ค้นหาในเว็บไซต์ :

สามเณรเฒ่าผู้ไม่ย่อท้อ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  

สามเณรเฒ่าผ็ไม่ย่อท้อ

ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เขาเป็นคนใจบาปหยาบช้าเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันจักออกจากบ้านเข้าป่าไปล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นทวิบาทตัวเล็กตัวน้อย หรือจตุบาทที่มีร่างกายใหญ่โต หากว่าเนื้อหรือหนังของมันกินได้ขายได้ล่ะก็ เขาจะไม่รีรอที่จะเข้าไปประหัตประหาร แล่เอาเนื้อเอาหนังของสัตว์ตัวผู้เคราะห์ร้ายนั้นไปขายแลกทรัพย์ทันที จากนั้นก็นำทรัพย์ไปใช้บำรุงบำเรอความสุขแห่งตนโดยมิได้ละอายต่อชั่วหรือกลัวต่อบาปแต่อย่างใด

วันหนึ่งเขาไปพบเข้ากับมฤคชาติใหญ่วัยฉกรรจ์ตัวหนึ่งโดยบังเอิญ มันเป็นกวางที่มีเขาสวยงามเป็นอย่างยิ่ง กำลังยืนกินดินโป่งอยู่ใต้ไม้ใหญ่กลางทุ่งหญ้าห่างออกไปเป็นระยะที่ไกลพอควร พอเห็นเขาก็แสนดีใจ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นเนื้อของมัน หนังของมัน หรือเขาของมัน ล้วนนำไปขายแลกทรัพย์ได้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงรีบหมอบลงพื่อรอจังหวะดักยิง แต่เนื่องจากป่าแถวนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่โล่ง หากจะเข้าไปใกล้เขาก็เกรงจะทำให้มันไหวตัวเสียก่อน แล้วก็จักพานหนีไป จึงจำต้องเฝ้าอยู่ห่างๆ

กระทั่งเห็นมันง่วนอยู่กับการกินดินโป่งอย่างมิได้ระแวดระวังเขาจึงค่อยๆยกคันธนูเล็งไปที่ก้านคอ น้าวสายคันธนูไปข้างหลังจนสุดแขน ด้วยเป้าหมายนั้นอยู่ไกล โอกาสยิงซ้ำคงยาก เพื่อป้องกันความผิดพลาดเขาจึงยิงไปด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่มี

เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังหวีดหวิว พุ่งเข้าหาเจ้ากวางใหญ่ด้วยความรวดเร็วและรุนแรง แต่ชะรอยชะตามันคงจักยังไม่ถึงฆาต ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด อยู่ดีๆมันก็ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าสองก้าวเสียยังงั้น ฉะนั้นลูกศรที่ว่าเล็งไว้แล้วอย่างดิบดีแทนที่จะพุ่งไปปักที่คอ มันจึงพลาดไปโดนที่สะโพกแทน

ฝ่ายเจ้ากวางเขางามที่กำลังเพลินอยู่กับการกินดินโป่ง จู่ๆมีอะไรไม่รู้มาปักเข้าที่ก้นมันก็ให้ตกใจเป็นกำลัง ส่งเสียงโอ๊กเสียจนสนั่นป่า พร้อมกันนั้นก็ถีบขาหลังกระโจนไปข้างหน้าหายลับไปในพริบตา พรานใจบาปเมื่อเห็นลาภก้อนใหญ่อันตรธานไปต่อหน้าเขาก็ให้แสนขัดอกเคืองใจ จึงไม่รอช้า รีบตามเจ้ากวางลำบากไปทันทีเช่นกัน

เขาออกตามรอยมันมาตั้งแต่ยังมิทันจักสายก็ว่าได้ จนบัดนี้ตะวันได้เคลื่อนผ่านกึ่งกลางศีรษะไปก็พักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นแม้เงา ยิ่งอากาศในดงราวป่าช่วงคิมหันตฤดูเวลานี้ มันก็แสนอบอ้าวเสียนี่กระไร ดังนั้นเขาจึงรู้สึกกระหายน้ำเป็นกำลัง หลังจากทนมาพักใหญ่ในที่สุดเขาก็มิอาจที่จะทนต่อไปได้อีก จำต้องทิ้งร่องรอยของเจ้ากวางไว้ก่อน ออกสำรวจดูรอบๆว่าพอจะมีแหล่งน้ำอยู่ในที่ใดบ้าง จะได้เข้าไปดื่มกินดับความกระหายที่มีอยู่อย่างมากล้นพ้นประมาณนี้เสีย

และก็ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ละแวกนั้นมีวัดป่าแห่งหนึ่งตั้งอยู่พอดี เจ้าอาวาสเป็นสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี พรานใจบาปครั้นสะเปะสะปะมาเจอวัดเข้าก็ให้แสนดีใจ รีบวิ่งไปทันใด เมื่อถึงก็เห็นนอกชานกุฏิหลังหนึ่งมีโอ่งน้ำตั้งอยู่ จึงไม่รอช้า รีบเปิดฝาคว้ากระบวย ตักจ้วงลงไปทันที! แต่ที่ไหนได้ ในโอ่งกลับมีแต่ความว่างเปล่า หาได้มีน้ำใสขาวแม้เพียงสักหยดสักหยาดที่พอจักให้เปียกมือ! พอเห็นดังนั้นด้วยอารมณ์ที่ขัดใจ เขาจึงผรุสวาทออกไปด้วยเสียงอันดัง

“ เว้ย! สมณะหัวโล้น ไฉนจึงเป็นคนถ่อยเกียจคร้านเสียเต็มประดา กะอีแค่น้ำท่าพอจักให้ชุ่มมือสักหน่อยก็ยังไม่มีตักหาติดตุ่มเอาไว้ ตัวเองฤาก็อาศัยข้าวชาวบ้านแท้ๆ แทนที่จะมีน้ำใจตอบแทนบ้าง นี่กระไรกลับแล้งน้ำใจถึงปานฉะนี้! ” เสียงที่ตะโกนได้ดังไปจนถึงหลังวัด ทำให้เจ้าอาวาสซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่ จำต้องละทางจงกรมเดินขึ้นมาดู

พอมาถึงก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนตาขวางจ้องมาที่ตน พระคุณเจ้ามองดูบุรุษเบื้องหน้าเห็นแต่งกายคล้ายกับพวกพรานป่า ผมเผ้ายาว หนวดเครารุงรัง มือซ้ายถือหอก มือขวาถือธนู จึงถามไป “ มีเรื่องใดหรือโยม ไฉนจึงร้องเอะอะโวยวาย? ”

พรานอารมณ์ร้อนด้วยถูกความหิวครอบงำ พอฟังจึงไม่รอช้า รีบตอบกลับทันที “ นี่สมณะ! ตัวท่านรึก็เป็นถึงผู้ทรงศีล เหตุใดจึงมิได้มีใจเมตตาเยี่ยงนักบวช อากาศร้อนอบอ้าวอย่างนี้แทนที่จะตักหาน้ำท่าติดตุ่มไว้บ้าง เผื่อมีใครผ่านมากระหายจะได้ดื่มกิน นี่กระไรกลับปล่อยเสียจนแห้งตุ่ม ทั้งที่วันๆก็มิได้มีกิจการงานใดจักต้องทำเหมือนฆราวาสเขา ชะรอยคงเอาแต่หลับอยู่แต่ในกุฏิเสียล่ะกระมัง? ”

พระคุณเจ้าผู้ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่จู่ๆถูกต่อว่าก็ให้สงสัย จึงเดินไปดูที่โอ่ง พอเปิดฝาขึ้นก็เห็นมีน้ำอยู่เต็ม หาได้ลดหรือพร่องลงไปเหมือนดังที่ชายเบื้องหน้าพูดไม่ ก็จะให้พร่องอย่างไร ในเมื่อเช้าที่ผ่านมาท่านเพิ่งจักสั่งให้พระลูกวัดตักเติมเอาไว้จนเต็ม! พอเห็นดังนั้นจึงหันมากล่าวกับพรานป่า “ โยม! น้ำก็มีเต็มตุ่มนี่นา ไฉนจึงว่าไม่มี? ”

พรานใจบาปผู้ซึ่งกรรมกำลังจะตามให้ผล พอฟังก็เหมือนกับว่ามีใครเอาน้ำมันไปราดที่ในกองเพลิง รีบสวนคำพูดไปทันที “ นี่สมณะ! น้ำแห้งจนไม่เหลือสักหยดแต่ท่านกลับกล่าวว่ามีน้ำเต็มตุ่ม เออแน่ะตัวท่านหรือก็นุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่ไฉนกลับประพฤติ ตนดั่งเช่นคนถ่อยไปเสียได้! ” องค์เถระพอถูกตำหนิซ้ำท่านก็ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ จึงเพ่งไปที่ใบหน้าเขา

ครานั้นเองด้วยฤทธิ์แห่งอรหันต์ พอท่านมองหน้าเขาอยู่ชั่วขณะก็ทราบทันทีว่าบุรุษผู้นี้ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจโหดร้ายชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เป็นอาจิณ แลบัดนี้ก็ถึงเวลาที่บาปเหล่านั้นกำลังจักให้ผล ดังนั้นจึงดลบันดาลให้เขามองไม่เห็นน้ำ ทั้งๆที่น้ำก็มีอยู่เต็มตุ่ม! พอรู้ดังนั้นด้วยเมตตาจิตคิดที่จักสงเคราะห์เขา องค์เถระจึงกล่าวขึ้นว่า “ โยม หากโยมไม่เชื่อ งั้นเดี๋ยวอาตมาจักตักให้โยมดื่มก็แล้วกัน ” ว่าแล้วท่านก็หยิบกระบวยจ้วงลงไปในโอ่ง จากนั้นก็ยื่นส่งมาให้เขา

พรานใจบาปเฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของภิกษุเบื้องหน้าอยู่ตลอดเวลา พอเห็นท่านยื่นกระบวยส่งมาก็รู้สึกมันช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียนี่กระไร สงสัยพระรูปนี้คงเห็นเขาเป็นทารกอมมือกระมัง จึงแกล้งหยอกล้อเช่นนี้ ดังนั้นจึงคิดจะต่อว่ากลับไปให้เจ็บๆสักที!

ขณะกำลังจะเอ่ยปากสายตาเขาก็พลันสะดุดเข้ากับแววตาของท่านที่มองมา มันเป็นแววตาที่เขาไม่เคยพบจากผู้ใดมาก่อน เนื่องจากมันช่างเปี่ยมไปด้วยเมตตาเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจักพึงมีจริงๆ! ดังนั้นคำพูดที่คิดจะต่อว่าจึงยังมิทันได้หลุดจากปาก ตรงข้ามเขากลับยื่นมือออกไปหมายจะรับเอากระบวยน้ำมาดื่มด้วยต่างหาก แต่พระคุณเจ้า ท่านส่ายหน้าช้าๆ เหมือนดังจักบอกให้เขาดื่มจากกระบวยที่ท่านถืออยู่อย่างนี้นี่แหละ ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงไปดื่มโดยที่มีท่านเป็นผู้คอยถือกระบวยให้ พอปากสัมผัสกับกระบวยเขาก็รับรู้ถึงความชุ่มย็นของน้ำทันที จึงให้รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น แต่เนื่องจากขณะนั้นมีความกระหายอย่างล้นเหลือ เขาจึงดื่มน้ำติดกันรวดเดียวไปเป็นจำนวนถึง ๓๒ กระบวย พอความกระหายหมดไป ความโกรธที่คุอยู่ภายในก็ดับลงไปเช่นกัน ดังนั้นจึงได้สติพร้อมกับคิดว่า

“ อะหา! น้ำก็มีเต็มโอ่งนี่นา เหตุไฉนจึงมองไม่เห็น? ฤาจักเป็นเพราะบาปที่เราทำไว้เข้ามาปิดตาทำให้เราตามืดบอดไป นี่ขนาดไม่ตายยังให้ผลเพียงนี้ หากว่าตายจริงๆเห็นทีบาปนี้คงจักนำเราลงอบายเสียเป็นแน่ ” พอคิดดังนี้เขาก็รู้สึกสลดสังเวชถึงการกระทำของตนที่ผ่านมา จึงทรุดกายวางหอกลงกับพื้น พร้อมกับปลดคันธนูลงจากหลัง จากนั้นก็ก้มลงกราบแทบบาทของพระคุณเจ้า ขอร้องท่านให้ช่วยบรรพชาให้กับเขาด้วย

องค์เถระพอฟังคำขอของพรานผู้สำนึกผิดท่านก็มิได้ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ ได้แต่นิ่งมองหน้าเขาอยู่ชั่วขณะ หลังจากพิจารณาท่านก็เห็นว่าบุรุษผู้นี้ถึงจะเป็นผู้ที่ก่อกรรมทำบาปมามากก็จริง แต่เนื้อแท้จิตใจยังพอเป็นผู้ขัดเกลาได้ ดังนั้นจึงยอมให้เขาบรรพชาเป็นสามเณร แต่ไม่อนุญาตให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ด้วยเกรงว่าหากบวชพระให้เขาอาจจักไปก่อเรื่องที่ผิดธรรมหรือผิดวินัยที่ร้ายแรงขึ้นมา แล้วก็จะกลายเป็นบาปติดตัวไปเสียเปล่าๆ

สามเณรโข่งหลังบวชเข้ามาเป็นพุทธบุตรก็มิได้มีความเกียจคร้านแต่อย่างใด ตั้งใจปฏิบัติพระ กรรมฐานอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งที่จิตจะรวมเป็นสมาธิภาพนิมิตของสัตว์ที่เคยประหัตประหารเอาไว้สมัยที่ยังเป็นพรานไพรใจบาปอยู่ ก็ปรากฏเข้ามาทางมโนทวารให้เขาได้เห็นทุกครั้งไป

บางตัวก็แสดงทีท่าดุร้ายหมายจะขบจะกัด บางตัวก็ตีปีกพับๆตั้งท่าจะจิกจะตี ทำให้เขามิอาจทำใจให้สงบได้ พอจิตจะรวมคราใดก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป เมื่อเป็นบ่อยเข้าๆ เขาจึงเริ่มท้อแท้ คิดว่าตนคงไร้วาสนา บาปที่เคยก่อไว้คงจะมากเสียจนไม่มีทางแก้แล้วกระมัง ภาพเหล่านี้ถึงได้ตามมาหลอกมาหลอน

จนเช้าวันหนึ่งเมื่อความอดทนถึงที่สุดเขาจึงเดินไปยังกุฏิท่านพระอุปัชฌาย์ ตั้งใจจะขอท่านสิกขาลาเพศออกไปเป็นฆราวาสเหมือนเดิม ด้วยอยู่ต่อก็เป็นการสิ้นเปลืองข้าววัดไปเสียเปล่าๆ หาได้มีประโยชน์อันใด ฝ่ายอาจารย์พอเห็นลูกศิษย์มาหาแต่เช้าก็รู้แล้วว่าเขามีความคิดใด จึงแสร้งทักไป “ อ้าวเณร มีเรื่องใดรึ? เดินหงอยยังกับไก่เป็นโรคมาหาแต่เช้าเชียว! ”

ปกติเณรเฒ่าพอฟังอาจารย์ทักก็จักต่อปากต่อคำด้วย แต่เช้านี้เขากลับเงียบขรึมผิดปกติ พอมาถึงก็ไม่พูดไม่จา ทรุดตัวลงกราบได้ก็ระบายความในใจให้กับผู้เป็นอาจารย์ทราบทันที

พระคุณเจ้าหลังฟังลูกศิษย์ระบายความอัดอั้นให้ฟังก็มิได้แสดงความเห็นใด ได้แต่บอกก่อนสึกไปขอแรงช่วยทำความสะอาดวัดที่มันรกอยู่เวลานี้ให้มันสะอาดสะอ้านขึ้นหน่อยเถิด นึกว่าช่วยเอาบุญก็แล้วกัน สามเณรอดีตพรานไพรใจทมิฬพอฟังอาจารย์มิได้บังคับให้ตนต้องฝืนทำพระกรรมฐานต่อ เพียงแต่ให้ทำความสะอาดวัดเท่านั้น ก็ให้แสนดีใจ รีบวิ่งไปหยิบเอาจอบเอาพร้ามาทันใด จากนั้นก็ลงมือเก็บกวาดถากถางทันที ฝ่ายอาจารย์พอสั่งแล้วก็มิได้สนใจจะอยู่กำกับดูแล เดินกลับกุฏิไปเสียยังงั้น ปล่อยให้ศิษย์ดำเนินการไปแต่เพียงลำพัง

กล่าวถึงเณรโข่งแม้สติปัญญาจะโง่เขลา กิริยาหยาบกระด้าง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้แรงหรือใช้กำลังแล้ว ต้องถือว่าเขามีความสามารถยิ่งกว่าผู้ใดจริงๆ เพียงคล้อยหลังอาจารย์ไม่เท่าไหร่บริเวณวัดที่ว่ารกราวกับป่าฉับพลันก็ค่อยๆสะอาดสะอ้านขึ้นมาเป็นลำดับ ตรงไหนที่เดินไม่สะดวกเคยมีกิ่งไม้ยื่นออกมาเกะกะกีดขวาง เพื่อนก็ตัดก็รานเสียจนโล่งเตียน ตรงไหนที่อึดอัดหายใจไม่ปลอดโปร่งเนื่องจากมีใบไม้หล่นมาสุมเสียจนเหยียบไม่ถึงพื้น เพื่อนก็ตักก็ขนเอาไปทิ้งจนหมดสิ้น

สามเณรร่างยักษ์ยิ่งออกแรงทำงานมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งดูสดชื่นแจ่มใสมากเท่านั้น! เขาเริ่มทำความสะอาดตั้งแต่ยังมิทันจะสางดีก็ว่าได้ จนบัดนี้ก็ล่วงเข้าไปบ่ายคล้อยจวนจะเย็นย่ำค่ำมืดแล้ว บรรดากิ่งไม้ที่ขนมากองหากผู้ใดมาเห็นเข้า รับรองจักต้องตกอกตกใจเสียเป็นแน่ เพราะขนาดของมันนั้นใหญ่ราวกับภูเขาเลากาก็ว่าได้

หลังจากพยายามมองหาว่ายังมีตรงไหนจักต้องเข้าไปเก็บกวาดอีกหรือไม่ ปรากฏทั่วทั้งบริเวณวัดต่างสะอาดสะอ้านไปหมด จักได้มีซอกไหนมุมไหนที่ยังดูรกรุงรังหรือดูขัดหูขัดตานั้น หามิได้เลย! เมื่อไม่มีสิ่งใดจะทำเขาจึงวางจอบวางพร้าลง ทรุดกายนั่งพักอยู่ใต้โคนไม้ต้นหนึ่ง หลังจากหายเหนื่อยจึงเดินไปยังกุฏิท่านอาจารย์เพื่อเรียนถึงความสำเร็จของภารกิจ

ท่านเจ้าอาวาสพอฟังรายงานก็ออกมาดู พอเห็นกองกิ่งไม้ที่เขาขนมารวมไว้ก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก เนื่องจากนึกไม่ถึงว่ามันจักมีขนาดใหญ่โตถึงเพียงนี้ กองไม้เบื้องหน้าหากให้คนทั่วไปทำกัน ก็ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนอย่างน้อย ๘ ถึง ๑๐ คนถึงจักได้กองใหญ่ปานนี้ แต่นี่กลับเกิดจากแรงงานของคนเพียงคนเดียวเท่านั้น มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ!

หลังตรวจดูคร่าวๆท่านก็เห็นว่างานที่มอบหมายไปสำเร็จด้วยดี จึงสั่งให้เขาเผาซากกิ่งไม้นี้เสีย เพื่อมิให้เกะกะรกลูกนัยน์ตาหรือส่งกลิ่นเหม็นเน่าตามมาได้ในภายหลัง ด้านศิษย์พอฟังก็ไม่รอช้า รีบวิ่งไปหยิบดุ้นฟืนจากเตาที่พระลูกวัดกำลังต้มน้ำร้อนอยู่มาท่อนหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งกลับมา พอถึงก็โยนท่อนฟืนไปที่ซากกองกิ่งไม้ทันที แล้วก็ถอยออกมายืนกอดอกถ่างขา รอดูว่าเมื่อไหร่ไฟมันจักลุกพรึบขึ้นมา

เขารออยู่พักใหญ่จนยุงเริ่มออกมาตอมก็แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้เพียงประกายไฟ จนสุดท้ายอดรนทนไม่ได้จึงเดินเข้าไปดูว่าไฉนไฟมันจึงไม่ติดสักที ปรากฏนอกจากไฟจักไม่ติด แถมฟืนที่โยนไปยังดับตามไปด้วยต่างหาก

พุทโธ่! มันจะติดได้ยังไง? ก็ไม้พวกนี้มันเพิ่งตัดออกมาใหม่ๆสดๆ ต่อให้จุดกันเป็นวันมันก็จุดไม่ติด โน่น! ต้องทิ้งไว้สักเดือนหรือครึ่งเดือนนั่นแหละ มันถึงจะจุดติด

แต่เณรโข่งผู้นี้ก็หาย่อท้อไม่ ยังพยายามวิ่งไปขอฟืนจากพระลูกวัดเพื่อจักนำมาเผากองขยะกองนี้ให้จงได้ กระทั่งฟืนในเตาแทบไม่เหลือสักดุ้นเขาก็ยังจุดไฟไม่ติด สุดท้ายวิ่งไปกลับหน้าวัดหลังวัดหลายเที่ยวเข้าเขาก็หมดแรง เลยทรุดตัวนั่งหอบมันอยู่หน้ากองไม้เสียยังงั้น

ฝ่ายอาจารย์ที่ยืนเฝ้าห่างๆเมื่อเห็นลูกศิษย์ไม่สามารถจุดไฟได้ จึงเดินเข้าไปถาม “ ว่ายังไงเณร! ยังจุดไฟไม่ติดรึ?” เณรร่างใหญ่ซึ่งกำลังอ้าปากพะงาบๆหอบหายใจด้วยหมดแรงที่จะลุกจู่ๆพอได้ยินเสียงทักก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ รีบหันมามอง พอเห็นอาจารย์ยืนอยู่หลังตนจึงยกมือพนมตอบไปว่า “ ยังขอรับ เกล้าพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็จุดไม่ติด สงสัยกิ่งไม้พวกนี้มันยังสดอยู่ คงต้องรอสักเดือนครึ่งเดือนแหละขอรับถึงจักเผาได้ ”

ผู้เป็นอาจารย์พอฟังก็ถึงกับอุทานลั่นออกไป “ อะไร! นานขนาดนั้นเชียว? โอ๊ย..รอนานอย่างนั้นไม่ได้หรอก เอาอย่างนี้ หากเณรเผาไม่ได้เดี๋ยวฉันจะเผาให้ก็แล้วกัน ” ว่าแล้วพระคุณเจ้าท่านก็เพ่งลงไปที่พื้นปฐพี

บัดนั้นเองด้วยฤทธิ์แห่งอรหันต์ พื้นแผ่นดินที่ราบเรียบอยู่ดีๆพอถูกอานุภาพแห่งอภิญญาสมาบัติเพ่งใส่ ฉับพลันมันก็ค่อยๆแยกตัวออกจากกัน จนมองลึกลงไปถึงอเวจีมหานรก ภาพสัตว์นรกที่กำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะถูกเปลวไฟเผาผลาญก็ปรากฏเป็นที่ประจักษ์เต็มสองตาของสามเณรโข่ง

แล้วจู่ๆองค์เถระท่านก็เอื้อมมือไปหยิบเอาสะเก็ดไฟที่เห็นแตกกระจายอยู่เกลื่อนพื้นนรกขึ้นมาลูกหนึ่ง ขนาดประมาณเท่ากับแสงแห่งก้นของหิ่งห้อยเห็นจักได้ จากนั้นท่านก็โยนเจ้าลูกไฟนี้ไปที่กองซากกิ่งไม้เบื้องหน้า บัดนั้นเองด้วยอานุภาพแห่งไฟนรก กองกิ่งไม้ที่ว่าใหญ่โตราวภูเขาเลากาพอถูกลูกไฟหล่นใส่ยังไม่ทันที่จะกระพริบตา ฉับพลันมันก็อันตรธานหายไปจากตรงหน้า ราวกับว่าไม่เคยมีกองซากกิ่งไม้มาก่อนยังไงก็ยังงั้น! เหลือแต่เพียงเศษเถ้าธุลีกองใหญ่ทิ้งไว้เป็นหลักฐาน

สามเณรเฒ่าพอเห็นอานุภาพอันร้อนแรงสุดประมาณของไฟนรกเข้า เขาก็ถึงกับหน้าซีดตัวสั่น หงายหลังล้มลงไปกองกับพื้นทันที องค์เถระซึ่งเฝ้าจับจ้องอากัปกิริยาของศิษย์อยู่ตลอดเวลา พอเห็นอาการหวาดกลัวของเขามีมากสุดประมาณจึงไม่รอช้า รีบสำทับไปทันที

“ เอาล่ะเณร! กิ่งไม้พวกนี้เราใช้สะเก็ดไฟในนรกเผาให้แล้วนะ เธอคงเห็นถึงอานุภาพมันแล้ว ใครที่เคยทำบาปเอาไว้มากๆ อย่างพวกที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตายไปก็ต้องไปตกอยู่ในนรกขุมนี้นี่แหละ เอ้า! ไหนว่าจะสึกไม่ใช่รึ? มาๆ รีบๆเข้า ประเดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อน ”

เณรเฒ่าซึ่งกำลังนั่งสั่นพับๆเป็นเจ้าเข้า พอฟังอาจารย์เตือนเรื่องที่ตนมาขอให้ท่านสึก ก็ยิ่งเกิดอาการหวาดหวั่นขวัญผวาเข้าไปใหญ่ ค่อยๆยกมือพนมตอบอาจารย์ไปด้วยเสียงที่สั่นฟันกระทบกันว่า “ ข้า..แต่..อาจารย์ หาก..ศิษย์..สึก..ไป..วันนี้ เห็นที..คงไม่..แคล้ว..ต้อง..ลง..นรก..เมื่อครู่..ใช่..มั้ย ขอรับ? ” ผู้เป็นอาจารย์พอฟังจึงตอบสวนไปทันที “ อ๋อแน่นอน! ต้องลงแน่ ว่ายังไง? ตกลงจะสึกตอนนี้เลยใช่มั้ย? ”

ศิษย์เฒ่าพอห็นสีหน้าขึงขังของอาจารย์จึงคิด “ วันนี้หากเราขืนสึกไป เห็นทีคงไม่รอดไปจากนรกแน่ อย่ากระนั้นเลย อย่าไปส่งไปสึกมันเลยดีกว่า! ” พอคิดดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบตอบผู้เป็นอาจารย์ว่า “ ข้าแต่อาจารย์ ศิษย์มาคิดดู ที่ผ่านมาศิษย์อาจจักยังความเพียรไม่พอ จึงเป็นผลทำให้ใจไม่หนักแน่น ศิษย์คิดว่านับแต่คืนนี้ไปศิษย์จักขอปฏิบัติธรรมยังความเพียรให้ถึงที่สุด แหละจักขอดูซิว่าเจ้าบาปอกุศลที่ตามมาหลอกมาหลอน มันยังจะตามมาราวีกับศิษย์ได้อีกหรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ขออยู่ต่อดีกว่า ขอรับ! ”

องค์เถระพอฟังยังไม่แน่ใจ จึงถามย้ำไปอีก “ ตกลงว่าไม่สึกใช่มั้ย? ” สามเณรโข่งไม่รอให้อาจารย์พูดจบ รีบสวนคำพูดกลับทันที “ ไม่ขอรับ! ” ก็จะให้สึกยังไง ขืนสึกออกไปเขาคงไม่แคล้วต้องกลายไปเป็นหมูหันเสียเป็นแน่!

นับจากนั้นเณรโข่งอดีตพรานไพรใจบาปก็เร่งทำความเพียรอย่างไม่ย่อท้อ จนในที่สุดผลแห่งการปฏิบัติก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ได้บรรลุอนาคามีผล กลายเป็นพระอริยบุคคลหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือแห่งนรกได้ตลอดกาล.

จากเรื่องที่นำมาเล่าหวังว่าคงพอทำให้หลายท่านที่ท้อต่อการทำความดีคงมีพลังใจเพิ่มขึ้นบ้าง ขนาดคนบาปอย่างพรานไพรใจทมิฬ พอมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง เขาก็ยังสามารถพาตนให้พ้นไปจากเงื้อมมือของนรกได้ แล้วนับประสาอะไรกับท่านที่อ่านนิทานเรื่องนี้ คงไม่มีใครยอมน้อยหน้าเณรเฒ่าอยู่แล้ว...ใช่มั้ย?

ด้วยความปรารถนาดี
สืบ ธรรมไทย

ที่มา : พุทธชาดก / โลกทีปนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)

11






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย