กองบุญร่วมบูรณะสังขรณ์วัดป่าฮวกวัดไทยวัดเดียวในหลวงพระบาง สร้างโดยรัชกาลที่5 เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเกาะกระแสบุญอานิสงค์ที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน...

      3 ก.พ. 2557


อานิสงค์การร่วมบูรณะปฎิสังขรณ์วัดวาอาราม

สร้างพระอุโบสถ เป็นอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อยังชีพอยู่ก็เจริญด้วยอายุวรรณะ สุขะ พละ มีผู้คนชื่นชมยกย่องอุดมไปด้วยเกียรติลาภยศ เต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญเสมอไปทุกที่ เมื่อสิ้นชีพดับขันธ์แล้วจะเสวยสุขอยู่ในสรวงสวรรค์อันเป็นบรมสุข


สร้างกุฏิ เป็นการส่งเสริมบำรุงพระพุทธศาสนาเพราะเป็นการสร้างที่พำนักอาศัยของพระภิกษุสามเณร จะเป็นบารมีอันยิ่งใหญ่เมื่อเป็นมนุษย์เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สถิตอยู่ในวิมานอันงดงามด้วยแก้ว ๗ ประการ แวดล้อมด้วยนางฟ้า นางเทพอัปสรเป็นบริวารเสวยสุขย่างเกษมสำราญ ชั่วกาลนาน


สร้างศาลา สำหรับเป็นที่ปฏิบัติธรรมและที่พักสำหรับพระภิกษุสงฆ์และกำบังแดดฝนให้คนทั้งหลายที่สัญจรไปมา ย่อมให้เกิดอานิสงส์ทั้งภพนี้และภพหน้า ย่อมอุดมไปด้วยบุญกุศล ถึงซึ่งความสำเร็จที่ปรารถนา


สร้างเจดีย์ (บูรณะเจดีย์) จะเป็นกุศลจริยาอันประเสริฐ ก่อเกิดประโยชน์สุขแก่ชีวิตคนอย่างมหาศาล เพราะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ให้คนทั่วไปได้สักการบูชาอานิสงส์ผลบุญนี้ ย่อมประสบความสุขความเจริญบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ และลาภยศ สรรเสริญ ทั้งภพนี้และภพหน้า

ถวายทุนการศึกษาพระปริยัติธรรม อานิสงส์สามารถเรียนรู้เข้าใจทั้งทางโลกและทางธรรมได้ง่ายศึกษาพระไตรปิฎกสำเร็จโดยเร็ว สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย


ถวายกองเพล (บูชา) จะมีชื่อเสียง มีเกียรติภูมิทั่วทั้ง ๓ โลก เป็นที่เคารพรักทั้งพรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก ถ้าไปเกิดบนสวรรค์ก็จะได้เสวยทิพยสมบัติ เสยสุขชั่วกาลนาน


ถวายระฆัง จะมีเสียงดังกังวาน ไพเราะสดใส มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้ง ๓ โลก


ถวายพระไตรปิฎก ทำไห้เป็นผู้มีปัญญาเลิศล้ำ สามารถที่จะมองเห็นภพภูมิตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ มีอานิสงส์ที่จะประมาณได้ หากได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ดวงแก้ว จักรแก้ว และชั้นดุสิต บริบูรณ์ด้วยวิมานปราสาทแก้ว ถึง ๘๔,๐๐๐ ปรางค์ นับว่าเป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่สุดประมาณ


บูรณปฏิสังขรณ์ ถือเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนา ศาสนสถานถือเป็นอานิสงส์ผลบุญอันยิ่งใหญ่ นำความสุขความเจริญทั้งภพนี้ภพหน้า จนเข้าสู่พระนิพพาน

รายละเอียดตามบทความตามโพสต์นี้

พบโบสถ์ร้างที่เมืองหลวงพระบางสปป.ลาว เชื่อว่าล้นเกล้าฯร.๕ของไทยทรงสร้างขึ้น : เรื่อง/ภาพ แล่ม จันท์พิศาโล

เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๗ ผมได้ไปทัวร์ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" จากองค์การยูเนสโก สหประชาชาติ

หลังจากที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง (ซึ่งเดิมเป็นพระราชวังเจ้ามหาชีวิต) แล้ว ไกด์ได้พาขึ้นไปสักการะ "พระธาตุพูสี" ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งตรงกันข้ามกับพิพิธภัณฑ์ สูงประมาณ ๑๕๐ เมตร มีบันไดขึ้นไปบนยอดเขา ๓๒๘ ขั้น ผมไม่ได้ขึ้นไปด้วย ขอนั่งรอคณะที่ไปด้วยกันตรงเชิงบันได้ดีกว่า

ขณะที่นั่งรออยู่นั้น ได้พบเห็น "โบสถ์" หลังหนึ่งตรงเชิงเขา มีสภาพเหมือนกับ "โบสถ์ร้าง" จึงเดินเข้าไปหาก็เห็น "แผ่นป้ายกระดาษ" เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "วัดป่าฮวก มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ.1860 (พ.ศ.2403) เป็นภาพอันงดงามยอดเยี่ยมที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในเมืองหลวงพระบาง "มรดกโลก" และแห่งเดียวในโลก"...ผมจึงเดินเข้าไปดูภายในโบสถ์หลังนี้ทันที

ภายในโบสถ์ไม่มีใครอยู่เลย สิ่งของต่างๆ ตั้งระเกะระกะ กลางโบสถ์มีพระพุทธรูป ๓ องค์ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี พุทธลักษณะงดงามมาก แต่ขาดการดูแล...นั่งลงกราบองค์พระพุทธปฏิมา พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแผ่นกระดาษเขียนเป็นภาษาไทย (ลายมือของพี่น้องชาวลาว) พออ่านได้ว่า..."วัดป่าฮวก สร้างโดย รัชกาลที่ ๕ ของไทย เชิญร่วมบริจาค เพื่อซ่อมแซมวัด ขอบคุณ"

ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาพบสิ่งนี้...จะสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโบสถ์หลังนี้ ก็ไม่อยู่ ไม่ทราบว่าไปไหน...อยากทราบประวัติของวัดนี้มากไปกว่านี้ก็ทำไม่ได้...หากเป็นวัดที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ของไทยไปทรงสร้างไว้จริง ก็ไม่น่าจะทอดทิ้งให้รกร้างอย่างนี้เลย...สำรวจตรวจสอบอยู่นานพอสมควรก็หมดเวลา...คณะทัวร์ลงมาจาก "เขาพูสี" แล้ว...จึงจำต้องออกจากโบสถ์ (ร้าง) แห่งนี้ไปด้วยความสงสัยที่ยังค้างคาของที่มาโบสถ์หลังนี้ ???

จากการค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ พบว่า "วัดป่าฮวก" หรือ "วัดป่ารวก" มีบทความของผู้ใช้ชื่อว่า "bangsai" เขียนไว้เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๐๑๑...ตอนหนึ่งว่า

ได้ไปพบเห็นโบสถ์หลังนี้ด้วยความบังเอิญที่ไม่ได้เดินทางขึ้นเขาพูสี...และได้พบกับผู้ดูแลโบสถ์หลังนี้ คือ ท่านสมบุน บุนทะวง เป็นชาวหลวงพระบาง ผู้ได้รับพระราชทานทุนหลวงจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมกับเพื่อนอีก ๔ คน ให้ไปเรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องการอนุรักษ์งานโบราณโดยตรง เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านสมบุนได้กลับมารับราชการที่กรมศิลปากรหลวงพระบาง ซึ่งทั้งกรมมีเจ้าหน้าที่ด้านอนุรักษ์เพียง ๒ คน ไม่มีงบประมาณจากรัฐทำการอนุรักษ์ ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากต่างประเทศ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจุบันท่านสมบุนได้ใช้ฝีมือตัวเอง ผลิตงานเขียนภาพขายแล้วเอารายได้มาทำกองทุนเพื่ออนุรักษ์โบสถ์หลังนี้ต่อไป โดยเฉพาะโบสถ์หลังนี้ ท่านสมบุนจะมานั่งที่โบสถ์นี้หลังจากเลิกงานราชการแล้ว และวันหยุดเท่านั้น วันเวลาอื่นๆ โบสถ์จึงไม่เปิด และท่านเท่านั้นที่ถือกุญแจเปิดแต่เพียงผู้เดียว

ท่านสมบุน เล่าว่า แต่ก่อนสมัยปฏิวัติ ที่นี่ใช้เก็บ "ผูกคัมภีร์" ต่างๆ ของโบราณเต็มไปหมด เมื่อปลดปล่อยแล้วก็ย้ายเอาไปไว้ในพระราชวัง ที่นี่ก็ทิ้งร้างไปเลย...ท่านไม่ทราบว่า สมเด็จพระเทพฯ ทรงทราบเรื่องวัดนี้ได้อย่างไร

โบสถ์หลังนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ก็เคยเสด็จมาแล้วหนหนึ่ง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ก็ได้เสด็จมาเช่นกัน รวมทั้งเจ้านายไทยอีกหลายท่าน โดยท่านสมบุนเป็นผู้ทำหน้าที่ให้การต้อนรับ

ท่านสมบุน กล่าวว่า เมื่อเรียนจบแล้วก็มาร่วมกับช่างกรมศิลปากรไทย ฟื้นฟูรูปวาดฝาผนังในโบสถ์นี้ ที่ชำรุดมากมาย บางรูปแตะไม่ได้เลย เป็นฝุ่นผงร่วงปลิวลงมา ต้องใช้วิชาความรู้ และความพยายามมาก ใช้เวลามากกว่าจะฟื้นคืนมาได้เท่าที่เห็น ซึ่งที่เสียหายไปไม่สามารถซ่อมได้ก็มีเยอะ...ภาพเหล่านี้นอกจากเป็นพุทธประวัติที่พบเห็นทั่วไปแล้ว หลายภาพสะท้อนวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และสภาพธรรมชาติสมัยนั้น เช่น ความสมบูรณ์ของป่า มีสัตว์ป่ามากมาย มีนกหลายชนิด ซึ่งปัจจุบันหายไปหมดแล้ว ฯลฯ

ท่านสมบุน กล่าวด้วยว่า การบูรณะครั้งที่ผ่านมานั้น ได้ปูพื้นหน้าโบสถ์ ซ่อมฝ้าเพดานภายในโบสถ์ เสาหน้าเอนเอียง พื้นโบสถ์และหลังคาบางส่วนยังต้องการซ่อมแซมอีกมาก โดยเฉพาะหลังคา ภาพภายในโบสถ์ และบริเวณรอบๆ วัด

วัดป่าฮวก สร้างเคียงคู่กับ พระธาตุพูสี ขนานถนนหน้าพระราชวัง หันหน้าไปทางทิศเหนือ ดังนั้นหากไปยืนหน้าโบสถ์มองไปทางทิศเหนือ ขวามือก็เป็นภูเขา มีร่องรอยการสร้างกุฏิพระ เดิมเป็น "ป่าไผ่รวก" หรือ "ไม้ฮวก" อันเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้

ท่านสมบุน กล่าวว่า ในอนาคตหากเป็นไปได้ จะสร้างกุฏิพระขึ้นมาในสถานที่เดิม เพื่อจะได้มีพระมาจำพรรษา และจะได้ดูแลโบสถ์อันสำคัญแห่งนี้ด้วย

"ผมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพฯ ที่พระราชทานทุนหลวงให้ไปเรียนที่เชียงใหม่ ทุกวันนี้หากผมจะใช้ความรู้ไปหากินวาดรูปขายที่ตลาดกลางคืนหลวงพระบาง ผมก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่สำนึกผมนั้นต้องการสนองเจตนาของสมเด็จพระเทพฯ มาวาดรูปที่โบสถ์นี้ขาย เพื่อเอาเงินเข้ากองทุนบูรณะโบสถ์หลังนี้ต่อไป" ท่านสมบุนกล่าว

จากบทความนี้ ผมจึงขอถ่ายทอดถึงทางราชการไทย ถึงท่านผู้มีหน้าที่ในการดูแลรักษาโบราณสถาน ที่เป็นผลงานการสร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ไทย ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศ หรือต่างแดนก็ตาม

หากเรื่อง "วัดป่าฮวก" เมืองหลวงพระบาง เป็นเรื่องจริงที่ว่า ล้นเกล้าฯ ร.๕ ทรงสร้างขึ้น ก็สมควรที่ทางราชการไทยจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือ กรมศิลปากรเมืองหลวงพระบาง บูรณปฏิสังขรณ์ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพื่อให้สมกับพระเกียรติยศที่ ล้นเกล้าฯ ร.๕ ของไทย ที่ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นใน เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว
โดยจะรวบรวมยอดและส่งไปที่วัดป่าฮวกครั้งแรกในช่วงเทศกาลวันวิสาขบูชานี้ เดือนพฤษภาคม 2557

กองบุญร่วมบูรณะวัดป่าฮวกวัดไทยวัดเดียวในหลวงพระบาง ประเทศลาว ทรงโปรดสร้างโดยรัชกาลที่5
กนกรักษ์ พุทธจรรยาวงศ์
บัญชีออมทรัพย์ 026-2-35147-7
ธนาคารกสิกรไทย สาขาสยามสแควร์

ขอร่วมอนุโมทนาสาธุบุญกับทุกๆท่านด้วยที่ร่วมเกาะกระแสบุญใหญ่บูรณะปฎิสังขรณ์วัดป่าฮวกวัดไทยวัดเดียวในหลวงพระบาง ณ.ประเทศลาว

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆอย่างเลยนะ ตั้งแต่ชาติก่อนต้นๆถึงชาติปัจจุบันตราบเท่าท่านเข้าสู่พระนิพพาน เลยนะครับและข้าพเจ้า ขออนุโมทนาส่วนบุญส่วนกุศลกับเทพ พรหม เทวดา ที่ปกปักรักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านทั้งหลายได้กราบไว้หรือทำบุญ ทำทาน ถือศีล บำเพ็ญ ภาวนา บุญกิริยา วัตถุ 10 ประการ ทุกๆที่ ทุกๆสถาน ทุกๆองค์ ทุกๆชั้น ทุกๆตน ทุกๆรูป ทุกๆนาม ทุกๆขันธ์ กับ ทุกๆท่าน ไว้ณโอกาสนี้เป็นอย่างสูง ด้วยเทอญสาธุ

คำขอขมาใหญ่

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (ว่า ๓ จบ)
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
ท่านขอรับ ขอท่านจงยกโทษทั้งปวงแก่ข้าพเจ้า
มะยา กะตัง สามินา อนุโมทิตัพพัง
บุญที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว ใต้เท้าพึงอนุโมทนา
สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง
บุญที่ใต้เท้ากระทำแล้ว พึงให้แก่ข้าพเจ้า
สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอจงสำเร็จ ขอจงสำเร็จ ข้าพเจ้าขออนุโมทนา
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
ท่านขอรับ ขอท่านจงยกโทษทั้งปวงแก่ข้าพเจ้า
อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
ขอโอกาส ขอท่านได้ไปรดอดโทษ(ยกโทษ)ทั้งปวง
ที่ทำแล้วด้วยไตรทวาร แก่ข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าข้า
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
ท่านขอรับ ขอท่านจงยกโทษทั้งปวงแก่ข้าพเจ้า
อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ
ขอโอกาส ข้าพเจ้ายอมอดโทษ (ยกโทษ ) เจ้าข้า
บทกรวดน้ำ แบบฉบับคุณแม่ชีใหญ่(ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม)
พระจัตตุโลก พระยมกทั้งสี่ ขอส่งน้ำอุทิศนี้ เข้าไปในลังกาทวีป
ในห้องพระสมาธิ เป็นที่ประชุมการใหญ่ของแม่พระธรณี
ขอให้แม่พระธรณี จงมาเป็นทิพย์ญาณ
เป็นผู้ว่าการในโลกอุดร ขอให้แม่พระธรณีจงนำเอากุศลผลบุญของข้าพเจ้า
ที่ได้กระทำในวันนี้ นำส่งให้แก่ข้าพเจ้าในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ

พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง
ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่
สรรพสัตว์ที่มีดิน น้ำ ลมไฟ และขอถวายเป็นปฏิบัติบูชา
แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า
พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ พระปัจเจกโพธิเจ้า และพระอรหันตเจ้า


ข้าพเจ้าขอนำส่งให้บิดา มารดา ตระกูลพ่อ ตระกูลแม่
ตระกูลพี่ ตระกูลน้อง ตระกูลปู่ ตระกูลย่า ตระกูลตา ตระกูลยาย
ญาติพี่น้องทั้งหลาย เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย
จงนำและได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้พึงกระทำในครั้งนี้
ขอให้บุคคลที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี
ที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ทั้งในภพนี้และในภพที่เคยผ่านมา
จงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้พีงกระทำ เมื่อได้รับอานิสงส์แล้ว
จงปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ด้วยกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งครอบครัวข้าพเจ้า
ทั้งตระกูลปู่ ตระกูลย่า ตระกูลตา ตระกูลยาย ตระกูลพี่ ตระกูลน้อง
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พระราชาพระมหากษัตริย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี
ที่สืบสานพระศาสนาตั้งแต่พุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอโศกมหาราช
พระราชามหากษัตริย์ไทย มีพ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวนมหาราช
สมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
และววีระกษัตรีย์ทุกๆ พระองค์ อันได้แก่
สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ฯลฯ

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ จตุสดมภ์ทั้ง 4 ขุนเวียง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา
ท่านแม่ทัพนายกอง หัวหมู่ ขุนพล ทหารหาญทั้งหลาย ข้าทาสบริพาร
ครูหมัด ครูมวย ครูหอก ครูดาบ ครูศาตราวุธ ทหารบก ทหารเรือ
ทหารอากาศ ทุกกรมกอง

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พระแม่ธรณี แม่พระคงคามหาสมุทร
แม่พระโพสพ แม่พระเพลิง แม่พระพาย เจ้าทะเล เจ้าบาดาล เจ้าพิภพ
ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สุริยจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัตตะโลหะ นวโลหะ รัตนชาติ
แร่ธาตุทั้งหลาย ช้างศึก ม้าศึก ช้างเสบียง ม้าเสบียงทั้งหลาย
วัวควายทั้งหลาย หมูเห็ดเป็ดไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งสัตว์น้ำจืด น้ำเค็ม
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั้งหลาย สัตว์ปีกทั้งหลาย สัตว์ปีนป่ายทั้งหลาย สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
สัตว์ในไข่ทั้งหลาย สัตว์ในครรภ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเข่นฆ่าก็ดี บริโภคก็ดี
อยู่ในเนื้อ อยู่ในหนัง อยู่ในกระดูก อยู่ในตับ ไต ไส้พุง อยู่ในทั้งหมดอาการ 32 ของตัวข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัมมาอาชีพและปัจจัยสี่ของข้าพเจ้า
ที่ได้มีกินมีใช้ ขอให้สัมมาอาชีพจงได้รับอานิสงส์ผลบุญนี้

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พยัญชนะ ตัวอักษรทุกภาษาในโลกนี้
เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด จงมีส่วนในบุญของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ทรัพย์ของแผ่นดิน ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ดวงจิตดวงวิญญาณ ทั้งหลาย
ที่เคยจะเกิดมาเป็นลูกเป็นหลานแล้วไม่เกิด จงได้รับในบุญกุศล และจงเว้นจากการจองเวร

ขัพเจ้าขอนำส่งให้ ดวงจิตของข้าพเจ้าที่เคยตกหล่น เป็นกรรมอยู่ในนรกภูมิ
ที่อยู่ทุกๆขุมนรกจงหลุดพ้นจากอุปกรรม วิบากกรรม เคราะห์กรรม ด้วยกุศลในครั้งนี้

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ เชื้อโรคเชื้อรา เชื้อร้าย เชื้อนะเร็ง ทั้งหลาย
เชื้อไวรัสทั้งหลาย เชื้อโรคทั้งหลาย จงมีส่วนได้รับในบุญกุศลนี้
และโรคร้ายทั้งหลายขออย่าพึงมี อย่าได้เกิดกับลูกหลานข้าพจ้า จงหยุดที่ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ตั้งแต่นรกภูมิ อบายภูมิ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
เปรตทั้งหลาย อสูรกายทั้งหลาย ทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน นรกทุกชั้น นรกทุกขุม
ทุกภูมิ สัมภเวสี ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นญาติ และไม่ใช่ญาติ ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล
ที่รู้จักก็ดี ที่ไม่รู้จักก็ดี ที่เอ่ยถึงก็ดี ที่ไม่เอ่ยถึงก็ดี ที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว
ทั้งที่มีกายและไม่มีกาย ทั้งที่มีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และไม่มีธาตุ จงรับเอาส่วนกุศลที่ได้กระทำในครั้งนี้

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พระอินทร์ พระพรหม พระยายม พระยายักษ์ พระสยามเทวาธิราช
พระเสื้อเมือง พระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อเจตคุป เจ้าพ่อหอกลอง ท้าวกุเวรมหาราช
ท้าวทศรถ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พญาครุฑ พญานาค พญาอนันตนาคราช พญางู พญาเงือก
พญาหนุมาน พญาเสือ พญาสิงห์ พญาเต่า พญาจระเข้ พญาปลาไหล
พญาตะขาบ พญาแมงป่อง ปู้ฤาษีทั้ง 108 พระองค์
ปู่อินตา ครูยา หมอยา เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าทุ่ง เจ้าท่า
เจ้าที่ที่บ้าน เจ้าที่ที่ทำงาน รุกขเทวดา นางไม้ทั้งหลาย

ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ธนบัตร ทุกสกุลเงินตรา ของโลกนี้
ที่เป็นทรัพย์ภายนอก จงได้รับในกุศลผลบุญของข้าพเจ้า

กรรมใดก็ดีที่ข้าพเจ้าเคยมีกรรมต่อทรัพย์ของแผ่นดิน
คนของแผ่นดิน ทำผิดเป็นถูก ทำถูกเป็นผิด และกรรมใดที่ข้าพเจ้าเคยสร้างกรรม
กับผู้ใดไว้ ไม่ว่าอดีตชาตหรือปัจจุบันชาติไม่ว่าเป็นมนุษย์และสัตว์ ข้าพเจ้าขอให้ท่าน
ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยสร้างเวรสร้างกรรมต่อท่านจงได้รับอานิสงส์ผลบุญของข้าพเจ้า
เมื่อได้รับผลบุญของข้าพเจ้าแล้ว จงปลดปล่อยกรรม ปลดเปลื้องกรรม งดเว้นการจองเวร
และขอดวงจิตที่เกิดในภพนี้ ชาตินี้ ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ด้วยกุศลในคราวนี้ด้วยเทอญ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ

สาธุ สาธุ สาธุ....


3,020






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย