ปรทัตตูปชีวีเปรต เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
ปรทัตตูปชีวีเปรต
ย้อนหลังลงไปประมาณ ๙๒ กัปนับจากปัจจุบัน สมัยนั้นพระศาสดาที่ทรงเผยแผ่หลักพระธรรม คำสอนในบวรพระพุทธศาสนา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปุสสะบรมโลกนาถ ขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ พุทธศาสนาถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ขุนนาง ตลอดจนไพร่ฟ้าทุกหมู่เหล่า พวกเขาต่างก็ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ครานั้นพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ที่เรารู้จักดี พระองค์ได้ทรงถือกำเนิดเกิดเป็นขุนคลัง ข้าราชบริพารภายใต้พระบารมีของพระโอรสสามพระองค์แห่งกษัตริย์สมัยนั้น
พระโอรสทั้งสามนี้ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในศาสนา จึงทรงมอบหมายหน้าที่ให้ขุนคลังดูแลเรื่องการจัดเลี้ยงภัตตาหารถวายแด่พระสงฆ์ ที่ท้าวเธอทรงนิมนต์ให้มาฉันที่วังเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากจำนวนภิกษุนั้นมีมาก ลำพังเพียงตัวขุนคลังเองเขาเกรงอาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงไปเกณฑ์เอาญาติๆให้มาช่วยงานที่โรงครัว คอยดูพวกแม่ครัวแทนตน ส่วนตัวเขาก็ทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้พระคุณเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว
แรกๆบรรดาญาติก็ขยันขันแข็งดี แต่พอนานเข้าก็ชักจักเริ่มประมาท มีการแอบบริโภคอาหารก่อนพระภิกษุบ้าง หรือหากไม่แอบบริโภค ก็แอบนำเอาของสดของแห้งที่ใช้ประกอบอาหาร ไปขายแลกเงินบ้าง พวกเขาเฝ้าทำอย่างนี้อยู่เป็นอาจิณ ครั้นพอชีวีขาดสิ้น บาปที่ทำไว้จึงนำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ทนรับทัณฑ์เพราะใจสกปรกอยู่เป็นเวลาช้านาน หลังจากพ้นผ่านนรกแล้ว ก็ยังไม่แคล้วต้องมาเกิดเป็นเปรตเพื่อรับเศษของบาปติดต่อกันอีกหลายชาติหลายภพ
จนสุดท้ายต่างก็มาเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต ซึ่งถือว่าเป็นเปรตชั้นดีหน่อย สามารถจักรับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่วายต้องทนทุกข์เพราะความอดอยากหิวโหยอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากไม่มีญาติคนใดแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลมาให้ จักหวังพึ่งขุนคลังหรือก็ไปเกิดเป็นเทพยดาอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเสียตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว หาได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับพวกเปรตพวกผีอย่างพวกเขาไม่ ดังนั้นถึงจักได้เป็นปรทัตตูปชีวีเปรตก็จริง แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจล่วงไปจากความทุกข์ได้
พวกเขาต้องซัดเซพเนจร เที่ยวเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เพื่อหวังจักพบจักเจอะจักเจอกับญาติ หรือคนรู้จักสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ เผื่อว่าคนเหล่านั้นทำบุญแล้วเกิดนึกถึงพวกเขาขึ้นมา จักได้แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลมาให้พวกเขาบ้าง ครานั้นพวกเขาก็คงจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร พอให้ความทุกข์ทรมานที่มีอยู่มันบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง ถึงจักไม่มาก แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี แต่ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดแผ่ส่วนบุญมาให้พวกเขาเลย
พุทโธ่!จักให้แผ่อย่างไร ก็ขนาดญาติกันหรือเพื่อนสนิทกันไม่พบหน้ากันสักสิบยี่สิบปี พอไปเจอข้างนอกบางทีเรายังจำเขาไม่ได้ หรือไม่เขาก็จำเราไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่ผ่านมาเป็นภพเป็นชาติแล้วจะมาคิดเอาว่าเขาจักต้องจำเราได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
แต่ก็นั่นแหละกับพวกเปรตพวกผีที่ทุกๆเวลานาทีมีแต่ความทุกข์ทรมาน ถึงจักรู้ว่ามันยากที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสอันน้อยนิดนี้ให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด เพราะมันคือความหวังเดียวของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเฝ้าตะเกียกตะกาย เที่ยวตระเวนหาคนที่เคยรู้จักสมัยเป็นมนุษย์ไปตามที่ต่างๆ ด้วยหวังว่าต้องมีสักครั้งที่คนเหล่านั้นจะระลึกนึกถึงพวกเขา
จนผ่านยุคของสมเด็จพระปุสสะพุทธเจ้าเข้าสู่ยุคของ สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของภัทรกัปนี้ ปรากฏระยะเวลาอันยาวนานถึงหนึ่งพุทธันดรเปรตเหล่านี้ก็ยังไม่มีตนใดได้รับส่วนบุญจากญาติแผ่อุทิศมาให้! พวกเขายังทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากหิวโหย อยู่เหมือนเดิม
ยุคของสมเด็จพระกกุสันโทพุทธเจ้าศาสนาหลังจากที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา บัดนี้ก็พลันกลับฟื้นขึ้นมามีความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ผู้คนที่เกิดยุคนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีใจฝักใฝ่อยู่แต่ในบุญในกุศล ทุกเช้ายังมิทันที่พระอาทิตย์จักโผล่พ้นขอบฟ้า เหล่าปวงประชาต่างก็พากันจูงลูกจูงหลานออกมารอตักบาตรถวายทานกันให้เนืองแน่นไปหมด มีตั้งแต่ชรายันทารก แต่ละคนล้วนยิ้มแย้มเบิกบานทักทายกันอย่างสนิทสนม จักได้มีผู้ใดที่มีสีหน้าอมทุกข์ออกมาให้เห็นแม้เพียงสักผู้สักนามก็หาไม่ ช่างเป็นภาพที่งดงามจับตาจับใจเสียยิ่งนัก
หลังจากตักบาตรแล้วใครที่มีญาติล่วงลับไป ไม่ว่าจักเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือเพื่อนสนิทมิตรสหาย เขาก็จักกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้กับผู้ล่วงลับเหล่านั้นทันที ฝ่ายผู้ที่เป็นปรทัตตูปชีวีเปรตเมื่อเห็นญาติแผ่บุญมาให้ก็ดีอกดีใจ รีบยกมือพนมไหว้ร่วมอนุโมทนาบุญนั้นกันให้สลอน
บัดนั้นเองพื้นที่รอบๆบริเวณนั้นก็ปรากฏเป็นภาพอัศจรรย์ขึ้นมาบรรดาเปรตที่เคยผอมแห้งอดโซ ผิวเนื้อกะดำกะด่าง พอเขายกมืออนุโมทนาในบุญเท่านั้น ฉับพลันก็มลายหายวับไปจากตรงหน้า ต่างพากันไปเกิดใหม่กันให้พรึบพรับ บ้างก็ไปเป็นเทวดา บ้างก็กลับมาเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญของเจ้าตัวว่าจะมีมากมีน้อยเพียงใด
จะเหลืออยู่ก็แต่เปรตญาติของขุนคลังเท่านั้น ที่ยังคงสภาพของความเปรตไว้อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากไม่มีใครแผ่บุญมาให้ พวกเขาเมื่อเห็นเปรตตนอื่นพอรับส่วนบุญก็พากันไปเกิดใหม่ จึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตนเสียเหลือเกิน ดังนั้นจึงชวนกันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค เพื่อจักถามว่าพวกตนจักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ได้เมื่อไหร่
องค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาที จึงทรงมีพระพุทธฎีกาประทานแก่พวกเขา
“ ดูก่อนเปรต! แม้ในศาสนาเราพวกท่านก็ยังมิอาจพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมโน ลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ ขอพวกท่านจงคอยถามเอากับพระองค์เถิด ”
บรรดาเปรตพอฟังก็ให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังกันไปตามๆกัน พากันก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท จากนั้นก็ขอพระราชอนุญาตทูลลาพระองค์จากไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก จนสิ้นศาสนาของพระกกุสันโธพุทธเจ้เข้าสู่ยุคของพระโกนาคมโนพุทธเจ้า เปรตญาติขุนคลังหลังจากที่ถ่างตารอมานานถึงสองพุทธันดร ครั้นทราบบัดนี้ได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติแล้ว พวกเขาจึงให้ดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบพากันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคทันใด เพื่อจักทูลถามปัญหาที่คับข้องใจเหมือนเดิม
สมเด็จบรมครูครั้นทรงสดับก็ทรงมีพระพุทธบรรหารประทานกับพวกเขา “ ดูก่อนเปรต! แม้ในศาสนาเราพวกท่านก็ยังมิอาจพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ดอก ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีศาสดาพระองค์ใหม่พระนามว่า กัสสปะ ลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ ขอพวกท่านจงคอยถามเอากับพระองค์เถิด ”
ครั้งนี้บรรดาเปรตญาติขุนคลังพอฟังพระพุทธบรรหารก็ถึงกับแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปนอนแอ้งแม้งกองอยู่กับพื้นทันที เนื่องจากพวกเขาต่างมีความหวังว่าตนจะพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ภายในพุทธันดรนี้ ที่ไหนได้ยังต้องรอไปอีกถึงหนึ่งพุทธันดร บางตนไม่รู้จะระบายความคับแค้นอย่างไรก็ยกมือขึ้นมาจิกทึ้งหนังหัวตนเอง บางตนก็ตีอกชกตัวร้องห่มร้องไห้ ด้วยว่ามิอาจแก้ไขอันใดได้ แต่อย่างไรสุดท้ายต่างก็ค่อยๆทูลลาพระศาสดาเที่ยวโซซัดโซเซเสาะหาอาหารกันต่อไป ถึงแม้จักรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจักทำอะไรได้ดีกว่านี้
จนสิ้นศาสนาของสมเด็จพระโกนาคมโนพุทธเจ้า เข้าสู่ยุคของสมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า เปรตญาติขุนคลังหลังจากผิดหวังมาแล้วสองครั้งสองครา บัดนี้ครั้นทราบว่ามีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติแล้วอีกพระองค์ พวกเขาจึงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาใหม่ รีบพากันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคทันใด เพื่อจักทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจเหมือนเดิม
สมเด็จพระศาสดากัสสปะเมื่อทรงสดับวาจาเปรตก็ทรงมีพระเมตตาประทานพุทธทำนายต่อพวกเขา “ ดูก่อนเปรต แม้ในศาสนาเราพวกท่านก็ยังไม่อาจพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ดอก ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ และจักมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร จักทรงถวายทานแด่องค์จอมปราชญ์ หลังจากทรงถวายทานแล้วกษัตริย์พระองค์นี้ก็จักทรงกรวดน้ำอุทิศส่วนพระราชกุศลมาให้พวกท่าน ครั้งนั้นแลพวกท่านจึงจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร แลจักได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรตนี้ได้! ”
บรรดาเปรตพอฟังก็ถึงกับตื่นเต้นดีใจยกใหญ่ ราวกับว่าตนจักพ้นไปจากสภาพของเปรตกันได้ภายในวันนี้พรุ่งนี้ก็มิปาน แต่ทว่าจริงๆแล้วยังหรอก โน่น! ยังต้องรอถึงอีกหนึ่งพุทธันดรโน่น!
กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จักหาสิ่งใดจีรังยั่งยืนไม่มี หลังจากศาสนาของสมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้าได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด สุดท้ายก็ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา จนล่วงเข้าสู่ยุคของศาสดาพระองค์ใหม่พระนามว่าสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม พอถึงยุคนี้ท่านขุนคลังผู้ซึ่งเสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์เสียนานแสนนาน บัดนี้ก็ถึงกาลจักต้องจุติแล้ว ดังนั้นเขาจึงลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ปกครองแค้วนมคธพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสารในสมัยพุทธกาล ทรงถือว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อพระศาสนา พระองค์ทรงอุปถัมภ์พระศาสนาจนคนสมัยนั้นถึงกับขนานนามแคว้นมคธว่าเป็นดินแดนแห่งพระธรรม อย่างวัดเวฬุวันที่เรารู้จัก และถือเป็นวัดแห่งแรกของศาสนาพุทธ พระองค์ก็ทรงสร้างถวายแด่สมเด็จพระศาสดา
นอกจากจักทรงเป็นผู้มากไปด้วยอามิสบูชายังมิพอ ถึงจักเป็นปฏิบัติบูชาพระองค์ก็ทรงถือว่ามิได้ทรงน้อยหน้ากษัตริย์ใดในสมัยนั้น เพราะทรงเป็นถึงพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันแล้ว ทรงปิดประตูอบายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีแต่เทวโลกกับโลกมนุษย์เท่านั้นที่จักทรงเวียนว่ายตายเกิด แลช้าสุดก็ไม่เกิน ๗ ชาติ เรื่องของจอมราชันพระองค์นี้หากจะเล่า เห็นทีคงต้องแยกเล่มออกไปต่างหาก เนื่องจากเนื้อหาที่จะนำมากล่าวนั้นมีอยู่มากมายนัก ฉะนั้นเพื่อมิให้เสียเวลาเรากลับมาเข้าเรื่องของเราต่อ
หลังจากที่พระเจ้าพิมพิสารทรงประกาศตนเป็นพุทธมามกะยังเบื้องพระพักตร์แล้ว พระองค์ก็ทรงถวายภัตตาหารแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค แต่ขณะนั้นพระทัยของพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วย อจลศรัทธา (ศรัทธาที่หนักแน่นมั่นคง ไม่สงสัยในพระรัตนตรัยแม้แต่น้อย) ทรงมีแต่ความอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจักเป็น ปุพพเจตนา(เจตนาก่อนถวาย) มุญจเจตนา (เจตนาขณะถวาย) และ อปรเจตนา (เจตนาหลังถวาย) พระทัยของพระองค์ก็ทรงคิดถึงแต่อานิสงส์ของผลทานอยู่เพียงอย่างเดียว มิได้ทรงเฉลียวไปนึกถึงเรื่องใด ยิ่งกว่านั้นยังทรงคิดไปไกลหากได้ทรงถวายเสนาสนะแลคันธกุฎีแด่องค์จอมปราชญ์อีก เห็นทีอานิสงส์ที่ได้คงจักมากมายมหาศาลไปกว่านี้อีกเป็นแน่!
จนกระทั่งทรงลืมแผ่ส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตพระญาติที่กำลังเฝ้ารออย่างกระวนกระวายมิเป็นสุข คอยแต่จักจับจ้องมองว่าเมื่อใดพระองค์จึงจักทรงระลึกนึกถึงพวกเขาเสียที แผ่บุญแผ่บารมีมาให้พวกเขาบ้าง เพราะตั้งแต่ทราบข่าวพระศาสดาจักเสด็จมายังแคว้นมคธ พวกเขาก็ชวนกันมาตั้งท่าคอยเพื่อจักร่วมอนุโมทนาในบุญครั้งนี้กันตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว พอเห็นจอมกษัตริย์ทรงถวายทานเสร็จก็เฝ้าดูว่าเมื่อใดจึงจักทรงแผ่ส่วนพระราชกุศลมาให้เสียที เฝ้าแต่ชะแง้แลมอง ผุดยองผุดลุก ร้อนรุ่มอยู่มิเป็นสุขมาตั้งแต่ก่อนอรุณจักรุ่ง จนบัดนี้ดวงดาราต่างก็พากันทอแสง พระอาทิตย์ฤาก็อ่อนแรงลาลับขอบฟ้าไปตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว ไฉนจึงยังไม่มีวี่แววว่าพระองค์จักทรงระลึกนึกถึงพวกเขาเสียที
พระพุทธฎีกาแห่งพระศาสดากัสสปะที่ทรงบอกว่าพวกเขาจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร แลจักได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรต ก็ในสมัยของสมเด็จพระสมณโคดมยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทพวกเขาอยู่ตลอดเวลา แม้กาลจักล่วงมาเป็นพุทธันดรแล้ว แต่พวกเขาก็ยังจำได้ดี แล้วไฉนบัดนี้เมื่อทรงถวายทานเสร็จพระองค์กลับทรงลืมกรวดน้ำแผ่ส่วนพระราชกุศลมาให้พวกเขาเสียเล่า
ดังนั้นพอล่วงมัชฌิมยามคืนนั้น บรรดาเปรตที่ทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากมาช้านาน ก็มิอาจจักทนทานต่อไปได้อีก จึงพากันกรีดเสียงร้องออกไป ยังผลให้จอมราชาที่บรรทมหลับใหลอยู่อย่างเป็นสุข ถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัยตื่น จากนั้นก็มิอาจทรงฝืนข่มพระเนตรให้หลับต่อไปได้อีก จวบจนปัจจุสมัยจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคทันที
องค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีจอมกษัตริย์จึงทรงมีพระพุทธบรรหารประทานว่า “ ดูก่อนมหาบพิตร ขออย่าทรงวิตกเลย เหตุร้ายใดๆหาได้มีแก่พระองค์ไม่ เสียงที่ทรงได้ยินนั้นคือเสียงเปรตพระญาติของพระองค์เป็นผู้ร้องขึ้น ด้วยพวกเขาต้องการจักสื่อให้ทรงทราบว่าพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากมาช้านาน หวังจักได้รับพระราชทานส่วนพระราชกุศลจากพระองค์แผ่มาให้ตั้งแต่เมื่อวันวาน แต่พอทรงถวายทานเสร็จพระองค์กลับทรงลืมกรวดน้ำอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้พวกเขา พวกเขาเลยผิดหวังยกใหญ่ ดังนั้นคืนที่ผ่านมาจึงพากันมาส่งเสียงร้องเพื่อเตือนให้ทรงทราบ ว่าอย่าทรงลืมกรวดน้ำแผ่ส่วนพระราชกุศลมาให้พวกเขาบ้าง ขอถวายพระพร ”
ราชาพิมพิสารพอทรงสดับพระพุทธบรรหาร จึงทรงกราบบังคมทูลขอพระราชอนุญาตหลั่งน้ำทักขิโณทกยังเบื้องพระพักตร์แห่งองค์จอมปราชญ์ทันที โดยครั้งนั้นจอมราชาได้ทรงกล่าวคำอุทิศส่วนพระราชกุศลว่า อทํโน ญาตีนํ โหตุ (ขอผลทานจงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้าเถิด)
ทันทีที่ทรงกล่าวจบสระโบกขรณีอันดารดาษไปด้วยปทุมชาติหลากสีสัน ก็พลันอุบัติขึ้นยังเบื้องหน้าของเหล่าเปรต พวกเขาต่างลิงโลดดีใจ รีบพากันลงไปอาบดื่มกินน้ำในสระกันเป็นการใหญ่ บัดนั้นเองพอร่างพวกเขาสัมผัสน้ำ รูปร่างจากที่เห็นแล้วอุจาดตา ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นสุกใสเรืองรองราวกับทองทา ปรากฏขึ้นมาแทน ความหิวความกระหาย ตลอดจนความทุกข์ทั้งหลาย ก็ถึงกาลระงับดับคลาย เหือดหายลงไปจนหมดจนสิ้น
หลังจากที่ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลของเมื่อวันวานไปให้แล้ว จากนั้นจอมกษัตริย์ก็ทรงถวายภัตตาหารของเช้าวันใหม่อันมีข้าวสวยข้าวยาคู แลสรรพอาหารนานาชนิดแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคอีก ครั้งนี้เมื่อทรงถวายเสร็จก็ทรงรีบอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตพระญาติทันที
ทันใดนั้นบรรดาโภชนาทิพย์อันประกอบไปด้วยอาหารหวานคาวชนิดต่างๆ ก็พลันอุบัติขึ้นยังเบื้องหน้าพวกเขาทันทีเช่นกัน ไม่พอเท่านั้น หลังจากสมเด็จพระพุทธองค์ทรงฉันภัตตาหารเสร็จจอมราชันย์ก็ทรงถวายผ้าไตรจีวร เสนาสนะ แลคันธกุฎีแด่พระศาสดาอีก พอทรงถวายเสร็จก็ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้กับเปรตพระญาติอีก ทันใดนั้นผ้าทิพย์แลวิมานทิพย์ก็พลันอุบัติขึ้นแก่พวกเขา
เนื่องจากพอพระองค์ทรงกล่าวคำอุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้ บรรดาเปรตต่างก็ยกมือพนมไหว้ร่วมอนุโมทนาในบุญ ทำให้บุญที่อุทิศเกิดเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศล (บุญเกิดจากการยินดีเมื่อรู้หรือเห็นผู้อื่นทำความดี) ยังผลให้พวกเขาได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรตได้ในที่สุด ต่างพากันไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาพร้อมกันถ้วนหน้า ได้ครอบครองทิพสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ต่อไปอีกนานแสนนาน .
จากเรื่องที่นำมาเล่าคงพอจักเห็นถึงอานุภาพของผลกรรมที่ทำกันแล้ว ขึ้นชื่อว่าบาป แม้จักมีเพียงปริมาณเล็กน้อย แต่ผลของมันนั้นช่างหนักหนาแสนสาหัสนัก ฉะนั้นหากผู้ใดไม่ปรารถนาจักไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตแล้ว นับแต่นี้ต่อไปก็ขอจงหมั่นสร้างสมแต่คุณงาม หมั่นกระทำแต่ความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจักได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงๆ จักได้ไม่ต้องมาทนโศกาอาดูรเหมือนดังกับเปรตพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารดังที่บรรยาย
ด้วยความปรารถนาดี
สืบ ธรรมไทย
ที่มา : พุทธชาดก / โลกทีปนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)