ตำนาน ประวัติพระอินทร์ ๒ ท้าวสักกเทวราช เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  



กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จักหาสิ่งใดจีรังยั่งยืนไม่มี หลังจากมฆมานพแลสหายได้ตายจากมนุษย์ ตัวเขาได้ไปอุบัติเป็นเทพราชันผู้มีชื่อเสียงเกริกไกลไปทั่วเทวภูมิพระนามว่า ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ร่วมกับเทพพระสหายอีก ๓๒ พระองค์ ส่วนนางสุธรรมา นางสุนันทา และนางสุจิตรา ก็ตามมาเกิดเป็นเทพนารีด้วยเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ช้างพระราชทานก็ยังตามมาเกิดเป็นเทพบุตรอีก ชื่อว่า เอราวัณเทพบุตร (คราใดที่ท้าวอมรินทร์จักเสด็จไปงานพิธีสำคัญๆ เทพบุตรเอราวัณก็จักเนรมิตกายเป็นช้าง ๓๓ เศียรเตรียมรอให้องค์จอมเทพแลเทพพระสหายขึ้นประทับเสด็จยังงานพิธีนั้น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงพระบุญญานุภาพ และพระเดชานุภาพแห่งพระองค์) คงมีแต่นางสุชาดาคนเดียวที่ไม่ได้ตามมาเกิดด้วย เนื่องจากพอสิ้นอายุขัยมนุษย์นางก็ไปเกิดเป็นนกยางอาศัยอยู่ข้างสระน้ำของซอกเขาแห่งหนึ่ง!



มฆมานพพออุบัติเป็นพระอินทร์ด้วยเทพวิสัยจึงทรงกำหนดจิตดูว่าภรรยาทั้งสี่ของพระองค์ หลังจากตายจากมนุษย์พวกนางได้ไปเกิดยังภพภูมิใดบ้าง? ทันใดก็ทรงทราบว่านางสุธรรมา นางสุนันทา แลนางสุจิตรา ได้ตามพระองค์มาเกิดเป็นเทพนารีอยู่บนสวรรค์ชั้นเดียวกัน คงมีแต่นางสุชาดาเท่านั้นที่ไปเกิดเป็นนกยางอยู่ในภูมิเดรัจฉาน ด้วยความที่ทรงรักใคร่ภรรยาผู้นี้อย่างสุดซึ้ง พอทรงเห็นนางต้องไปตกระกำลำบาก เลี้ยงชีพด้วยปาณาติบาต จอมเทพผู้มากบารมีก็ทรงรู้สึกอดสงสารไม่ได้ จึงทรงดำริ

“ เราควรให้นางได้มาเห็นความเป็นอยู่ของชาวฟ้าชาวสวรรค์ท่าจะดี เผื่อนางจักเกิดมานะ ยกตนให้พ้นไปจากอัตภาพของเดรัจฉานได้! ” เมื่อทรงมีเทวดำริดังนี้จึงไม่ทรงรอช้า จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาปรากฏกายยังข้างสระน้ำใกล้กับนางนกยางทันที ด้านนกยางสุชาดาขณะกำลังเดินจิกกินปลาเล็กปลาน้อยอยู่อย่างเพลิดเพลิน จู่ๆเห็นใครไม่รู้มายืนข้างตนก็ให้ตกใจเป็นกำลัง จึงร้องถามไป




“ ท่านผู้นี้เป็นใครหรือ? ไฉนจึงต่างจากสัตว์ที่ข้าพเจ้าเคยเห็น? ”
“ ดูก่อนนางนกยาง! เรามีนามว่าท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชาติที่แล้วเรา
เป็นสามีเจ้า ”
“ ท่านน่ะหรือคือจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แลเป็นสามีของข้าพเจ้าเมื่อชาติที่แล้ว? ”
“ ถูกต้อง! เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเพื่อนของเจ้าอีกสามนางซึ่งก็เป็นภรรยาของเราเหมือนกัน ขณะนี้
พวกนางมีความเป็นอยู่อย่างไร? ”
“ อยากทราบเจ้าค่ะ! ”
“ อย่างนั้นดีแล้ว เดี๋ยวเราจักพาเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเอง! ”
ว่าแล้วท้าวโกสีย์ก็ทรงรวบเอานางนกยางไว้ในอ้อมพระอุระ พร้อมกันนั้นก็ทรงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่ยังเมืองแมนแดนสวรรค์ทันที พอถึงก็ทรงนำนางไปปล่อยไว้ที่สระนันทาโบกขรณี จากนั้นก็เสด็จกลับไพชยนต์ปราสาทเพื่อทรงแจ้งข่าวให้กับพระชายาทั้งสามรับทราบ




นางอัปสรทั้งสามพอรู้พระสวามีทรงพานางสุชาดากลับมายังดาวดึงส์เทวโลกด้วย ก็อยากจักเห็นหน้านางสุชาดาขึ้นมาทันใด ด้วยสมัยเป็นมนุษย์นางเป็นหญิงที่มีรูปโฉมงดงามจนยากจักหาหญิงใดเทียบได้ แม้แต่พวกนางเองซึ่งเป็นภรรยาร่วมกันก็ยังรู้สึกอดริษยาไม่ได้ ครั้งนี้พอทราบนางสุชาดามาเยือนถึงถิ่นจึงอยากรู้ว่านางยังจักมีความสะสวยเหมือนเดิมหรือไม่ ดังนั้นพอทราบนางสุชาดาอยู่ที่นันทาโบกขรณีจึงไม่รอช้า รีบพากันไปยังสถานที่นั้นทันที

เมื่อไปถึงสามเทพนารีกลับต้องผิดหวัง เนื่องจากนางสุชาดาผู้มีรูปโฉมงดงามเพลานี้หาได้เป็นเทพนารีเหมือนดั่งพวกตนไม่ หากแต่เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น จึงอดหัวร่อขึ้นมาพร้อมกันไม่ได้ และไม่เพียงแต่หัวร่อ ยังพากันพูดจาเยาะเย้ยถากถางนางนกยางสุชาดากันไปต่างๆนานาอีก

“ โอ๊ะโอ๋! นี่รึแม่หญิงสุชาดายอดกัลยาณี ผู้มีกายโสภีเหนือหญิงใด ดูผิวแม่ซิ! ช่างขาวผุดผาดเสียยิ่งนัก ไม่ว่าจักเป็นลำคอแข้งขา ตลอดทั้งองคาพยพ ล้วนหมดจดงดงาม เกินจักหาเทพนารีไหนสะคราญเทียมได้นับเป็นบุญตาของพวกเรานะที่ได้มาเห็นนางผู้เลอโฉมเช่นนี้! ” หลังจากสนุกกับการพูดจาเสียดสีจนเป็นที่พอใจนางอัปสรทั้งสามก็ชวนกันกลับยังไพชยนต์ปราสาท โดยที่มิได้คำนึงถึงจิตใจของผู้ที่ถูกพาดพิงเลยว่า เขาจักคิดหรือรู้สึกอย่างไร!

ฝ่ายนกยางผู้อาภัพ ครั้นถูกอดีตเพื่อนร่วมสามีเยาะเย้ยถากถางเอา ก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชาติวาสนาของตนเสียยิ่งนัก พอท้าวสหัสนัยน์ทรงกลับมาเยี่ยมอีกครั้งนางจึงขอให้พระองค์ทรงพานางกลับยังที่อยู่เดิมเพื่อจักได้ไม่ต้องถูกใครมาดูถูกเหยียดหยามอีก องค์เทพราชันทรงทราบถึงความ รู้สึกนาง จึงมิได้ทรงทัดทานแต่อย่างใด ทรงนำนางมาปล่อยไว้ยังข้างสระน้ำเหมือนเดิม แต่ก่อนจะกลับยังเทวโลกท้าวเธอได้ตรัสกับนางถึงวิธีที่จักทำให้นางพ้นจากอัตภาพของเดรัจฉานว่า “ ดูก่อนนกยาง หากเจ้าปรารถนาจักพ้นไปจากอัตภาพของเดรัจฉานแล้ว ก็ขอให้จงรักษาศีลเอาไว้ให้มั่น จงอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเป็นอันขาด แม้จักแลกด้วยชีวิตเจ้าก็ต้องยอม จำไว้ให้ดี! ”

นกยางสุชาดาครั้นฟังพระดำรัสแห่งท้าวสักกะนางก็ยึดถือปฏิบัติตามทันที ดังนั้นอาหารจากที่เคยอุดมสมบูรณ์ ด้วยสระแห่งนี้ล้วนมีปลาเล็กปลาน้อยอาศัยอยู่ชุกชุม ฉับพลันก็กลายเป็นอัตคัดขัดสนขึ้นมาทันที ด้วยตนไม่อาจจับปลาเป็นๆมากินได้อีก ร่างกายจากที่เคยอวบอิ่มมีน้ำมีนวล เรี่ยวแรงแข็งขัน เพลานี้แม้จักให้เดินไปจิกปลาตายกินนางก็ยังไม่มีแรงพอเลย ห้าวันแล้วที่นางได้แต่ฟุบอยู่ข้างสระน้ำโดยมิได้มีอะไรตกถึงท้อง สังขารหากไร้ซึ่งอาหารมาหล่อเลี้ยง มันจักดำรงคงอยู่ได้อย่างไร? นกยางสุชาดาหลังจากไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ในที่สุดนางก็ถึงกาลสิ้นใจลงในเย็นวันหนึ่ง แต่เนื่องจากก่อนตายนางรักษาศีลไว้อย่างเหนียวแน่น ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตตนเอง ดังนั้นพอตายจากเดรัจฉานด้วยอานิสงส์แห่งศีล จึงนำให้นางไปเกิดเป็นบุตรสาวของช่างปั้นหม้อ มีบ้านเรือนตั้งอยู่ในกรุงพาราณสี

บุตรีช่างปั้นหม้อตั้งแต่จำความได้นางก็รักษาศีลห้ามาโดยตลอด ทั้งที่ไม่เคยมีใครบอกว่าการรักษาศีลห้านั้นต้องทำอย่างไร? มันเหมือนกับเป็นวาสนาผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนยังไงยังงั้น! นางรักษาศีลห้ามาจนอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี วันหนึ่งท้าวสักกะได้ทรงคำนึงถึงนางสุชาดาขึ้นมา จึงทรงกำหนดจิตดู

ทันใดก็ทรงทราบว่านางได้ตายจากเดรัจฉานไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลของช่างปั้นหม้ออาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี ดังนั้นจึงทรงดำริขึ้น “ ถึงเวลาที่เราจักต้องลงไปสงเคราะห์นางอีกครั้ง เพื่อนางจักได้รักษาศีลห้าโดยไม่มีอุปสรรค! ” เมื่อทรงดำริดังนี้ท้าวโกสีย์จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมายังโลกมนุษย์ทันที จากนั้นก็ทรงเนรมิตพระวรกายเป็นพ่อค้าชราขับเกวียนบรรทุกพืชผลอันได้แก่ฟักแฟงแตงน้ำเต้ามาจนเต็ม เพื่อจักไปค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้คนในตลาด แต่วิธีขายของพ่อค้ารายนี้หาได้เหมือนกับพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปไม่ ตะแกเที่ยวตะโกนว่าผู้ใดที่รักษาศีลห้ามาดีขอให้มารับเอาพืชผลเหล่านี้ไปได้เลย ไม่ต้องควักเงินควักทองออกมาซื้อหา

บรรดาผู้มาซื้อของพอได้ยินต่างก็สงสัยกันไปตามกัน จึงซักถามกันให้วุ่นว่าเจ้าศีลห้ามันคืออะไร? รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรรึ? แต่จนแล้วจนรอดก็หามีใครรู้จักไม่ จอมเทพในร่างพ่อค้าเฒ่าเขาขับเกวียนผ่านไปตั้งแต่หัวตลาดจนเกือบจักถึงท้ายตลาดก็ยังหาใครมารับเอาพืชผลเหล่านี้ไปไม่ได้แม้แต่เพียงลูกเดียว! จนเกวียนเคลื่อนมาถึงหน้าบ้านของช่างปั้นหม้อเสียงที่ตะโกนได้ดังไปถึงหลังบ้าน บุตรสาวนายช่างซึ่งกำลังช่วยงานบิดาพอได้ยินว่าใครรักษาศีลห้ามาดีให้มารับพืชผลเหล่านี้ไป ไม่ต้องนำสิ่งใดมาแลก นางจึงวางมือรีบเดินไปดูที่ยังหน้าบ้านทันที

ขณะนั้นเกวียนสินค้าได้ผ่านบ้านนางไปแล้ว ดังนั้นนางจึงตะโกนเรียกให้พ่อค้าหยุดเกวียนก่อน พ่อค้าชราพอได้ยินเสียงเรียกก็หันมามอง เห็นสตรีนางหนึ่งกำลังกวักมือเรียกตน ดังนั้นเขาจึงขับเกวียนหันหลังกลับ บุตรีช่างปั้นหม้อเห็นพ่อค้าชราขับเกวียนกลับมานางจึงยืนรอเขา จนเขาหยุดเกวียนเรียบร้อยนางจึงบอกว่านางนี่แหละที่เป็นผู้รักษาศีลห้ามาดี ขอเขาจงมอบพืชผลเหล่านี้ให้กับนางเถิด

พ่อค้าเฒ่าพอฟังก็มิได้ซัก ถามอันใด ลงจากเกวียนขนเอาพืชผลทั้งหมดไปเก็บไว้ที่ยังหลังบ้านนาง พอขนเสร็จจึงทรงเนรมิตกายกลับเป็นจอมเทพเหมือนเดิม แล้วก็ทรงมีพระดำรัสตรัสกับบุตรสาวช่างปั้นหม้อว่า

“ ดูก่อนนางผู้เป็นบุตรแห่งคนปั้นหม้อ พืชผลเหล่านี้แท้จริงมันหาได้เป็นดั่งที่เจ้าเห็นไม่ หากแต่เป็นทองคำที่เรานำมาให้กับเจ้าโดยเฉพาะ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้ที่รักษาศีลห้ามาดี แลศีลห้าที่เจ้ารักษานี้ เมื่อถึงกาลแตกดับมันจักนำให้เจ้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเทวภูมิได้ เพียงแต่เจ้าต้องรักษามันเอาไว้ให้มั่น แล้วไม่ช้าเราคงพบกัน! ” ทันทีที่ตรัสจบจอมเทพแห่งตาวติงสาก็หายวับไปต่อหน้าต่อตานาง

บุตรีช่างปั้นหม้อหลังฟังพระดำรัสแห่งท้าวสักกะแล้วนับแต่นั้นนางก็ใช้เวลาเกือบจักทั้งหมดไปกับการรักษาศีลแต่เพียงอย่างเดียว จนถึงกาลหมดสิ้นแห่งอายุขัย แลด้วยอานิสงส์แห่งการรักษาศีลนี้เอง พอตายจากมนุษย์นางก็ไปอุบัติเป็นเทพนารีธิดาของท่าน ท้าวสัมพรอสูร (ท้าวเวปจิตติ) ผู้ครองอสูรพิภพ

ธิดาอสูรนางนี้ตั้งแต่เกิดมาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพนารีที่มีพระศิริโฉมงดงาม เหนือเทพนารีใดๆ เนื่องจากนางรักษาศีลห้าติดต่อกันถึงสองชาติสองภพ! ดังนั้นจึงเป็นที่หมายปองของบรรดาอสูรทั้งมวล พอถึงคราวที่นางจักต้องมีคู่ท้าวสัมพรอสูรได้มีบัญชาให้อสูรทุกตนมารวมตัวกันที่ลานหน้าพระบรม มหาราชวัง เพื่อให้นางได้เฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง

เพลานั้นท้าวสักกะด้วยเทพฤทธิ์ ท้าวเธอก็ทรงรู้ว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จักต้องไปรับเอาตัวนางสุชาดากลับมาเป็นพระชายาเสียที ดังนั้นจึงทรงบัญชาให้มาตลีเทพบุตรนำรถม้าเทียมม้าสินธพจำนวนหนึ่งพันตัวไปจอดรอไว้ ณ กึ่งกลางเส้นทางระหว่างอสูรพิภพกับเทพนครไตรตรึงษ์ ส่วนตัวพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกายเป็นอสูรแก่ตนหนึ่ง จากนั้นก็ทรงลักลอบเข้าไปยังดินแดนอสูรเพื่อจักทรงไปเข้าร่วมพิธีเลือกคู่ครั้งนี้!

ขณะที่นางอสุรกัญญาเทพนารี ธิดาของท่านท้าวสัมพรอสูรกำลังทรงเดินดูบรรดาอสูรที่พระบิดาทรงเกณฑ์ให้มายืนอวดโฉมรอให้พระนางเลือกไปเป็นพระสวามีนั้น ปรากฏที่ผ่านมาหาได้มีอสูรตนใดให้ทรงถูกตาต้องใจนางแม้แต่เพียงตนเดียว จนถึงอสูรตนสุดท้ายซึ่งเป็นอสูรที่ทั้งแก่ทั้งหง่อมผิวหนังเหี่ยวย่น ผมเผ้าขาวไปทั้งศีรษะ ไม่ว่าจักมองมุมไหนก็หาความหล่อไม่เจอ มีชีพอยู่ก็เพื่อรอเวลาจุติไปเกิดใหม่เท่านั้น

แต่แวบแรกที่ทรงสบตาเขาพระนางก็ทรงรู้ทันที ว่าอสูรตนนี้นี่แลที่ทรงเฝ้ารอมาช้านาน หากแม้นชาตินี้ไม่ทรงได้เขามาเป็นคู่ครอง พระนางทรงขอยอมตายเสียดีกว่าที่จักทรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีเขา เมื่อทรงเกิดความรู้สึกดังนี้จึงไม่รอช้า ทรงยกพวงมาลัยที่ทรงถืออยู่คล้องลงบนคอของอสูรเฒ่าเบื้องหน้าทันที

บรรดาอสูรที่อยู่ ณ ที่นั้นเมื่อเห็นพระธิดาพวกตนทรงเลือกเอาอสูรแก่ใกล้ตายมาเป็นคู่ครอง แทนที่จักเป็นพวกตนตนใดตนหนึ่ง ต่างก็รู้สึกผิดหวังกันไปตามๆกัน บ้างก็แสนเสียดายรูปโฉมของพระธิดาเสียเหลือเกิน ซึ่งมิได้ทรงคู่ควรกับเจ้าอสูรเฒ่าเลย เหมือนกับเอาดอกไม้สีสันสวยงามไปปักอยู่บนมูลโคแท้ๆ บ้างก็โมโหโกรธา ด้วยการกระทำเยี่ยงนี้ มันเหมือนเป็นการหยามเกียรติ์แลศักดิ์ศรีของพวกตนที่เป็นอสูรหนุ่ม ดังนั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังเวลานั้น จึงเกิดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าอสูรกันให้อื้ออึงไปหมด

ฝ่ายท้าวสักกะพอทรงเห็นความระส่ำระสายเกิดขึ้นในหมู่อสูร พระองค์ก็ทรงรู้สึกสบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
จึงทรงเปล่งเสียงหัวร่อออกไปจนดังลั่น พร้อมกันนั้นก็ทรงเนรมิตพระวรกายกลับคืนรูปร่างเดิม แลทรงรวบเอานางอสูรเบื้องพระพักตร์เข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระ จากนั้นก็ไม่ทรงพูดพล่ามทำเพลง ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้าเหาะหนีไปจากสถานที่นั้นทันที ปล่อยให้ท้าวสัมพรอสูรแลเหล่าบริวารซึ่งกำลังงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พากันยืนตาค้างจนทำอะไรไม่ถูก

หลังได้สติบรรดาอสูรทั้งหลายพอรู้ว่าอสูรเฒ่าแท้จริงก็คือจอมเทพแห่งตาวติงสาผู้เป็นศัตรูเก่าปลอมตัวมา ต่างก็โมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง พากันด่าทอท้าวสักกะกันเป็นการใหญ่ จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบทะยานตัวขึ้นท้องฟ้าเหาะตามท้าวโกสีย์ไปติดๆ!

ย้อนมาด้านมาตลีเทพสารถี หลังได้รับพระบัญชาจากองค์อมรินทร์เขาก็นำรถม้าไปจอดรอไว้ตามรับสั่ง พอได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นมาแต่ไกลก็รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังเหาะหนีศัตรูมา ดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบไสราชรถออกไปรับหน้าทันที จอมสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หลังทรงเหาะหนีเหล่าอสูรมาได้สักพักพระองค์ก็ทรงรู้สึกพละกำลังของตนนั้นเริ่มถดถอย เนื่องจากต้องทรงแบกน้ำหนักของนางอสูรรวมเข้าไว้ด้วย พอทรงเห็นเทพคู่พระทัยพุ่งรถมารับก็ทรงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ทรงกลับมามีพละกำลังอีกครั้ง ทรงทะยานไปยังราชรถด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า พอถึงก็ทรงวางพระธิดาอสูรลงบนที่ประทับพร้อมกับตรัสให้เทพสารถีออกราชรถทันที

ฝ่ายพลพรรคอสูรที่เหาะตามมา เมื่อแรกเห็นระยะห่างเริ่มหดสั้นเข้าก็รู้ว่าท้าวสักกะผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจคงจักเริ่มหมดแรงแล้ว จึงพากันกระหยิ่มอยู่ในใจว่า “ ครานี้แหละเจ้าเทพหัวขโมย เห็นทีคงไม่รอดไปจากเงื้อมมือพวกตนแน่! ” แต่พอจู่ๆระยะที่สั้นกลับยืดออกไปพวกเขาจึงให้ประหลาดใจ พอเพ่งสายตามองจึงเห็นเบื้องหน้าอันไกลลิบมีรถม้าคันหนึ่งกำลังพุ่งมารับ “ อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เล่าจอมเทพมากเล่ห์ถึงได้มีแรงเพิ่ม ที่แท้ก็นัดสมุนไว้ก่อนนี่เอง ” พอรู้ดังนั้นแต่ละตนจึงไม่รอช้า รีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก หวังจักกวดให้ทันจอมเทพเจ้ากลให้ได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจักออกแรงเท่าใดก็หาทำให้ระยะที่ห่างนั้นหดสั้นเข้าไปแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังยืดออกไปเรื่อยๆอีก

ด้านท้าวสหัสนัยน์หลังได้ทรงพักเหนื่อยสักครู่ก็ทรงรู้ ว่าพละกำลังของตนนั้นกลับมาแล้ว ดังนั้นจึงทรงมีพระอารมณ์เบิกบานแจ่มใสเหมือนเดิม ขณะนั้นรถม้าได้แล่นเข้าสู่อาณาเขตของป่า สัมพลิวัน (ป่าไม้งิ้ว) อันเป็นที่อยู่ของเหล่าพญาครุฑ ขณะที่จอมราชันแลพระเทวีอสูรกำลังทรงเพลินอยู่กับทัศนียภาพข้างทาง จู่ๆก็มีเสียงประหลาดดังขึ้น ธิดาอสูรซึ่งกำลังทรงดื่มด่ำกับธรรมชาติพอทรงสดับก็ถึงกับทรงตกพระทัย องค์เทพราชันเมื่อทรงเห็นโฉม งามอันเป็นที่รักหวาดวิตก จึงตรัสถามเทพคู่พระทัยว่า

“ ท่านมาตาลีนั่นมันเสียงอะไรรึ? ไฉนจึงฟังประหลาดอย่างนั้น? ” เทพสารถีทูลว่า “ ขอเดชะ! เสียงลูกพญาครุฑพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระ บาทคิดว่ากระแสลมแห่งราชรถคงจักพัดไปกระแทกต้นงิ้วที่มันทำรังอยู่ ดังนั้นลูกน้อยของมันด้วยความตกใจจึงร้องขึ้นมา ขออย่าทรงระแวงพระทัยไปเลยพระพุทธเจ้าข้า ” จอมสวรรค์ครั้นทรงทราบเช่นนั้นจึงทรงคำนึงขึ้น

“ เพียงกระแสลมของรถม้าเราก็มีอานุภาพถึงปานนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจงอย่าให้เหล่าสัตว์ต้องมาพลอยเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัวของเราเลย! ” เมื่อทรงมีเทวดำริดังนี้จอมเทพผู้เลื่องนามจึงตรัสกับเทพสารถีว่า “ ท่านมาตาลี เราจงอย่าสร้างความลำบากให้กับเหล่าสัตว์เลย ขอท่านจงหันหัวรถกลับเถิด เราจักขอสู้ตายกับเหล่าอสูรร้ายนี้เอง! ” เทพเลขาเมื่อฟังก็ไม่รอช้า รีบชะลอรถม้าพร้อมกับส่งสัญญาณให้ม้าสินธพทั้งหนึ่งพันตัวดึงหัวรถกลับทันที

บรรดาอสูรที่ตามอยู่ลิบๆ พอเห็นท้าวโกสีย์ซึ่งกำลังได้เปรียบ จู่ๆก็หยุดรถหันมาเผชิญหน้าเสียอย่างนั้น ต่างก็ประหลาดใจกันไปตามๆกัน โดยเฉพาะอสูรผู้เป็นหัวหน้าเขารู้สึกเรื่องนี้มันมีเลศนัยชอบพิกล “ ชะรอยฤาเจ้าเทพมากเล่ห์แอบซ่องสุมกำลังเอาไว้แถวนี้อีก? มิฉะนั้นไฉนจึงกล้าหยุดรถได้ เห็นทีเราจักประมาทไม่ได้แล้ว หึ..หึ..หึ..อสูรอย่างเรามีหรือจักตกหลุมพรางเจ้าเทพหัวขโมยได้ ไม่มีวันเสียหรอก! ” เมื่อคิดดังนั้นเขาจึงตะโกนสั่งให้เหล่าอสูรหยุดติดตามก่อน ขืนตามต่อไปอาจเสียทีให้กับศัตรูก็เป็นได้ ฝ่ายบรรดาลูกสมุนพอได้ฟังดังนั้นก็เหมือนดั่งว่าได้ยกภูเขาออกจากอก เพราะแต่ละตนต่างก็อ่อนล้าจนแทบไม่มีแรงหลงเหลือกันแล้ว ขืนให้ตามต่อมีหวังพวกเขาคงต้องขาดใจตายเสียก่อนเป็นแน่!

ด้านท้าวสักกะเมื่อทรงตัดสินพระทัยจักขอสู้ตายเพราะไม่ทรงปรารถนาสร้างกรรมกับเหล่าสัตว์ พอทรงเห็นอสูรที่ตามมาอย่างกระหายเลือด จู่ๆก็หยุดการติดตามเสียอย่างนั้น ก็ให้ทรงรู้สึกแปลกพระทัยไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างจดต่างจ้องไม่มีใครกล้าที่จะบุกเข้าไป จนผ่านไปพักใหญ่เห็นบรรดาอสูรต่างพากันหันหลังกลับบ่ายหน้าสู่อสูรพิภพ พระองค์จึงทรงรู้ว่าการศึกครั้งนี้เห็นทีคงจักยุติแต่เพียงเท่านี้ ดังนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทพสารถีหันหัวรถกลับเทพนครไตรตรึงษ์ทันทีเช่นกัน แต่ครั้งนี้ทรงให้เขาขับอ้อมป่าสัมพลิวันไป เพื่อป้องกันมิให้กระแสลมของราชรถพุ่งเข้าไปรบกวนเหล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าอีก นับแต่นั้นจอมเทพแห่งตาวติงสาแลนางอสูรสุชาดาก็ทรงอยู่ครองคู่กันอย่างมีความสุขเรื่อยมา ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ .

หมายเหตุ : ข้อปฏิบัติที่ทำให้มฆมานพได้เป็นพระอินทร์ ( วัตตบท ๗ ประการ ) คือ :

๑.เลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบ
๒.ให้ความเคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
๓.ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำ
๔.กล่าววาจาไพเราะอ่อนหวาน
๕.ไม่พูดส่อเสียด
๖.ไม่เป็นคนตระหนี่
๗.ตั้งอยู่ในความซื่อสัตย์

สืบ ธรรมไทย

ที่มา : พุทธชาดก

12,284






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย