ค้นหาในเว็บไซต์ :

กุสติณราช ๕ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย

 pt  

หากใครเอ่ย เปรยเปรียบ เทียบรูปหล่อ
ไม่ลออ พอนาง งามเฉิดฉัน
แห่งแว่นแคว้น แดนใด ให้ท่านพลัน
ออกซุ่มถาม นามหญิงนั้น ในทันใด

ถึงหลักแหล่ง แห่งหน ตำบลอยู่
นางโฉมตรู พักตร์เพริศ งามเฉิดฉาย
เป็นหน่อเนื้อ เชื้อพงศ์ วงศ์วานใด
บอกไท้ใคร่ เชิญไป เข้าในวัง

เป็นสะใภ้ ราชา โอกกากราช
สืบทายาท ชาติไท ไอศวรรย์
พร้อมแจ้งหมาย โมงยาม ประมาณวัน
จักยกขัน หมากมาขอ ลออนาง

ตรัสจบลง องค์เกน เห็นอำมาตย์
หน้าประหลาด ปากอ้า ตาเบิกค้าง
ด้วยงุนงง สับสนเหลือ ในเนื้อความ
หันรีขวาง พลางสะดุด ผุดผ่องอนงค์

พลันตระหนก หกคะมำ ถลันกราบ
องค์ผุดผาด พิลาสเด่น เช่นนางหงส์
รูปหล่อนาง ตั้งข้าง ตั่งบรรทม
ท้าวสนม องค์ใด ไม่คุ้นเคย

องค์ชายา พาขัน ท่านอำมาต์
ลนลานกราบ มาศถี ที่นิ่งเฉย
เห็นรูปหล่อ ลออนัก ทึกทักเลย
จึงทรงเผย เฉลยไป ในทันใด

อมาตฟัง ความนัย ใจขัดข้อง
แท้รูปทอง หลอมมา พาสงสัย
จึงคลานเข่า เข้าจับ หัตถ์ทรามวัย
ให้ตระหนก ตกใจ ไหวผละพลัน

เอ่ยสำเนียง เสียงสั่น อัศจรรย์ยิ่ง
ช่างเหมือนจริง สิ้นองค์ นงสวรรค์
นารีใด ไหนเปรียบ จักเทียบทัน
คงหนีหัน อายหน้า ลาหลบไป

ช่างประเสริฐ เลิศนัก รัชทายาท
แสนเก่งกาจ มากเหลือ น่าเลื่อมใส
เหล่าพสก หมดแคว้น แดนไผท
ต่างเทิดให้ เป็นมิ่งใน ดวงใจประชา

แล้วทูลองค์ อ่อนไท้ คลายหวั่นคิด
เกล้าอุทิศ ชีวิตตน ท่องค้นหา
แม้ไม่พบ สบนาง ตามบัญชา
จักไม่หวนพารา กุสาวดี

จบสัญญา ท่านเสนา ทูลลากลับ
เร่งรีบจัด พรรคพล ออกค้นถี
ทรัพย์เสบียง เตรียมเหลือ เผื่อนานปี
เสร็จสรรพดี จรลี ราตรีกาล



ถึงชุมชน นิคมคาม คาราวานพัก
จัดประดับ นางทอง มองวาบหวาม
ยกนั่งแคร่ แลผาด พิลาสงาม
พลบวางข้าง ทางท่า ชลาลัย

แล้วหลบพุ่ม ไม้บัง ฟังคำอ้าง
คำวิจารณ์ นางทอง ผิวผ่องใส
หากด้อยกว่า พะงาถี นารีใด
สูงเพียงไหน ต่ำเพียงใด ไม่เลือกวรรณ

ก็จักแจง แสดงตน ตรงเข้าถาม
นามหญิงงาม เพริศตระการ ปานเสกสรร
ถิ่นพำนัก พักใด อยู่ไหนกัน
ประยูรวรรณ พันธุ์เผ่า เหล่ากอใด

แต่จนแล้ว จนเล่า เพียงเฝ้าซุ่ม
ไม่เคยพุ่ง ออกมา พาสงสัย
ฤาพิภพ หมดนาง งามอำไพ
จึงไม่กราย ชายใกล้ ให้แปลกจริง

ท่องเที่ยวดั้น ด้นไป ในผืนหล้า
ผ่านนครา พาราหลาก มากแม่หญิง
ถ้วนทุกนาง พานพบ ไม่สบจินต์
ไม่สูญสิ้น ความหวัง ฟันฝ่าไป



จนมาถึง เมืองงาม นามสาคละ
เจ้ามัททะ อธิราช ราษฎร์เลื่อมใส
ไม่เหี้ยมหาญ กร้านทัพ สักเท่าใด
แต่มีใจ รักชาติ มากคุณธรรม

ภูบดี มีธิดา สง่าแสน
เฉิดแฉล่ม แจ่มงาม ปานเสกสรร
ถึงแปดนาง สะคราญโฉม เด่นโนมพรรณ
เลื่องลือลั่น สนั่นไกล ไปทั่วแดน

ยิ่งเทวี ศรีสุดา ธิดาใหญ่
งามไฉไล กว่าใคร ไท้หวงแหน
ผิวผุดผ่อง ส่องประกาย เลื่อมพรายแกม
วาววับแสง ยามค่ำ ช่างอัศจรรย์

เหลืองอร่าม วามนวล ชวนให้พิศ
ห้องมืดมิด ยังสว่าง พร่างสีสัน
เมื่อนางอยู่ ภายใน สดใสพลัน
ดุจสวรรค์ บันดาล งามเหนือใคร

ประภาวดี นงราม นามไพเราะ
ตั้งได้เหมาะ เสนาะฟัง คำความหมาย
หญิงผิวผ่อง ใสเด่น เปล่งประกาย
พักตร์เฉิดฉาย ชายจ้อง ดั่งต้องมนต์

เทวีมี ทาสี สตรีค่อม
เป็นต้นห้อง คล่องการ ตามประสงค์
ชื่อขุชชา ข้าใน ใกล้พระองค์
อีกอนงค์ แปดนาง ข้างกายา

ยามสายัณห์ ตะวันหลบ หมดแสงสี
แปดนารี มีภาระ ต้องจัดหา
น้ำอาบสรง เทวี ศรีสุดา
จึงเร่งพา กันจร คอนครุไป

พอพ้นยาม ทวารวัง พลันเริงร่า
ต่างพูดจา พาที สีหน้าใส
บ้างเอ่ยหลอก หยอกเย้า กระเซ้าไป
บ้างสนใจ ใคร่รู้ ดูผู้คน

จนใกล้ท่า ชลาลัย ไม่ไกลห่าง
มีนงคราญ งามนวล ชวนลุ่มหลง
นั่งตะคุ่ม พุ่มไม้ คล้ายอนงค์
ริมถนน บนวอ ลออวิไล

กำนัลหนึ่ง ทึ่งมอง จ้องเขม็ง
ให้ตื่นเต้น เพ่งพิศ คิดสงสัย
ฤาพระธิดา ลอบมา ชลาลัย
เหตุไฉน ไม่เกรง คนเห็นกัน

จึงหันขวับ กลับมา พี่ยาใหญ่
บอกมองไป นั่นใคร ไยหุนหัน
แอบหนีออก นอกเวียง เพียงลำพัง
ไม่คร้ามพรั่น นั่งกล้า ท้าตาชน

ขณะกล่าว เล่าความ มือพลางชี้
ยังเทวี ที่นั่ง ข้างถนน
เหล่ากำนัล หันมอง ตาพองยล
เห็นระหง นงลักษณ์ คลับคล้ายคลับคลา

สำคัญว่า ประภาวดี นารีรัตน์
หนีตำหนัก ปะคน ซนนักหนา
ซ้ำเผยพักตร์ ประจักษ์กัน ทั้งพารา
ไม่ไว้หน้า พระบิดา กล้าเกินองค์

จึงเหล่านาง กำนัล พลันเยื้องย่าง
ตรงหานาง งามตา พาใหลหลง
ถึงนางข้า พี่สาว กล่าวทักองค์
ไหนบอกทรง สรงวัง ช่างกระไร

เหตุไฉน ไยมา ท่าน้ำเล่า
ไร้คนเฝ้า ข้างเคียง เสี่ยงเพียงไหน
หากภูวนาถ ทราบข่าว บ่าวหลังลาย
ปากซักไซ้ มือจับ หัตถ์เทวี



บัดนั้น…ข้าธิดา หน้าซีด รีบถอยผละ
พรั่นผงะ สะบัดสั่น ดั่งเห็นผี
ให้ตระหนก สบจ้อง มองเทวี
เจ็ดนารี ทันทีเห็น เผ่นคนละทาง

โลดเตลิด เปิดเปิง กระเจิงวิ่ง
เนื้อความจริง สิ่งใด ไม่ใคร่ถาม
โกยหน้าตั้ง ไปตั้งหลัก ตามหลักการ
อย่าผลีผลาม หาญกล้า รอท่าที

จนกระทั่ง กำนัลใหญ่ คลายหวาดจิต
เพ่งพินิจ พิจารณา มารศรี
ไยกนิษฐ์ ผิดแผก แปลกท่าที
จึงทาสี พี่สาว ก้าวกลับคืน

ถึงกลั้นใจ ไม่พรั่น มือพลันจับ
องค์นงลักษณ์ พักตร์นิ่ง ไม่ติงขืน
นางข้ามอง ร้องเฮ่อ เก้อเขินยืน
เปลี่ยนหน้ารื่น ชื่นอก หายตกใจ

ฝ่ายเจ็ดถี หนีกลัว ใจรัวก้อง
นั่งซุ่มจ้อง มองดู ทนอยู่ไม่ไหว
จึงเข้าหา พี่ยา สีหน้าอาย
แสร้งเฉไฉ ใจกระดาก เอ่ยปากพลัน

ที่น้องทิ้ง วิ่งปร๋อ ไม่รอพี่
ใช่ไม่มี ไมตรี ลี้หลบหัน
หรือหวาดกลัว เอาตัวรอด ลอบหนีกัน
แท้จริงนั้น หวังพร้อม คุ้มครองภัย

แล้วตัดบท กลบเกลื่อน เอื้อนถามว่า
ไยพี่ยา ผวาตระหนก อกใจหาย
หน้าซีดโพลน โจนหวาด ขยาดใด
โปรดจงไข ให้ฟัง กันสักครา

พี่ได้ฟัง คำน้อง อ้อมค้อมเอ่ย
กระไรเลย เปรยไป ให้ขายหน้า
เห็นรูปปั้น สำคัญเป็น พระธิดา
เขลานักหนา ตาฝ้า น่าเจ็บใจ

หากเพ่งมอง นางทอง หล่อหลอมนั้น
เรืองผิวพรรณ กระจ่าง สว่างใส
แต่กระด้าง กร้านแข็ง แกร่งเกินไป
ไม่ละไม ละมุน ไม่นุ่มคลำ

เปรียบเทวี ศรีสะอาง สะคราญโฉม
ยังห่างองค์ นงราม งามเฉิดฉัน
สรรพางค์ วามวาว ราวพระจันทร์
ดุจสวรรค์ บันดาล สรรค์สร้างมา

สิ้นคำข้า บาทพลัน เงาดำไหว
พุ่มไม้ไกว ใบสั่น น่าหวั่นผวา
เสียงสวบสาบ บาทสาว ก้าวเข้ามา
แปดนางข้า หน้าโพลน โจนกอดกลม


ที่มา : พุทธชาดก

6







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย