห่ร้อง

ข่าวการบริจาคทรัพย์ก้อนใหญ่ของชายใจบุญได้แพร่ออกไปรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ยังมิทันที่เขาจะกลับถึงบ้านภรรยาของเขาก็ทราบเรื่องแล้ว ดังนั้นพอเขาถึงบ้านนางจึงปรี่เข้าไปต่อว่าทันที เนื่องจากปัจจุบันทรัพย์ที่เหลือก็มิได้มีมากเหมือนก่อนแล้ว แทนที่จักเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นไยจึงเอาไปบริจาคอีก? ทำไมจึงไม่คิดถึงอนาคตบ้างว่าจะอยู่จะกินกันยังไง?

ฝ่ายสามีพอถูกต่อว่าคราใดเขาก็มักจักยกเอาเรื่องบุญขึ้นมาอ้าง ว่าบุญที่ทำนั้นไม่มีวันสูญหายหรอก สักวันจักต้องย้อนมาให้ผล! แต่ภรรยาแค่เห็นเขาอ้าปากก็คร้านจะฟังแล้ว รีบเดินไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่ม้าหินหน้าบ้านทันที แต่ว่าครั้งนี้ก่อนออกไปนางได้ยื่นคำขาดกับเขา หากเขายังขืนนำทรัพย์ที่เหลือไปบริจาคอีกล่ะก็ ครั้งหน้านางจะไม่อยู่กับเขา จะหนีไปอยู่ที่อื่น และจะไม่กลับมาหาเขาอีกเลย คอยดูเถอะ! ชายใจบุญพอฟังก็มิได้ต่อความยาวสาวความยืดอันใด ได้แต่นิ่งเฉยเพื่อเป็นการตัดความรำคาญ

จำเนียรกาลผ่านไป การสร้างสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ก็ได้คืบหน้าไปอย่างมาก จนแทบจักกล่าวได้จวนจะเสร็จอยู่แล้วก็ว่าได้ แต่ระยะหลังมิทราบเป็นเพราะเหตุใด บรรดาผู้เคยบริจาคอยู่ๆก็พากันเงียบไป ไม่มีเข้ามาเหมือนเมื่อครั้งแรกเริ่มโครงการ ทำให้กองทุนสำหรับการนี้ชักจะร่อยหรอลงไปทุกที หากยังเป็นอย่างนี้ เห็นทีการก่อสร้างอาจต้องชะงักงันก็เป็นได้!

ผู้นำตำบลเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีก็ให้รู้สึกกังวล เกรงว่าโครงการจะไปไม่รอด จึงนำเรื่องไปหารือกับชายใจบุญ หวังจักขอพึ่งเขาในเรื่องของทุนทรัพย์อีกสักครั้ง
ชายใจบุญพอเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของท่านผู้นำเขาก็รู้สึกสงสารเป็นอย่างยิ่ง อยากจะช่วยท่านผู้นำให้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานนี้เหลือเกิน แต่ทันใดคำพูดของภรรยาก็ได้กังวานขึ้นในโสตประสาทเขา “ หากท่านพี่ยังขืนนำทรัพย์ที่เหลือไปบริจาคอีก น้องจะไม่อยู่กับพี่ จะหนีไปอยู่ที่อื่น และจะไม่กลับมาหาท่านพี่อีกเลย คอยดูเถอะ! ” แต่ครั้นพอเหลือบมาเห็นแววตาอันละห้อยของท่านผู้นำเขาก็ยากจักปฏิเสธได้อีกเช่นกัน จึงคิดวนไปเวียนมาอยู่พักใหญ่

ในที่สุดจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าเป็นไงเป็นกัน เดินเข้าห้องไปแบกเอาหีบสมบัติออกมา จากนั้นก็หยิบเอาทองคำก้อนทั้งหมดห่อใส่ผ้าส่งให้ท่านผู้นำไป!

ฝ่ายผู้นำตำบลจู่ๆได้ทรัพย์ก้อนใหญ่มาอย่างไม่คาดฝันก็ให้แสนลิงโลดดีใจ รีบอำลาผู้เป็นเจ้าบ้าน กลับบ้านตนไปทันใด คิดจักนำข่าวดีนี้ไปบอกให้กับผู้คนทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกัน พอเจอใครที่สวนมาเขาก็ปรี่เข้าไปเล่าเรื่องที่ชายใจบุญบริจาคทรัพย์ทั้งหมดให้ทันที จนข่าวการบริจาคทรัพย์ก้อนใหญ่ของชายใจบุญ ได้ลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งตำบล!

ด้านภรรยาชายใจบุญขณะที่ผู้นำตำบลมาขอรับการบริจาคนั้น บังเอิญว่านางไม่ได้อยู่บ้าน เนื่องจากเพื่อนที่อยู่อีกตำบลหนึ่งมีงานมงคล ดังนั้นนางจึงขออนุญาตสามีไปช่วยงานเพื่อน และก็ถือโอกาสค้างที่บ้านเพื่อนเสียสองคืน

หลังเสร็จงานระหว่างเดินทางกลับ ข่าวที่สามีนำทรัพย์ไปบริจาค ก็แว่วเข้ามาให้นางได้ยินอยู่เป็นระยะๆ ยังผลให้นางถึงกับโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง เฝ้าแต่คิดว่าไฉนเขาจึงไม่เห็นความสำคัญของคำพูดนาง กลับเห็นว่าการบริจาคทานนั้นสำคัญเหนือสิ่งใด ส่วนครอบครัวจักอดจักอยากหรือไม่เคยคำนึงถึง แล้วอย่างนี้ยังจะอยู่ด้วยได้อย่างไร? ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ดังนั้นพอถึงบ้านยังมิทันจะนั่งพักเหนื่อยนางก็ปรี่เข้าไปหาเขาทันที

ฝ่ายชายใจบุญหลังไม่เจอภรรยามาสองสามวันก็ให้คิดถึง พอเห็นหน้านางก็ดีใจ กำลังจะเอ่ยปากทักทาย ทว่ายังมิทันอ้าปากกลับถูกนางต่อว่าต่อขานเอาฉอดๆ ดังนั้นจึงเกิดน้อยใจ ไม่ยอมพูดจาใดๆกับนาง ไม่แม้แต่จะอธิบายเหมือนที่เคยทำ ซึ่งการที่เขานิ่งเฉยอย่างนี้หารู้ไม่ว่ามันยิ่งทำให้ภรรยาของเขาโกรธเคืองมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นนางจึงร้องไห้เดินเข้าห้อง หยิบเอาเสื้อผ้าแลของใช้ที่จำเป็นมากองรวมกันเตรียมจะมัดใส่ห่อ เพื่อไปจากบ้านนี้ตามที่เคยลั่นวาจาไว้

ระหว่างที่จัดข้าวของสายตาก็มักชำเรืองไปทางประตูอยู่บ่อยครั้ง หวังจะเห็นหน้าสามีโผล่เข้ามาง้องอน แต่จนแล้วจนรอดก็หาได้มีแม้เงา ดังนั้นด้วยความน้อยใจอย่างยิ่ง นางจึงตัดสินใจออกไปจากบ้านทันที!

ด้านชายใจบุญพอเห็นภรรยาหอบข้าวหอบของออกไปก็คิดว่านางคงจะไปค้างบ้านเพื่อนสักคืนสองคืน หายโกรธเมื่อไหร่เดี๋ยวก็กลับมาเอง จึงมิได้ออกปากเหนี่ยวรั้ง

แต่ว่าสัปดาห์ผ่านไปก็แล้ว สองสัปดาห์ผ่านไปก็แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่านางจะหวนคืนมา จนล่วงไปหนึ่งเดือนเขาถึงยอมรับว่านางคงไม่กลับมาแล้ว แต่นี้ไปเขาคงต้องอยู่ตัวคนเดียวแล้ว ข้าวปลาอาหารจากมีภรรยาคอยจัดคอยเตรียม พอถึงเวลาก็เรียกให้ไปรับประทาน นับแต่นี้เขาคงต้องทำกินเองแล้ว

อีกทั้งผ้านุ่งผ้าห่มตลอดจนที่นอนหมอนมุ้ง ก่อนมีภรรยาคอยซักคอยตาก เห็นทีต่อแต่นี้เขาคงต้องลงมือทำเองแล้ว แต่ถึงความเป็นอยู่จะยุ่งยากเพียงใดหากทว่าจิตใจของชายใจบุญยังมุ่งมั่นในการบริจาคทานอยู่เหมือนเดิม และยังเชื่อว่าบุญที่ทำไป สักวันจะต้องย้อนกลับมาให้ผลแน่นอน!

กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จะหาสิ่งใดจีรังยั้งยืนไม่มี หลังจากชายใจบุญบริจาคทรัพย์ไปจนหมด สภาพเป็นอยู่ของเขาก็ค่อยๆอัตคัดขัดสนขึ้นทุกวัน ชีวิตจากเคยมีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ตอนนี้เขามิอาจที่จักกระทำได้เหมือนก่อน แต่คนเราเกิดมามันต้องกินต้องใช้นี่! ฉะนั้นเมื่อไม่รู้จักไปหาเงินได้จากไหนเพราะไม่มีความรู้จักไปประกอบอาชีพเหมือนเขา จึงจำเป็นนั่นเองที่จักต้องเอาสมบัติชิ้นสุดท้ายคือบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ไปจำนองกับเศรษฐี เพื่อแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน แหละที่สำคัญเพื่อจักได้มีเงินไว้สำหรับบริจาคนั่นเอง!

แต่เขาอาจลืมคิดไปว่าตนนั้นไม่มีอาชีพการงาน เมื่อกู้มามากๆแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปใช้คืน? ในที่สุดเมื่อได้แต่ยืมถ่ายเดียว แต่ไม่เคยคืนต้นคืนดอก พอต้นและดอกรวมกันเท่ากับมูลค่าบ้านเจ้าหนี้จึงยึดเอาบ้านไป เมื่อไร้ซึ่งบ้านอันเป็นแหล่งทำมาหากิน จากคหบดีผู้มั่งมีศรีสุข เขาก็จำต้องกลายมาเป็นวณิพกพเนจร เที่ยวเร่ร่อนขอทานผู้คนภายในพริบตา!

แต่ถึงฐานะจะเปลี่ยนเช่นไรหากทว่าจิตใจของชายใจบุญกลับหาได้เปลี่ยนตามไปด้วยไม่ ถึงจะเป็นขอทานยากจนแต่เขาก็จนเพียงกายเท่านั้น ส่วนจิตใจยังคงความร่ำรวยเมตตาเหมือนเดิม

ทุกครั้งที่เขาเห็นเพื่อนวณิพกคนใดอดอยากหิวโหย หากเขายังมีอาหารเหลืออยู่ เขาจะไม่ลังเลที่จะยกเอาอาหารทั้งหมดที่ตนมีนั้น ให้กับเพื่อนผู้ยากไร้ทันที โดยไม่คำนึงถึงว่ามื้อต่อไปตนจะมีกินหรือไม่? หรือจักต้องอดอยากเพียงใด?

การที่เขามีใจเสียสละอย่างยิ่งใหญ่นี้เอง กิตติศัพท์ความใจดีของเขาจึงถูกโจษขานกันไปทั่วหมู่วณิพกตลอดจนชาวบ้านชาวเมือง จนผู้คนทั้งหลายต่างขนานนามให้เขาว่า ขอทานผู้ใจบุญ

ย้อนมาด้านภรรยาบ้าง หลังจากนางหอบข้าวหอบของออกจากบ้านสามี นางก็ไปขออาศัยอยู่กับญาติซึ่งมีฐานะร่ำรวยอยู่ที่ยังอีกเมืองหนึ่ง ระหว่างอยู่บ้านเขาเนื่องจากไม่มีหน้าที่ใดนางจึงอาสาเขาทำหน้าที่คล้ายกับเป็นแม่บ้านกลายๆให้เขา คอยตรวจตราดูแลบ่าวไพร่แทนผู้เป็นญาติ นานๆทีเขาก็แบ่งทรัพย์ให้เป็นการตอบแทน ถือว่ามีชีวิตที่สุขสบายพอควร

ยามเย็นหลังจากไม่มีสิ่งใดทำนางมักชอบหลบไปนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ห่างจากตัวหมู่บ้านออกไป เหม่อมองทิวไม้ลิบๆ มีฟ้าสีแดงของดวงตะวันใกล้จะตกดินเป็นฉากหลัง ปล่อยจิตปล่อยใจให้ล่องลอยออกไปอย่างไร้จุดหมาย

ทุกครั้งที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศอย่างนี้นางมักจักอดคิดถึงสามีไม่ได้ หากเขาและนางยังอยู่ด้วยกันเวลานี้ก็คงจักนั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินหน้าบ้าน มองดูลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก่อนจักลับขอบฟ้าอย่างมีความสุข ไม่รู้ตอนนี้เขาจักคิดถึงนางบ้างหรือเปล่าหนอ? อีกทั้งข้าวปลาอาหารตลอดจนที่หลับที่นอนใครเล่าจะเป็นคนจัดคนปู จะมีใครทำได้เท่าเมียมั้ยหนอ? พอนึกขึ้นมาทีไรนางก็อดที่จักหลั่งน้ำตาไม่ได้

จนทั่งวันหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นด้วยเหตุใด อยู่ๆนางก็รู้สึกคิดถึงสามีขึ้นมาจับจิตจับใจ นางรู้สึกว่าหัวใจของนางมันโศกๆเศร้าๆอย่างไรพิกล คอยแต่กระหวัดนึกถึงแต่หน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวนางจึงเข้าไปหาผู้เป็นญาติ ขออนุญาตเขาลากลับไปเยี่ยมสามี

เจ้าบ้านซึ่งปรารถนาจักให้สองผัวเมียคืนดีกัน พอทราบจึงไม่ขัดข้องแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังเมตตาสั่งสอนถึงหลักการใช้ชีวิตคู่แก่นางด้วยว่า

“ ดูก่อนน้องหญิง การเป็นสามีภรรยากัน หนักนิดเบาหน่อยต้องอภัยให้กัน มนุษย์เราต่างมีความคิดเป็นของตน การจะไปบังคับใครให้เป็นดั่งใจเรานั้นเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้เขาจะแสดงว่าเชื่อฟังเรา แต่ในใจนั้นอาจไม่ยินยอมก็เป็นได้ แหละการกระทำใดที่ผู้กระทำไม่ยินยอม การกระทำนั้นยังจักทำให้เรามีความสุขหรือ? เมื่อตัดสินใจเลือกใครเป็นคู่แล้ว เราก็ควรยอมรับในความเป็นตัวของเขา หากใครทำได้เช่นนี้ รับรองชีวิตคู่จะต้องราบรื่นอยู่กันอย่างมีความสุขแน่! ” หลังฟังคำแนะนำจากญาตินางก็รู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่ง รุ่งขึ้นจึงอำลาเขารีบออกเดินทางแต่เช้าทันที

ฝ่ายขอทานใจบุญหลังจากไร้ซึ่งบ้านช่องที่อาศัย เขาก็เร่ร่อนขอทานไปเรื่อย ค่ำไหนก็นอนนั่น ใช้ชีวิตไปตามที่มีที่เป็น วันหนึ่งเขามาเจอเข้ากับศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ติดกับชายป่าใหญ่ มีบรรยากาศร่มรื่นสงบเงียบ พอเห็นเข้าก็ให้รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง จึงลงมือเก็บกวาดทำความสะอาด จากนั้นก็ยึดเป็นที่พักกายเรื่อยมา

ทุกเช้าเขาจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นออกไปขอทานตามที่ต่างๆ ตกเย็นก็จะกลับมาพักอยู่ที่ศาลเจ้าร้างนี้ จนเป็นที่รู้กันว่าศาลเจ้าร้างแห่งนี้ ก็คือที่พำนักของขอทานใจบุญนั่นเอง! แต่สองสามวันนี้มิทราบเป็นเพราะเหตุใด ไม่ว่าเขาจะไปขอทานที่ไหนก็หาได้มีใครจักออกมาให้ทานเหมือนเคย สามวันมาแล้วที่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

และยิ่งช่วงนี้ก็ย่างเข้าสู่ฤดูฝน การเที่ยวไปขอทานตามที่ต่างๆมันก็ให้แสนลำบากลำบนเสียนี่กระไร วันนี้กว่าจะกลับถึงศาลเจ้าได้เขาก็ต้องเปียกโชกไปทั้งตัว ซ้ำร้ายกว่านั้นขอทานมาทั้งวันอาหารแม้เพียงสักกอบสักกำก็ยังไม่มีผู้ใดจักมีกะจิตกะใจให้ทาน วันนี้จำเป็นต้องกินน้ำฝนแทนข้าวเหมือนเดิม ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้คงจักโชคดีมีคนใจดีมีเมตตาออกมาให้ทานข้าวปลาอาหารกับเขาบ้าง ไม่ต้องมากหรอก เพียงแค่ให้ได้มีแรงนิดหน่อยก็พอแล้ว

หลังจากนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเขาก็ล้มตัวลงนอนทั้งที่ท้องยังลั่นโครกคราก ก่อนหลับไปเขารู้สึกร่างกายของตนนั้นมิใคร่จักสู้ดี มันคล้ายจะร้อนจะหนาวชอบกล แต่เพราะความที่เหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดจึงผล็อยหลับไป จนล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่!

หลังจากที่ฝนตกหนักเมื่อวาน เช้านี้ท้องฟ้าจึงดูสดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ พระอาทิตย์เริ่มแผดแสงตั้งแต่ยังไม่ทันจะสางดี ปกติขอทานใจบุญจักตื่นก่อนตะวันขึ้นรีบเข้าตลาดไปให้ทันกับพวกพ่อค้าแม่ขาย ตลอดจนแม่บ้านแม่เรือนออกมาจับจ่ายซื้อของ แต่เช้านี้มิทราบเป็นเพราะเหตุใด ไฉนสายจนป่านนี้แล้วเขาจึงยังไม่ออกมาอีก?

พุทโธ่! จะให้ออกมาได้ยังไง? ก็ในเมื่อฝนเมื่อวานบวกกับร่างกายที่อ่อนเพลียเพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันมันทำให้เขาจับไข้แล้วน่ะซิ อย่าว่าจะออกไปขอทานเลย แม้แต่จะลุกขึ้นนั่งเขาก็ยังไม่มีแรงพอเลย เห็นทีความหวังว่าจะได้กินอาหารวันนี้คงต้องเลื่อนไปก่อน!

เขานอนซมเพราะพิษไข้ติดกันมาเป็นสองวันแล้ว ข้าวปลาอาหารหากนับสองวันนี้ด้วยก็เป็นเวลาถึงห้าวันแล้วที่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย อาการของเขาตอนนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว หากเย็นนี้ยังไม่มีอะไรมาดำรงสังขารอีก เห็นทีพรุ่งนี้ก็คงไม่ต้องกินอะไรแล้ว!

แหละมันช่างเหมือนกับนรกสั่งสวรรค์แกล้งกันเสียจริงๆ! คืนนี้ทั้งที่เป็นคืนข้างแรมแต่ฟ้ากลับมองไม่เห็นดาวสักดวง เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่พลบค่ำจนมืดฟ้ามัวดิน ราวกับจักกลืนกินโลกไว้เสียทั้งหมด บรรยากาศรอบข้างก็แสนอึดอัด ลมค่ำที่พัดประจำอยู่ๆก็หยุดไปเสียยังงั้น สายวิชชุแลบแปลบปลาบชอนไชไปทั่วนภากาศ ชวนให้วิตกว่าเสียงดังลั่นของมันจะผ่าเปรี้ยง! ตามมาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

เสียงซู่ของลมเริ่มครางมาเบาๆ เพียงชั่วขณะก็ทวีขึ้นจนน่าตกใจ ไม้ใหญ่รอบศาลเจ้าต่างเอนกิ่งลู่ใบสะบัดไหวอย่างรุนแรง พยายามจะต้านแรงลมเอาไว้ให้ได้ แต่ไม่ทราบจะต้านได้นานสักเท่าไหร่ เสียงเม็ดฝนเริ่มหล่นกระทบหลังคาดังเปาะแปะๆ แต่ชั่วเวลาแค่หายใจเข้ายังมิทันออกก็ดังถี่ยิบเสียจนกลบเสียงลมไปสิ้น บัดนี้ฝนได้ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว! ขณะที่ฝนกำลังตกอย่างหนัก ปรากฏพลังชีวิตของขอทานใจบุญกลับค่อยๆลดน้อยถอยลงไปทุกทีๆ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ ในที่สุดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาก็หมดไปจากร่างกาย

แหละทันทีที่เขาหยุดหายใจ เวลานั้นก็เกิดเสียงเปรี้ยงดังสนั่นหวั่นไหว ผ่าลงบนหลังคาศาลเจ้าทันทีทันใดเช่นกัน ยังผลให้กระเบื้องหลังคาถึงกับแตกเป็นช่องโหว่ใหญ่ ไม่เพียงแค่นั้น สายฟ้านี้ยังผ่าลามลงไปถึงร่างอันไร้วิญญาณของขอทานใจบุญด้วยต่างหาก ทำให้ตั้งแต่คอจนถึงช่องท้องของเขาถูกผ่าแบะอ้าออกมาจนเห็นตับไตไส้พุงไหลทะลัก

พอสิ้นเสียงฟ้า ฝนที่ตกอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตา จู่ๆก็หยุดไปเสียยังงั้น ท้องฟ้าจากที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้ว ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นแจ่มใสแวววาว ราวกับไม่เคยเกิดมีพายุใหญ่ขึ้นมาก่อน!

หลังพายุสงบสภาพรอบข้างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรีดหริ่งเรไรจากหยุดเสียงไปก็เริ่มขับขานอีกครั้ง ลมค่ำที่อั้นไปตอนเกิดพายุ บัดนี้ก็เริ่มโชยมาเบาๆ บรรยกาศรอบศาลเจ้าร้างเวลานี้มันช่างสุขขีเสียนี่กระไร จนล่วงประมาณสองยามที่หน้าประตูศาลเจ้าจู่ๆก็เกิดมีเพื่อนยามวิกาลขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ทำท่าจดๆจ้องๆ เหมือนว่าอยากจักเข้าไปข้างในแต่ไม่รู้จักเข้าได้ยังไง? ได้แต่เดินวนไปเวียนมาอยู่พักใหญ่แล้ว

สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อนก็เลยใช้หัวขนาดกระบุงดันประตูมันซะเลย! หวังจะเปิดเข้าไปดูว่าข้างในมันมีอะไรรึ ไฉนถึงได้หอมหวนยั่วใจเสียเหลือเกิน? เพื่อนที่ไม่ได้เชิญนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มันก็คือเสือโคร่งใหญ่วัยฉกรรจ์ตัวหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของป่าติดกับศาลเจ้าร้างนั่นเอง แต่ที่ผ่านมามันไม่เคยออกมาหากินไกลถึงเพียงนี้? ไฉนคืนนี้ถึงได้อาจหาญกล้ามาเพ่นพ่านถึงที่นี่ได้?

หลังพยายามใช้หัวดันอยู่พักใหญ่แต่ไม่ประสบผล มันจึงเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่โดยเดินอ้อมไปดูที่ยังด้านหลังบ้าง เผื่อจะมีช่องทางใดให้เข้าได้ และแล้วโชคก็เข้าข้าง หน้าต่างบานหนึ่งหลังถูกฟ้าผ่าได้แตกเป็นช่องโหว่ใหญ่พอที่หัวของมันจะมุดเข้าไปได้ ดังนั้นมันจึงไม่รอช้า ค่อยๆย่อ
ขาหลัง แล้วก็กระโจนพรึบผ่านรอยแตกเข้าไปราวกับนักกายกรรมฝีมือเลิศยังไงยังงั้น

พอเข้ามาได้มันก็สอดส่ายสายตาทันทีว่าอะไรหนอที่ส่งกลิ่นอยู่เวลานี้? แหละแล้วก็สะดุดเข้ากับซากสังขารของขอทานใจบุญที่นอนแบะอ้าอยู่ พอเห็นเข้ามันก็แทบจะกลั้นความลิงโลดเอาไว้ไม่ได้ ค่อยๆย่องเข้าไปทันที พอถึงก็หยุดเหลือบซ้ายแลขวาดูหน่อยว่ามีศัตรูหรือเปล่า? พอเห็นว่าปลอดภัยก็อ้าปากขย้ำลงไปบนแขนของร่างที่ไร้วิญญาณทันที จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา ก่อนจะสะบัดเอาร่างขอทานใจบุญที่นอนอยู่บนพื้นให้กระดอนขึ้นมาพาดอยู่บนหลังของตนได้อย่างเป็นที่อัศจรรย์!

พออาหารชิ้นใหญ่อยู่บนหลังเรียบร้อยแล้วจะช้าอยู่ไยเล่า? หันหลังได้เพื่อนก็กระโจนออกไปที่ทางช่องแตกของหน้าต่างทันที แหละพอออกมาได้ก็ไม่ต้องฟังอีร้าค่าอีรมกันแล้ว ตะกุยสี่ขาได้เพื่อนก็โกยแนบเข้าป่าหายลับไปในพริบตา

ทีแรกมันคิดจะเข้าไปให้ลึกสักหน่อยแล้วค่อยจัดการกับเจ้าอาหารชิ้นเลิศนี้ แต่พอกลิ่นของน้ำเลือดน้ำหนองที่อยู่บนหลังชอนไชเข้าในจมูก มันก็ล้มเลิกความคิด รีบสะบัดก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ลงพื้นพร้อมกับพุ่งเข้าไปฉีกฟัดกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยเมามัน จนเหลือแต่ศีรษะจึงยอมจากไปอย่างสบายอารมณ์!

อะไรกัน! นี่มันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ทำไมสวรรค์ถึงได้ลงโทษคนดีๆอย่างขอทานผู้ใจบุญได้ถึงเพียงนี้ แค่อดอาหารตายนี่ก็ว่ามากเกินพอแล้ว ไฉนจึงยังให้ถูกฟ้าผ่าตาย ไม่พอแค่นั้น แถมยังให้เสือมากัดกินซากศพจนเหลือแต่หัวอีก อะไรมันจะกระหน่ำซ้ำเติมกันถึงเพียงนี้!

ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย ใช่สวรรค์จะแกล้งคนดีๆให้มีจุดจบที่น่าอนาถอย่างนี้เสียเมื่อไหร่ จริงๆแล้วท่านเมตตาต่างหากถึงได้ทำกับเขาเช่นนี้ อ้าว! ทำไมถึงเป็นอย่างงั้นล่ะ?

ก็เพราะบาปที่ขอทานใจบุญได้เคยทำไว้ตั้งแต่ชาติปางไหนก็ไม่ทราบ มันกำลังจะตามมาให้ผลกับเขาน่ะซิ! และไม่เพียงแต่เฉพาะชาตินี้ มันยังตามไปถึงชาติหน้าและก็ชาติโน้นด้วย! โดยชาตินี้เขาจะต้องอดอาหารตาย ชาติหน้าเขาจะต้องถูกฟ้าผ่าตาย และชาติโน้นเขาจะต้องถูกเสือกัดตาย หากปล่อยแบบนี้ก็ต้องรอถึงสามชาติกว่าบุญในชาติปัจจุบันที่เขาทำไว้จะแสดงผลให้เป็นที่ปักษ์

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่รู้แลทราบการกระทำของขอทานผู้บุญในชาตินี้ ก็อาจจักเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมาก็เป็นได้ คิดว่าทำความดีไปทำไม? ทำแล้วก็ไม่เห็นจักเกิดผลดีอันใด มีแต่จะสิ้นทรัพย์ไปเปล่าๆ ซ้ำดีไม่ดียังอาจทำให้ตัวเองต้องตกระกำลำบาก ดูอย่างขอทานใจบุญซิ แต่ก่อนก็เป็นผู้มั่งมีอยู่หรอก แต่เพราะงมงายอยู่กับบุญนำทรัพย์ไปบริจาคจนหมด สุดท้ายจึงต้องกลายเป็นขอทาน ไร้บ้านช่องจักอาศัย แถมเวลาตายยังตายในสภาพที่แสนอเนจอนาถอีก!

คิดดูเถิด หากผู้คนพากันคิดกันอย่างนี้ แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์เราหรือ? ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เทพยดาที่สถิตอยู่ ณ ศาลเจ้าร้างจึงบันดาลให้ขอทานใจบุญรับผลกรรมเสียเลยคราวเดียวในชาตินี้ เพื่อที่ว่าชาติหน้าเขาจักได้เสวยผลบุญทันที ไม่ต้องรอไปอีกสามชาติเหมือนอย่างที่ควรเป็น!

ย้อนกลับมาด้านภรรยา วันที่นางออกจากบ้านญาติก็เป็นวันเดียวกับที่ขอทานใจบุญเริ่มล้มป่วย ด้วยความคิดถึงสามี นางได้เร่งเดินทางมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย จนสายๆของวันที่สามจึงมาถึงตลาดประจำตำบล เมื่อมาถึงนางก็มิได้มีกะจิตกะใจจะหยุดชมสินค้าแต่อย่างใด รีบตรงไปยังบ้านที่นางแลสามีเคยอยู่ด้วยกันทันที

พอใกล้จนมองเห็นกำแพงรั้วรำไร จู่ๆนางก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นที่ขอบตาเสียยังงั้น เจียนว่าแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ภาพความหลังครั้งอยู่กินกับสามีผุดขึ้นเป็นฉากเกินกว่าที่นางจักห้ามใจได้ นางพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกพร้อมกับรีบสาวเท้าเข้าไป พอถึงก็ยกมือผลักประตู ขณะจะผลักสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อสกุลที่ติดอยู่ส่วนบนของบานประตู มันหาใช่แซ่ของสามีนางไม่ จึงอดแปลกใจไม่ได้ ดังนั้นจึงรีบผลักประตูเข้าไปทันใด

พอเข้าไปข้างในนางก็ยิ่งต้องประหลาดใจมากเข้าไปใหญ่ เนื่องจากสภาพภายในนั้นเปลี่ยนไปมาก สวนดอกไม้ด้านหน้าที่นางโปรดปราน ทุกๆยามสายหลังเสร็จงานบ้านหากไม่มีภารกิจใด นางและสามีมักจักมานั่งจิบชามองดูเหล่าภมรบินวนดูดกินน้ำหวานกันอย่างเพลินใจ บัดนี้ไม่ทราบหายไปไหน? ไฉนจึงกลายไปเป็นสระบัวได้? ขณะนั้นมีคนงานผู้หนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ นางพอเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไป พร้อมกับแนะนำตนเอง ชายคนงานพอทราบนางคือภรรยาของขอทานใจบุญผู้เป็นอดีตเจ้าของบ้าน จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางทราบ

ระหว่างที่ฟังคนงานเล่าเรื่องใจหนึ่งนางก็รู้สึกสงสารสามีขึ้นมาจับจิตจับใจ ที่เขาต้องกลายไปเป็นขอทานแบมือขอความเมตตาจากผู้คน แต่อีกใจก็รู้สึกมันช่างสาสมนัก! ดูซิ! ขนาดจะกินก็แทบไม่มีก็ยังไม่วายที่จะบริจาคทานอีก ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร? หลังฟังคนงานเล่าจบนางก็รีบอำลาเขาไปยังศาลเจ้าร้างทันที

ระหว่างทางไปศาลเจ้าจิตใจของนางอยู่ๆมันก็รู้สึกเบาๆหวิวๆชอบกล ซึ่งอันที่จริงมันควรจักต้องดีใจซิเพราะกำลังจะได้พบหน้าสามีแล้ว แต่ไฉนนางกลับรู้สึกไปในทางตรงกันข้ามได้ ยิ่งเข้าใกล้ศาลเจ้ามากเท่าไหร่ ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น! หรือจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับสามีนาง? พอคิดดังนี้ด้วยความร้อนใจ นางจึงรีบวิ่งไปยังศาลเจ้าร้างทันที

พอถึงก็ยกมือผลักประตูหวังจะเข้าไปดูข้างใน แต่ปรากฏว่าเปิดไม่ออก เนื่องจากมันถูกลั่นดานเอาไว้ ดังนั้นนางจึงรัวฝ่ามือทุบลงไปบนบานประตู ไม่พอเท่านั้นยังตะโกนเรียกชื่อสามีด้วยเสียงอันดัง หวังจักให้เขามาเปิดประตูให้

นางทุบจนกระทั่งมือทั้งสองบวมช้ำก็แล้ว แต่ก็หาจักมีผู้ใดออกมาไม่ ตะโกนเรียกเสียจนเสียงแหบเสียงแห้งก็แล้ว แต่ก็หาจักมีใครขานรับ ในที่สุดก็หมดปัญญา จึงทรุดนั่งลงหน้าประตู

หลังจากนั่งพักสักครู่นางได้ลุกเดินอ้อมไปยังด้านหลัง เพื่อจะดูว่าพอจักมีช่อทางใดให้เข้าไปยังข้างในได้บ้าง ขณะนั้นสายตาของนางก็สะดุดเข้ากับคราบสีแดงติดอยู่ตามพื้นและตามใบไม้ ไล่เป็นทางขึ้นไปจนถึงหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งแตกเป็นช่องโหว่ใหญ่ ซ้ำยังได้กลิ่นคาวของโลหิตฟุ้งกระจายอยู่ทั่วบริเวณอีก

พอเห็นดังนั้นนางก็ถึงกับหัวใจเต้นรัว ค่อยๆเดินขาสั่นไปที่หน้าต่าง พอถึงก็ค่อยๆยื่นหน้าผ่านรอยแตกเข้าไปเพื่อจะดูว่าข้างในมีใครอยู่ไม่ แต่เนื่องจากภายในนั้นค่อนข้างสลัวนางจึงมองไม่ชัด ดังนั้นจึงพยายามกวาดตาไปมาอยู่หลายเที่ยว แหละทันใดก็เห็นที่พื้นใกล้เสาเหมือนมีกองอะไรสักอย่าง ลักษณะคล้ายเครื่องในสัตว์ตกกระจายอยู่เรี่ยราดอยู่ พอเห็นนางก็ถึงกับหน้ามืดขึ้นมาทันใด รีบยกมือยันกรอบหน้าต่างไว้มิให้ศรีษะทิ่มไปข้างหน้า พยายามปลอบใจตัวเองว่าเศษอวัยวะเหล่านั้นอาจไม่ใช่ของสามีนางก็ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุป ควรจะสืบให้รู้แน่เสียก่อน

เมื่อคิดดังนั้นนางจึงค่อยๆออกเดินตามรอยเลือดไป ซึ่งมันได้นำนางมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ไปโดยลำดับ หลังเดินไปได้สักพักนางก็เห็นเบื้องหน้ามีลานดินอยู่แห่งหนึ่ง บนลานดินนั้นมีวัตถุอะไรสักอย่างวางทิ้งอยู่ ลักษณะจะว่ากลมก็ไม่ใช่ จะว่าเหลี่ยมก็ไม่เชิง มองไกลๆคล้ายลูกตาลที่เขาเอามาทำขนมยังไงยังงั้น

พอเห็นเข้านางก็รู้สึกสงสัยจึงเดินเข้าไปดู พอเข้าไปใกล้เท่านั้น คุณพระช่วย! มันหาใช่ลูกตาลเหมือนอย่างที่นางคิดไม่ หากแต่เป็นศีรษะมนุษย์ศรีษะหนึ่งซึ่งมีร่องรอยเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดแทะประมาณนั้น ส่วนที่เห็นกะดำกะด่างแหละชวนให้คิดว่าเป็นเปลือกลูกตาล ที่แท้มันก็คือเส้นผมที่เปรอะเปื้อนดินโคลนนั่นเอง!

พอเห็นดังนั้นนางก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นทันที สักพักหลังจากระงับสติได้นางจึงค่อยๆลืมตาดูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดนางก็ต้องถึงกับตกใจสุดขีด เผลอตัวกรีดเสียงร้องโหยหวนออกไปดังลั่น เพราะใบหน้าที่เห็นนั้นมันมิใช่ใครที่ไหน แต่มันคือใบหน้าสามีสุดที่รักที่นางเฝ้าคิดถึงคนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง! นางไม่คิดเลยว่าเขาจะมาตายในสภาพนี้ และในสถานที่เช่นนี้ ภาพเบื้องหน้ามันได้ทำร้ายจิตใจนางจนยากจักรับได้จริงๆ!

นางนั่งอยู่ในท่านั้นราวกับคนบ้าใบไร้สติอยู่เป็นเป็นเวลานาน แล้วบัดนั้นอยู่ๆนางก็เอื้อมมือไปหยิบเอาศรีษะสามีที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมา พร้อมกับรำพึงรำพันกับตนเอง “ ไหนท่านพี่บอกว่าทำบุญมากๆแล้วบุญจักช่วยปกป้องไม่ให้เกิดอันตราย บุญจะช่วยให้ท่านสุขสบายไม่ทุกข์ลำบาก ไหนล่ะบุญที่ว่า? มันอยู่ไหน? น้องเห็นยิ่งท่านพี่ทำบุญมากเท่าไหร่ ก็มีแต่ยิ่งยากจนลงไปมากเท่านั้น ไม่เห็นว่าบุญจะช่วยให้ท่านได้ดิบได้ดีหรือมีความสุขแต่อย่างใด ไฉนจึงงมงายอยู่กับคำกล่าวลมๆแล้งๆโดยไม่ฟังคำเตือนของน้องบ้างเลย หากท่านพี่เชื่อฟังน้องบ้างสักนิด ก็คงไม่ต้องมาจบชีวิตในสภาพที่น่าอเนจอนาถเป็นอย่างนี้แน่! ”

นางเฝ้าตัดพ้อต่อว่ากับศีรษะสามีราวกับคนวิกลจริต แหละทันใดนั้นจู่ๆนางก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมากัดเสียจนโลหิตแดงฉาน พร้อมกับพูดลอดไรฟัน “ ดีล่ะ! ในเมื่อท่านพี่ยังหลงงมงายอยู่กับบุญอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนถึงกับตัวเองต้องมาตายในสภาพเยี่ยงนี้ น้องกักขอย้ำความคิดเดิมของน้องที่ว่า บุญนั้นไม่เคยช่วยท่านพี่เลยไม่ว่าท่านพี่จะตกทุกข์ได้ยากสักปานใด ขอให้จำไว้ด้วย!” ว่าแล้วนางก็ใช้นิ้วที่ชุ่มด้วยเลือดเขียนลงบนหน้าผากสามีเป็นข้อความว่า “ บุญไม่ช่วย ” เหมือนจักเป็นการตอกย้ำและระบายความในใจทั้งหมดที่มี แทนด้วยอักษรเหล่านี้นั่นเอง!


ที่มา : เรื่องเล่าจากท่านอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขทลามลตาราม ตำบลแพด อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร

5,698







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย