วสวัตตีมาราธิราชคำกลอน(ภาคแรก) ๑
สมาบท
จบเศียรราบ กราบครู บูชาไหว้
ปวงเทพไท้ ใกล้ไกล ที่ในหล้า
ข้าจักขอ ร่ายพจน์ รจนา
ถึงองค์มาร พาลกล้า ท้าฟ้าดิน
หากความร้อย ถ้อยเรียง สำเนียงพล่อย
วอนเทพพลอย คล้อยกรรม คำติฉิน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิตรหลายหลาก หากได้ยิน
ขอนบสิ้น นอบน้อม พร้อมกายใจ
สืบ ธรรมไทย
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘
วสวัตตีมาราธิราช
(ชมพิมาน)
ณ เมืองแมน แดนสวรรค์ อันบรรเจิด
ช่างงามเลิศ เพริศพราย ประกายแสง
เปล่งปลั่งเหลือง เรืองรอง ทองสุกแดง
พลอยหลากแสง แกมประดับ สลับกัน
ปรางค์ปราสาท ดารดาษ เกลื่อนกลาดเพชร
เลื่อมลายเกล็ด กนก ครบสีสัน
ไพฑูรย์นิล ไพลินมุก บุษราคัม
งามเฉิดฉัน ประชันจ้า พร่าประกาย
เชิงช่อฟ้า ใบระกา ประพาฬส่อง
แดงสะท้อน มองไป ให้เฉิดฉาย
แทรกเขียวเห็น โกเมนวาม งามจับใจ
พิศเพลินให้ ฝังจิต ติดอุรา
มุขหน้าบัน พรรณราย ลายรดน้ำ
ทับทิมวาม งามเด่น เป็นนักหนา
มรกต ประกบข้าง พร่างนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบรำพัน
หลังคาแก้ว แววนวล ชวนให้พิศ
ครอบมุงปิด ด้วยมุกดา ยิ่งพาฝัน
ปักธงทิว พลิ้วไหว ลวดลายประชัน
คันธงนั้น ล้วนทอง ล้อมเพทาย
กระดึงน้อย ร้อยพัน รังสรรค์ติด
วามสัมฤทธิ์ พิศตระการ อร่ามฉาย
สะบัดแกว่ง แข่งลม ชมเพลินใจ
กริ๊งกร๊างใส แว่วเสียงไกล ไปกับลม
แสงสีเสียง พร้อมเพรียง จำเรียงเหมาะ
ฟังไพเราะ เสนาะใจ ให้สุขสม
ดูวิจิตร ติดตา คราได้ยล
ช่างงามล้น ชมชื่น เริงรื่นใจ
ปรนิม มิต วสวัตตี (ปะ-ระ-นิม-มิ-ตะ-วะ-สะ-วะ-ตี)
แดนสรวงที่ ดารา เจิดจ้าไสว
สูงเกินล้ำ สวรรค์ ชั้นใดใด
ผู้บุญใหญ่ ถึงเกิดได้ ไม่ง่ายยล
มีจอมฟ้า ราชา ฤทธิ์กล้านัก
ปกครองพรรค พวกพาล มารพหล
วสวัตตี ศรีหาว เจ้าโพยม
เทพเกลื่อนกล่น ต่างน้อมก้ม องค์ราชันย์
(ปางปฐม)
ครั้งศาสดา พระนามว่า กัสสปะ
โลกวิบัติ กลับเปลี่ยน เวียนสุขสันต์
ปวงประชา หน้าใส ใจชุ่มธรรม
ทั่วเขตขัณฑ์ ธรรมเด่น เปล่งประกาย
ศาสนา แผ่ไกล ไปทั่วหล้า
ถิ่นพนา ป่าเมือง ต่างเลื่อมใส
ราชประชา ไพร่ฟ้า ร่าเริงใจ
โลกสดใส ไร้ทุกข์ สุขด้วยธรรม
เบื้องอัมพร นครหาว พร่างพราวสุข
เบื้องสมุทร บาดาล ต่างสรวลสันต์
เทพอสูร ประยูรมาร บานหน้ากัน
พรหมสวรรค์ สันติสุข ไม่ทุกข์ใด
ณ แผ่นดิน กิงกิสสะ มหาราช
มีอำมาตย์ มากปัญญา น่าเลื่อมใส
จอมกษัตริย์ ตรัสถาม ซึ่งการใด
โพธิไข ตอบไว ได้เร็วพลัน
องค์ราชัน คลั่งบุญ รุนแรงนัก
มุ่งหวังจัก ถากถาง ทางสวรรค์
โลภกุศล จนหลงผิด ติดบ่วงกรรม
เกินยับยั้ง พลั้งร่วง ห้วงอบาย
มีคราวหนึ่ง ความถึง ซึ่งกษัตริย์
จอมสงฆ์จัก พักจิต คิดหลับใหล
เข้าสมาบัติ ดับทุกข์ สุขเหนือใคร
ใต้ไทรใหญ่ ห่างออกไป ไกลเวียงกวัง
มีกำหนด จบฌาน สมาบัติ
เจ็ดวันจัก ผละที่ มีสุขสันต์
ออกโปรดเวไนยให้ คลายบาปกรรม
สร้างกุศล ผลธรรม นำร่มเย็น
เพลานั้น ท่านว่าบุญ อดุลย์เลิศ
แสนประเสริฐ เกิดผล ได้ยลเห็น
อย่างเร็วใน เจ็ดวัน พลันเกิดเป็น
อย่างช้าเห็น เช่นกัน ทันก่อนตาย
องค์วิภู รู้คุณ บุญยิ่งใหญ่
รับสั่งไป ใกล้ไกล ห้ามใครหมาย
หวังได้บุญ อดุลย์เลิศ ประเสริฐไป
เฉียดกรายใกล้ พระจอมไตร ในเจ็ดวัน
ผู้ใดฝืน ขืนไป ลอบใส่บาตร
ต้องถูกพราก ชีวา ให้อาสัญ
โทษประหาร ผลาญตาย วายชีวัน
ทั่วชนชั้น ต่างพรั่น ทัณฑ์อาญา
โพธิทราบ คาดความ ตามดำรัส
แต่ยากหัก ตัดใจ อาลัยหา
ผลบุญใหญ่ ให้ไหว ในวิญญา
แม้นถูกฆ่า คุ้มค่าเหลือ เมื่อได้บุญ
จึงไม่รอ พอนาน พานกลอกกลับ
เร่งรีบจัด ภัตรพลัน หวังบุญหนุน
ถวายโภช โลกนาถ มากผลบุญ
ถึงชีพสูญ ไม่พรั่น พลันจรลี
ถึงมณฑล ร่มไทร แผ่ใหญ่กว้าง
รอบทิศวาง ยามเวร เกณฑ์เต็มที่
เฝ้าเตรียมพร้อม ล้อมวง องค์มุนี
โพธิรี่ ปรี่ใกล้ ไม่หวาดทัณฑ์
เหล่าทหาร ถามความ ตามหน้าที่
นายท่านมี เรื่องใด ไยหุนหัน
อำมาตย์คิด ตริตรอง มองนิ่งงัน
เท็จจริงนั้น ช่างเปรย เผยจริงจริง
หากจักตอบ บอกเท็จ เสร็จไม่ยาก
ฝ่าพระบาท กราบนิมนต์ องค์ทรงศีล
อาราธนา พระคุณเจ้า เข้าเวียงพิง
เพื่อป็นมิ่ง ขวัญแดน แคว้นผไท
แต่ใจหนึ่ง ตรึกถึง ซึ่งบุญบาป
มุสาวาท บาปนำ ธรรมไม่ใส
ทานผลน้อย บุญพลอย ด้อยค่าไป
เราจะไม่ ให้บาปผลาญ ทานบุญเรา
จึงร้องบอก ตอบไป ด้วยใจเด็ด
ไม่เอ่ยเท็จ สำเร็จกรรม ทำบาปเขลา
เรามาไกล ใจหมายมาด ตักบาตรเรา
แด่องค์เจ้า ก้าวผ่านภพ จบแดนดิน
พลอารักษ์ สดับคำ ท่านอมาตย์
ไม่อุกอาจ กุมจับ หรือตัดสิน
รีบแจ้งนาย รายงาน ความได้ยิน
ถ้วนทุกสิ่ง สิ้นทุกคำ ดั่งฟังมา
ขุนทัพฟัง รายงาน เดือดดาลลั่น
ตะโกนดัง ก้องไป ไม่ไว้หน้า
รีบจับกุม คุมส่ง องค์ราชา
พิพากษา อาญาราช พรากชีวัน
บัดนั้น กิงกิสสะ มหาราช
ให้เกรี้ยวกราด โกรธา พาหุนหัน
ก้องประกาศ พิพากษ์โทษ คนโปรดพลัน
น้อยฤาท่าน ทำเรา เศร้าเสียใจ
เหตุไฉน จึงย่ามใจ ไปทำผิด
มิรู้คิด ผิดพลาด มากเพียงไหน
เพชฌฆาต รีบกระชาก ลากตัวไป
บั่นคอให้ ใครอย่าเลียน เอาเยี่ยงตาม
เพลานั้น องค์พุทธะ นิรโศก
ออกนิโรธ โปรดสัตว์ ตัดสงสาร
ทรงเห็นภาพ อำมาตย์ มากศีลทาน
โพธิหาญ ดังสัตย์ ไม่กลับกลาย
จึงบันดาล ด้วยฌานฤทธิ์ สถิตอยู่
ใต้ไทรดู ดุจคู่เหมือน ไม่เลือนหาย
ส่วนองค์ท่าน นั้นพลันผละ สลับไป
ยังลานใหญ่ แดนประหาร ผลาญชีวัน
เสด็จพัก ประทับนั่ง บัลลังก์อาสน์
งามพิลาส มากมี รังสีเฉิดฉัน
หน้าอำมาตย์ ผุดผาดเด่น เห็นลำพัง
เพื่อเพิ่มขวัญ นำจิต ปิดอบาย
โพธิอาบ เอิบใจ ให้ดำริ
ปลื้มปีติ จิตมั่น ตั้งมุ่งหมาย
พุทธภูมิ ประยูรวงศ์ องค์จอมไตร
ทรงตอบได้ สมใจ ใฝ่จำนง
(สมปรารถนา)
เพลานั้น คมดาบฟัน บั่นคอขาด
จิตพุ่งวาบ ผงาดฟ้า ผ่าเวหน
ทะลวงลั่น สรวงสวรรค์ ชั้นเบื้องบน
เทพเกลื่อนกล่น โจษอึงอล จนทั่วกัน
สถิตบัลลังก์ นั่งฟ้า อาภาเขต
ทรงเศวต ฉัตรตรา ราชาสวรรค์
สูงเหนือเทพ เทวา มีมากัน
ลือนามลั่น เจ้าสวรรค์ ชั้นปรนิม
ทั้งชนก ครบครัน กรรมน้อยใหญ่
อุปถัมภ์ ค้ำไกล ไม่หมดสิ้น
บุญก่อเกิด เบิกบาน งามเหนือจินต์
ระบือยิ่ง สิ้นแดนสรวง ห้วงกามา
ครองไอศูรย์ สมบูรณ์ยศ ดิลกราช
แสนองอาจ ปราศทุกข์ สุขใดหา
ห้อมล้อมด้วย ทวยเทพ เทวดา
มากล้นหนัก ศักดา บารมี
เกริกเกียรตินาม แผ่กังวาน ท้าวมารใหญ่
ก้องสนั่น ลั่นไกล ไปทุกที่
เทพสวรรค์ ชั้นฟ้า ประดามี
สยบที่ วสวัตตี ปรีดิ์ฤทธา
ทิพสมบัติ อัครฐาน วิมานแก้ว
เพริศพราวแพรว แววตระการ งามนักหนา
เกินหาเทียบ เปรียบคำ พร่ำพรรณนา
หกชั้นฟ้า ที่มีมา หมองค่าไป
กามคุณ ละมุนละเมียด ละเอียดนัก
น่าสัมผัส จับต้อง ลิ้มลองไฉน
ล้วนประณีต วิจิตรงาม ซาบซ่านใจ
เกินหาไหน ใดเคียง เทียมเทียบทัน
ปรารถนา จักหาใด ให้นึกคิด
เทพมากฤทธิ์ เนรมิต ดั่งคิดฝัน
อยากสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น ท่านให้พลัน
สมดังหวัง ทุกครา พาย่ามใจ
ทั้งรูปเรียง เสียงรส ครบผัสสะ
ก่อมานะ กักขฬะพาล มารวิสัย
ห้อมล้อมสุข ทุกค่ำเช้า ยั่วเย้าใจ
ลืมหมดไซร้ ในใจหวัง ตั้งเจตนา
(มิจฉาทิฐิ)
เกิดมาใหญ่ ไร้ทุกข์ สุขเหนือคาด
แต่ประมาท หาบเขลา เศร้านักหนา
ปล่อยให้โลภ โกรธหลง วงศ์กามา
เข้าฉุดคร่า พร่าผลาญ รุกรานใจ
มีความคิด วิปริต ผิดอาเพศ
เห็นวิเศษ เหตุกามา น่าหลงใหล
ล้ำเลิศรส จักคบธรรม ไปทำไม
สัตว์มากหลาย โง่เหลือใจ เฝ้าใฝ่ธรรม
ไยด่วนละ พระนิพพาน ไม่พานหาย
สัตว์ทุกราย ถึงสุดท้าย ไม่กลายผัน
ต้องได้เข้า แดนเหงาสงบ หมดโทษทัณฑ์
รีบเร็วล้ำ ไปทำไม เศร้าใจจริง
สุขผัสสะ ประจักษ์มี ที่ในหล้า
ไม่นำพา นี่สิบ้า น่าติฉิน
สุขจากกาม งามเลิศ บรรเจิดจริง
ไยถวิล สิ้นคิด ติดในธรรม
ใครว่าทุกข์ มีแต่สุข ทุกกิเลส
หากได้เสพ สุขสม อารมณ์ฝัน
ตาหูลิ้น สิ้นกาย ใจได้ดัง
เหมือนดั่งหวัง ไม่พ้นฝั่ง ช่างประไร
จึงคนไหน มีใจ ใคร่หลุดออก
เครื่องพูนพอก สำรอกมาร หาญผลักไส
มารจะเข้า เฝ้าขวาง ผลาญเรื่อยไป
ชักจูงให้ ไถลคิด ผิดจากธรรม
ครั้งเมื่อพระ สิทธัตถะ ผละเวียงเกศ
ปลีกวิเวก ยังเขตไกล ในไพรสัณฑ์
ประทับโคน โพธิ์พฤกษ์ นั่งตรึกธรรม
ทรงบากบั่น กระทำถึง ซึ่งความเพียร
ด่านสุดท้าย ร้ายล้น ยากพ้นผ่าน
ด้วยเหล่ามาร ตามผจญ ยกพลเกลี้ยง
เข้าขัดขวาง ทางปฏิบัติ ขัดความเพียร
ต่างแผดเสียง สำเนียงก้อง จ้องฆ่าฟัน
พญามาร พาลใหญ่ ใจกำเริบ
จิตบังเกิด โกรธา บ้าโมหันธ์
เห็นจอมไตร ใจกล้า น่าชิงชัง
มุ่งห้ำหั่น ราวี ย่ำบีฑา
ก่อนวิสา ขเพ็ญ เห็นปรากฏ
มารปรารภ กลบไพร ใจร้อนร่า
ถ้าทรงธรรม ยังนั่ง ไม่นำพา
จักเข่นฆ่า พร่าให้ดิ้น สิ้นชีวี
หมู่ทหาร เสนามาร พาลน้อยใหญ่
สุขสมใจ ใคร่โจนใส่ ไปขยี้
ส่งเสียงร้อง ก้องสนั่น ลั่นปฐพี
พร้อมเคลื่อนที่ จรลี เข้าบีฑา
เหล่าทวยเทพ เทวา ที่อารักษ์
ครั้นสดับ สรรพเสียง สำเนียงฆ่า
กัมปนาท ตวาดร้อง ก้องพนา
ต่างหนีหน้า ลาเร้น เช่นพวกกลัว
ท้าวสุยาม เทวราช องอาจยิ่ง
เทพทั่วถิ่น นอบนบยิ่ง มิ่งเหนือหัว
ทั่วยามา หามีใคร ไม่เกรงกลัว
เพียงแค่ชั่ว พริบตาลับ หายวับไป
สันดุสิต โพธิราช ผู้ปราชญ์ล้ำ
ชื่อลือลั่น ด้วยภูมิธรรม นั้นมากหลาย
ถือเป็นบุตร พุทธวงศ์ องค์จอมไตร
โอ้ไฉน พลันทิ้งได้ ไม่ไยดี
ปัญจสิข จิตพรั่น ไม่หวั่นเยาะ
กลัวโดนเคราะห์ เหาะเมฆา ลี้หน้าหนี
ทิ้งองค์อินทร์ มิ่งขวัญ พรั่นฤดี
ธ จึงรี่ หลีกเร้น เช่นคนธรรพ์
ฝ่ายกาฬ นาคราช พังพาบติด
เลื้อยแนบชิด สนิทหล้า มุดหน้าหัน
แทรกปฐพี ดิ่งเร็วรี่ ลี้ลงพลัน
บรรทมแนบ แอบในถ้ำ ครั่นคร้ามใจ
ท้าวสหัม บดีพรหม ผู้ทรงฤทธิ์
เห็นรอบทิศ มืดมิดมาร พานผลักไส
อ้างฤทธิ์ตัว ชั่วน้อย ด้อยเกินไป
สู้ไม่ได้ ต้องจำใจ ไกลกลับวัง
เมื่อนั้น พระโคดม องค์จอมปราชญ์
พลันไร้ญาติ ขาดมิตร ไม่คิดฝัน
เหลือตนเดียว โดดเดี่ยว เปลี่ยวลำพัง
แต่ยังมั่น ไม่พรั่นลา หนีหน้าไกล
ทรงถือทาน มากพร้อม น้อมเป็นบาท
สองกรกราบ อภิวาทศีล สิ้นสงสัย
ภาวนา แรงกล้าประจักษ์ เสาหลักใจ
ไม่หวั่นไหว ไถลจาก ไม่หวาดเกรง
ทรงปัญญา ดุจศัสตรา เป็นอาวุธ
เมตตาหยุด ทุกข์ภัย ไม่ข่มเหง
บารมี สามสิบทัศ ยักษ์เทพเกรง
รวมลงเด่น เห็นสว่าง ท่ามกลางใจ