กุสราชมหาสัตว์( ภาค ๓ ) เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
กุสราชมหาสัตว์ ๓
หลังจากพระเจ้ากุสราชได้ทรงตอบโต้ถ้อยคำกับพระนางประภาวดีในวันนั้นแล้ว หลายวันผ่านไปก็ไม่ได้ทรงเห็นพระพักตร์ของนางอีกเลย จึงทรงเกิดความกังขาว่านางมีความรู้สึกเยี่ยงไรต่อพระองค์ ดังนั้นจึงทรงคิดจักทดสอบดู วันหนึ่งหลังจากที่ทรงส่งพระกายาหารให้กับพระธิดาทั้งแปดจนครบทุกพระองค์แล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงหาบกระเช้าย้อนกลับมาทางห้องของพระนางประภาวดีอีกครั้ง พอถึงก็ทรงกระทืบพระบาทลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น ถ้วยชามในกระเช้ากระทบกันเกรียวกราว จากนั้นก็ทรงแสร้งถอนพระทัยเฮือกใหญ่พร้อมกับทรงทรุดพระวรกายลงไปนอนบนพื้นทำประหนึ่งว่าถึงแก่วิสัญญีภาพ
ลำดับนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังประทับอยู่ในห้อง พอทรงสดับเสียงโครมครามแลเสียงกระทบกันของถ้วยชาม ก็ทรงให้ตกพระทัย ทรงรีบเปิดบานทวารออกมาทอดพระเนตรทันที บัดนั้นก็ทรงเห็นพระโพธิสัตว์นอนหมดสติอยู่บนพื้น มีไม้คานหาบกระเช้าวางทับอยู่บนพระอุระ พอทรงเห็นก็ทรงดำริ “ ราชากุสราชพระองค์นี้ ทรงเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรี การที่ทรงมายอมลำบากทั้งกลางวันแลกลางคืนเยี่ยงนี้ ก็เพราะเราเป็นเหตุ ท้าวเธอทรงเป็นถึงสุขุมาลชาติ (ผู้ดีมีตระกูล) มาแต่กำเนิด มิเคยตรากตรำงานหนักมาก่อน ครั้งนี้มาถูกไม้คานทับเอาไม่รู้จักยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่หรือเปล่าหนอ? หรือจักทรงสิ้นพระชนม์แล้ว? ” พอทรงคิดดังนี้จึงเสด็จเข้าไปก้มพระพักตร์ดูว่าจอมราชันยังมีพระปัสสาสะ (ลมหายใจ) อยู่หรือเปล่า
จอมราชันที่ทรงแสร้งทำเป็นสลบ พอทรงเห็นพระชายาทรงก้มพระพักตร์ลงมาก็ไม่ทรงพูดพร่ำทำเพลง ทรงเอื้อมพระหัตถ์คว้าเอาพระวรกายของนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระทันที เทวีพอจู่ๆทรงถูกพระเจ้ากุสราชทรงกระทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง ทรงเผลอพระองค์ผรุสวาทออกไป “ ดูก่อนราชากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่ปรารถนาตอบ ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเสื่อม หม่อมฉันไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็จักบังคับให้หม่อมฉันรัก ก็ในเมื่อคนเขาไม่รักไยยังต้องการให้เขารักอีก ” พระมหาสัตว์ครั้นทรงถูกพระชายาตรัสบริภาษแทนที่จักทรงมีพระพิโรธ ที่ไหนได้กลับทรงยิ้มเสียยังงั้น ทั้งนี้ก็เพราะเวลานี้พระทัยของจอมราชันล้วนเปี่ยมไปด้วยความปฏิพัทธ์ในพระนางประภาวดีอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นจึงตรัส
“ ดูก่อนเจ้าผู้มีวงพักตร์อันงดงาม นรชนใดได้คนที่ไม่ปรารถนาตนมาเป็นคนรัก เราสรรเสริญการได้นั้นว่าเป็นสิ่งดี การไม่ได้ต่างหากที่เป็นความชั่วช้า ” พระธิดาแคว้นมัททะพอทรงสดับถ้อยคำที่เถียงแบบข้างๆคูๆก็ทรงให้มีพระพิโรธโกรธขึ้งขึ้นมาทันใด จึงตรัสไปว่า “ ดูก่อนราชาแห่งแคว้นมัลละ พระองค์ทรงปรารถนาหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันหาได้ปรารถนาพระองค์ เปรียบไปก็เหมือนบุรุษที่โง่เขลาเอาไม้กรรณิการ์มางัดเพชรที่ฝังอยู่ในหิน เหมือนผู้โง่งมเอาตาข่ายมาดักลม ซึ่งการกระทำทั้งสองย่อมมิอาจเป็นไปได้! ” จอมราชาเมื่อทรงสดับคำกระทบกระเทียบก็ทรงแสร้งทำเป็นพยักพระพักตร์คล้อยตาม พอนางตรัสจบจึงตรัส “ เพชรที่เจ้าพูดคงฝังอยู่ในใจเจ้าที่แข็งกระด้างกระมัง เพราะตั้งแต่พี่เหยียบแผ่นดินกรุงสาคละมาพี่ก็ยังไม่เคยได้รับความชื่นชมจากเจ้าเลย น้องพี่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตราบใดที่น้องยังคงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ ตราบนั้นพี่ก็คงเป็นได้แค่พนักงานเครื่องต้นคอยทำอาหารให้เจ้าเสวยเท่านั้น แต่เมื่อใดที่น้องยิ้มให้พี่ เมื่อนั้นแลพี่จึงจะเลิกเป็นพ่อครัว แลจักกลับมาเป็นราชากุสราชของเจ้าดังเดิม ”
พระธิดาแห่งกรุงสาคละเมื่อทรงสดับก็ทรงคำนึง “ ราชากุสราชผู้นี้ยิ่งพูดด้วยก็ยิ่งเซ้าซี้ เห็นทีเราจักต้องแกล้งกล่าวมุสาวาทให้เธอจากไปด้วยอุบายดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัส “ ข้าแต่จอมกษัตริย์ โหรแคว้นมัททะเคยทำนายหม่อมฉันว่าพระสวามีที่แท้จริงของหม่อมฉันนั้นมิใช่ราชาแห่งแคว้นมัลละอย่างแน่นอน พวกเขายังสัญญาว่าหากทำนายผิดจักยอมให้หม่อมฉันบั่นร่างออก เป็น ๗ ท่อนเลย ” จอมราชันพอทรงสดับก็สุดจักทรงข่มความขบขันเอาไว้ได้ จึงทรงเปล่งเสียงหัวร่อออกไปเสียจนดังลั่น ซึ่งยิ่งทำให้โฉมงามรู้สึกเสียหน้าเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดไปจากอ้อมพระอุระของพระเจ้ากุสราชให้ได้
แต่ก็ดูเหมือนไม่เป็นผล หลังจากจอมราชาทรงคลายจากความขบขันแล้วจึงตรัสกับนาง “ ดูก่อนน้องหญิง โหรแคว้นมัลละก็เคยทำนายพี่เช่นกัน พวกเขาบอกว่าพระมเหสีของราชากุสราชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ มีพละกำลังดุจคชสาร นอกจากพระธิดาองค์โตแห่งแคว้นมัททะแล้ว พระธิดาเมืองใดก็มิคู่ควรกับจอมราชันเยี่ยงพี่ได้! ”
พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับก็ยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ให้อับจนหนทาง ไม่รู้จักทรงโต้ตอบกษัตริย์ผู้มีพระพักตร์ด้านหนานี้อย่างไรจึงก้มทรงพระพักตร์กัดไปที่พระกรของจอมกษัตริย์ทันใดราชา พลัดถิ่นไม่ทรงคาดคิดว่าเทวีผู้เลอโฉมจะทรงตอบโต้ด้วยวิธีนี้จึงทรงเผลอพระองค์คลายวงพระกรออก ดังนั้นองค์เทวีจึงทรงรีบลุกเดินลงส้นพระบาทดังตึงๆเข้าห้องไป พร้อมกันนั้นก็ทรงปิดบานทวารโครมใหญ่ใส่พระพักตร์ ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อทรงเห็นโฉมงามกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องไปก็ทรงแอบยิ้มอยู่ในพระทัย จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับที่พำนักซึ่งก็คือโรงเครื่องต้นนั่นเอง นับจากนั้นทั้งสองก็มิได้ทรงพบหน้ากันอีก เป็นเวลาถึงครึ่งค่อนปี!
กล่าวถึงพระมหาสัตว์ หลังจากทรงรับหน้าที่เป็นพนักงานเครื่องต้น พระองค์ก็ทรงได้รับความลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจักทรงทำพระกายาหารเท่านั้นไม่พอ ยังต้องทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะน้อยใหญ่ พอล้างเสร็จก็ต้องทรงไปหาบน้ำนำกลับมาใช้อีก แม้แต่ยามบรรทมก็ยังต้องบรรทมอยู่ข้างรางน้ำทิ้ง ตื่นบรรทมก็ต้องทรงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งนี้ก็เพราะกามราคะความหลงใหลในรูปของพระนางประภาวดีเป็นเหตุ จนวันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นนางค่อมผ่านมาทางห้องเครื่องต้นจึงตรัสเรียกนางให้เข้ามา นางขุชชาพอได้ยินแทนที่จักรีบเข้าไป ที่ไหนได้กลับเร่งฝีเท้าเดินหนีไปซะยังงั้น จอมราชันจึงรีบเสด็จตามไปทันที พอทรงไปทันกันจึงตรัสกับนาง
“ นี่แน่ะค่อมเอ๋ย เหตุไฉนนายเจ้าจึงมีใจที่แข็งกระด้างเสียเหลือเกิน เรามาอยู่วังเจ้าก็นานโข คำถามเจ็บไข้ไม่สบายสักคำก็ยังไม่เคยได้ยินจากปากนาง ยกเรื่องที่หลับที่นอนไม่ต้องพูดถึง ผ้าสักท่อนหมอนสักใบเคยมีมั้ยที่นายเจ้าจักมีน้ำจิตน้ำใจหยิบยื่นมาให้ แต่ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้เราไม่ติดใจดอก ว่าแต่เจ้าเถอะ หากเราจักขอให้ทำอะไรสักอย่าง เจ้าพอจักทำให้เราได้มั้ย? อย่างพานายเจ้ามาพบเราสักครั้ง หากเจ้าทำได้เราจะให้สร้อยคอทองคำแก่เจ้าเส้นหนึ่ง ”
นางค่อมทีแรกก็ทำเป็นนิ่งไม่ยอมพูดจา แต่พอจอมกษัตริย์ตรัสว่าจะให้สร้อยคอทองคำก็ตาโตทันที รีบทูลว่า “ ข้าแต่มหาราชผู้เปี่ยมเมตตา ในเมื่อพระองค์สัญญาจะให้สร้อยทองหม่อมฉันแล้ว อย่างนั้นขอพระองค์โปรดเสด็จกลับที่พักก่อนเถิด อีกสองวันหม่อมฉันสัญญาจักพาองค์เทวีมาพบพระองค์ให้จงได้ ขอจงทรงรอฟังข่าวดีเถิด ” พอทูลเสร็จพระพี่เลี้ยงผู้หลงใหลในสีเหลืองอร่ามก็ขอพระราชอนุญาตลากลับไปวางแผนเพื่อพาองค์เทวีมาพบพระมหาสัตว์
สองวันถัดมานางขุชชาค่อมก็เข้าไปทำความสะอาดห้องประทับพระนางประภาวดีเหมือนเคย แต่ครั้งนี้นางเก็บกวาดอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษจนไม่เหลือสิ่งใดจะให้หยิบฉวยได้ แม้แต่รองพระบาทนางก็นำออกไปไว้นอกห้อง พอทำความสะอาดเสร็จก็ลากม้านั่งตัวหนึ่งมาตั้งคร่อมธรณีประตูเอาไว้ จากนั้นก็ลากม้านั่งอีกตัวมาตั้งไว้ด้านตรงข้ามเพื่อใช้เป็นที่พาดพระบาท แล้วนางก็นั่งบนม้านั่งตัวที่คร่อมธรณีประตูพร้อมกับทูลเชิญพระธิดาประภาวดีให้เสด็จมานอนบนตักนาง เดี๋ยวนางจักสางพระเกศาให้
องค์เทวีเมื่อทรงเห็นพระพี่เลี้ยงวางม้านั่งค่อมธรณีประตูก็ทรงสงสัย จึงตรัสถามว่าไฉนจึงไม่ทำในห้องเหมือนเคย พี่เลี้ยงค่อมตอบว่าตรงนี้สว่างกว่ามองเห็นง่าย ขอโปรดทรงมานอนบนตักของนางโดยไวเถิด พระธิดาประภาวดีเมื่อทรงสดับจึงเสด็จเข้าไปบรรทมบนตักนาง ระหว่างที่องค์เทวีทรงหลับพระเนตรมือหนึ่งนางขุชชาก็แหวกเส้นพระเกศาแสร้งทำเป็นหาไข่เหา ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นไปรูดเส้นผมตนซึ่งล้วนมีแต่ไข่เหาเกาะอยู่เต็ม แล้วนางก็กำไข่เหาที่รูดไว้ในมือ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นอุทาน “ ตายจริง! เส้นพระเกศาพระธิดาไฉนจึงมีไข่เหาเกาะอยู่เล่าเพคะ ” ว่าแล้วนางก็แบมือที่กำไข่เหาจากศีรษะตนให้พระธิดาทรงทอดพระเนตร “ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อมจักจัดการให้เกลี้ยงเลย ขอพระธิดาโปรดทรงสบายพระทัยเถิด ” ขณะที่มือแสร้งทำเป็นแหวกเส้นพระเกศา ปากก็พร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ยากของพระมหาสัตว์ไปต่างๆนานา
“ น่าสงสารราชากุสราชเสียจริ๊ง! ทรงยอมสละได้แม้แต่ราชบัลลังก์เพื่อมาตามหาสตรีอันเป็นที่รัก แม้จักทรงลำบากต้องทรงลุกขึ้นมาหุงหาพระกายาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางก็มิเคยจักทรงปริพระโอษฐ์บ่น ไม่เพียงเท่า นั้น พอทรงทำพระกายาหารเสร็จ ก็ยังต้องทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยตะรอนไปตามตำหนักต่างๆเพื่อถวายให้กับพระธิดาทุกพระองค์ พอพระธิดาทุกองค์เสวยเสร็จก็ต้องทรงตามไปเก็บถ้วยชามเพื่อนำไปล้าง พอทรงล้างถ้วยชามเสร็จจักทรงพักสักหน่อย ก็ถึงเวลาจักต้องทรงทำพระกายาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็นต่อ หมุนไปวนมาอย่างนี้จนถึงเที่ยงคืนสองยามถึงจักได้บรรทม ทั้งนี้ก็เพราะทรงต้องการจักเห็นหน้านางอันเป็นที่รักเท่านั้น ค่าจ้างค่าแรงก็มิได้ทรงเรียกร้องแต่อย่างใด ทรงหวังเพียงคำปฏิสันถารจากหญิงคนรักเวลาบังเอิญได้พบกันเท่านั้นก็ทรงดีพระทัยแล้ว แต่นี่แม้คำทักทายสักคำจากปากนางอันเป็นรักก็ยังมิเคยจักทรงได้ยิน! ช่างเป็นชายชาติบุรุษอาชาไนยที่น่าสงสารจริงๆ ”
พระนางประภาวดีเมื่อทรงสดับคำพระพี่เลี้ยงในทำนองเห็นใจพระมหาสัตว์ ก็ทรงมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด จึงทรงลุกจากตักนางพร้อมกับทรงตวาดออกไปด้วยพระสุรเสียงอันดัง “ เหม่! นางขุชชาค่อม จงหุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! การที่เจ้ามาพูดสามหาวเยี่ยงนี้ฤามิกลัวเราจักตัดลิ้นเจ้าทิ้ง! ” นางค่อมไม่เคยเห็นพระธิดาทรงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้มาก่อน พอเห็นเข้าก็ให้ตกใจเป็นกำลัง แต่เพื่อสร้อยคอทองคำ ยังไงก็ต้องกล่อมนางให้ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจผลักองค์เทวีเข้าไปในห้อง จากนั้นก็รีบปิดบานทวารแลดึงเชือกชักลูกดาล (กลอนประตู) มาเก็บไว้กับตน พระนางประภาวดีเมื่อไม่มีเชือกชักลูกดาลก็มิอาจจะทรงเปิดบานทวารออกจากห้องได้ จึงทรงทุบบานประตูพร้อมกับทรงตะโกนบอกให้นางค่อมรีบเปิดบานทวารเป็นการด่วน นางขุชชาเมื่อตัดสินใจแล้วก็มิอาจถอยกลับได้ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมเทวีให้คล้อยตามโดยยกเหตุผลต่างๆนานา
“ ข้าแต่พระแม่เจ้า อันรูปร่างพระองค์นอกจากจักดูงดงามเมื่อยามมองแล้ว ที่เหลือยังจักมีประโยชน์อันใดเล่า มันสามารถจักยังชีวิตผู้คนได้เหมือนข้าวปลาอาหารหรือ? ราชากุสราชนอกจากทรงมีพระรูปโฉมไม่งดงาม แต่คุณสมบัติอย่างอื่นกษัตริย์ใดในชมพูทวีปหาเทียบได้ไม่ ทรงเป็นมหาราช ทรงเป็นนักปราชญ์เรืองปัญญา เป็นราชาที่มีทรัพย์มหาศาล ทรงมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ ทรงมีพระทัยรักศิลปะ ทรงมีทักษะด้านการยุทธ์ ทรงมีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์ ทรงชำนาญดนตรีการขับร้อง ขอเทวีโปรดทรงไตร่ตรองให้ดีเถิด บุรุษทั่วแผ่นดินยังจักมีผู้ใดมีความสามารถเสมอกับจอมราชัน? เหตุฉะนี้ขอพระองค์โปรดทรงกระทำความรักให้บังเกิดขึ้นกับท้าวเธอเถิด ”
พระนางประภาวดีเมื่อทรงสดับคำสรรเสริญนานัปการของพระสวามี แทนที่จักทรงดีพระทัย ที่ไหนได้กลับยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากยิ่งขึ้นไปอีกทรงตะโกนตรัสบริภาษนางค่อม “ เหม่! นางขุชชาค่อม เจ้านี่ช่างอกตัญญูเสียจริง เจ้าคิดจะขู่เรารึ?” พี่เลี้ยงค่อมพอฟังจึงตอบ “ หามิได้เพคะ หม่อมฉันมิได้ขู่ หากแต่กำลังปกป้องพระนางต่างหาก ที่ผ่านมาหม่อมฉันมิได้ทูลองค์เหนือหัวว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ก็เพราะเห็นแก่พระพักตร์พระองค์ อย่างไรเสียเพลานี้จักเข้าไปทูลให้ทรงทราบเลยก็แล้วกัน! ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงหวั่นเกรงจักมีผู้อื่นแอบได้ยิน จึงทรงจำพระทัยรับปากนาง แต่มีข้อแม้ ต้องขอให้พระองค์ได้ทรงทำพระทัยสักเจ็ดวันหรือครึ่งเดือนก่อน
กล่าวถึงพระมหาสัตว์ หลังจากนางค่อมสัญญาว่าจะพานางอันเป็นที่รักมาพบพระองค์ก็ทรงรู้สึกตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปหนึ่งวันไม่ทรงเห็นนางกลับมารายงาน ก็ทรงรู้สึกกระวนกระวายพระทัยจนเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความลำบากที่ต้องทรงงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ อีกทั้งที่หลับที่บรรทมก็มิได้มีความสุขสบาย จึงทำให้พระทัยไม่เข้มแข็งดังเดิม ทรงดำริว่านางค่อมผู้นี้เห็นทีคงจักพึ่งไม่ได้ แม้จักทรงรอคอยต่อก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระชายา ดังนั้นจึงทรงคิดจะกลับแคว้นมัลละไปเยี่ยมพระมารดากับพระบิดา
เพลานั้นท้าวสักกะผู้ทรงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ของพระมหาสัตว์มาโดยตลอด พอทรงเห็นองค์โพธิสัตว์ทรงรู้สึกท้อพระทัย จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงดำริ “ ราชากุสราชไม่ได้เห็นหน้าพระธิดาประภาวดีมาเป็นเวลาครึ่งปีจึงเกิดความท้อแท้ เห็นทีเราจักต้องทำให้เธอสมปรารถนาแล้ว ” เมื่อทรงดำริดังนี้จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงบัญชาให้เทพบริวารปลอมเป็นขบวนราชทูต ๗ ขบวน อ้างเป็นทูตจากกรุงสาคละ เดินทางไปยังแคว้น ๗ แคว้นเพื่อส่งพระราชสาสน์ให้ราชาแต่ละแคว้นทราบว่า บัดนี้พระนางประภาวดีได้ทรงเป็นอิสสระจากพระเจ้ากุสราชแล้ว แลกำลังประทับอยู่ที่กรุงสาคละ หากพระราชาแคว้นใดทรงปรารถนาจักรับนางไปเป็นพระชายาก็จงรีบเสด็จมารับโดยไวเถิด
ราชาทั้งเจ็ดพอทรงทราบต่างก็ยกทัพมายังกรุงสาคละเพื่อจักมารับองค์เทวีไปเป็นพระชายา เมื่อทัพทั้ง ๗ มาถึงเขตพระนครชั้นนอก กษัตริย์แต่ละแคว้นถึงทราบมิได้มีแต่พระองค์ผู้เดียวที่ทรงต้องการพระนางประภาวดีไปเป็นพระชายา แต่ยังมีกษัตริย์อีกถึง ๖ แคว้นก็ทรงมีพระประสงค์เช่นเดียวกัน ดังนั้นแต่ละพระองค์จึงทรงมีพระพิโรธโกรธกริ้วพระเจ้ามัททะขึ้นมาทันใด จึงทรงเข้ารวมกลุ่มปรึกษากันว่าจักจัดการกับราชาองค์นี้อย่างไร “ ราชามัททะนี่ช่างกระไร ตนเองมีลูกสาวอยู่คนเดียวแต่จะยกให้ลูกเขย ๗ คน ท่านทั้งหลายจงดูความประพฤติอันไม่เหมาะสมของพระเจ้ามัททะเถิด สงสัยคงจักเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือกระมังจึงแกล้งหยอกล้อเยี่ยงนี้? ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราจงช่วยกันจับราชาพระองค์นี้มาลงโทษเถิด! ”
ราชาทั้งเจ็ดเมื่อต่างก็เห็นตรงกัน ดังนั้นแต่ละแคว้นจึงเคลื่อนทัพมาประชิดกำแพงเมืองกรุงสาคละ พร้อมกันนั้นก็ส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นมัททะโดยมีใจความให้ส่งพระนางประภาวดีมาให้แคว้นตนโดยด่วน มิฉะนั้นกรุงสาคละจักต้องเรียบเป็นหน้ากลอง ฝ่ายพระเจ้ามัททราชผู้ทรงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอทรงสดับพระราชสาสน์ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบตรัสให้มหาดเล็กไปตามเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองมาเข้าเฝ้าเป็นการด่วน หลังจากที่บรรดาแม่ทัพอำมาตย์มาพร้อมหน้ากันแล้วแลได้ปรึกษากันจึงทูล
“ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! กษัตริย์ทั้ง ๗ เสด็จมาก็เพราะประสงค์จักได้พระธิดาประภาวดีไปเป็นพระชายา หากพระองค์มิทรงยกเทวีให้แล้ว บรรดาท้าวเธอก็จักทรงยกทัพมาพังกำแพงเมืองเราเสียเป็นแน่ เห็นทีครานี้แคว้นเราคงไม่พ้นต้องพินาศจนมิอาจกอบกู้ได้แน่ พวกข้าพระบาทเห็นว่าพระองค์ควรส่งพระธิดาประภาวดีให้ กับกษัตริย์เหล่านั้นเสียเถิดพระเจ้าข้า! ” ราชามัททะพอทรงสดับ พระทัยหนึ่งก็ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวเสียยิ่งนัก แต่อีกพระทัยก็ให้ทรงนึกโกรธที่นางบังอาจทิ้งราชากุสราชมา ทรงคิดทบทวนอยู่ในพระทัยว่าจักทำเช่นไร
“ หากเรายกลูกสาวให้กษัตริย์แคว้นใดแคว้นหนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือก็คงยกทัพมาตีเมืองเราเช่นกัน แต่หากไม่ยกให้แคว้นใด กรุงสาคละก็หนีไม่พ้นจักต้องพินาศอยู่ดี เฮ้อ! ช่างเป็นเรื่องที่ยากไขเสียจริง! ทั้งนี้ก็เพราะนังลูกไม่รักดีกลับทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปมาเสียด้วยรังเกียจว่ารูปไม่งามเท่านั้น บัดนี้เมื่อกรรมตามมาถึง เห็นทีก็คงต้องปล่อยให้นางรับผลแห่งการกระทำของตนไปแต่เพียงลำพังก็แล้วกัน! ”
พอทรงดำริดังนี้พระราชาธิบดีผู้ทรงเห็นความสำคัญของบ้านเมืองเหนือสิ่งอื่นใด จึงจำตัดพระทัยทรงประกาศออกไปต่อที่ประชุมขุนนาง “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความสงบสุขของบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎร์จักต้องมาก่อน ก็ในเมื่อพระธิดาประภาวดีคือต้นเหตุแห่งปัญหา ฉะนั้นเพื่อมิให้เหล่าพสกนิกรตลอดจนไพร่พลต้องมาล้มตาย เราจักสั่งประหารนางพร้อมกับตัดร่างนางออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับกษัตริย์เจ็ดแคว้น! ”
พอจบพระบรมราชโองการ ทั่วทั้งท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ก็พลันเงียบกริบลงไปราวกับไร้ซึ่งผู้คน บรรดาเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพทั้งหลายต่างก็หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่หามีผู้ใดกล้าเสนอความเห็นคัดค้านไม่ นางกำนัลนางหนึ่งซึ่งนั่งด้านนอก พอได้ยินพระบรมราชโองการให้ประหารพระธิดาประภาวดีก็ถึงกับตกใจ รีบวิ่งมาทูลให้องค์เทวีได้ทรงรับทราบทันที ลำดับนั้นโฉมงามผู้มีผิวพรรณดั่งทองคำ ทรงผ้าโกไสยพัสตร์ พอทรงสดับคำนางกำนัลก็ถึงกับสีพระพักตร์ซีดเผือด พระเนตรทั้งสองเอ่อล้นไปด้วยพระอัสสุชล รีบเสด็จไปยังตำหนักพระมารดาทันทีทันใด พอถึงก็ทรงฟูมฟายต่อพระพักตร์
“ ข้าแต่พระมารดา ขอพระองค์โปรดทรงจดจำดวงหน้าอันงดงาม ดวงเนตรที่สุกสกาว แลผิวพรรณที่ขาวผ่องของลูกไว้เถิด เพราะอีกไม่กี่เพลามันจักไม่ปรากฏให้ทรงได้เห็นอีกแล้ว พระบิดาจักทรงให้เพชฌฆาตประหารลูก แล้วตัดร่างของลูกออกเป็นเจ็ดท่อนส่งให้กับกษัตริย์ทั้งเจ็ด กษัตริย์เหล่านั้นเมื่อทรงได้รับเนื้อหนังของลูก ก็คงจักโยนมันทิ้งเสียในป่า ให้แร้งกาจิกกินกันเป็นที่สนุก ฝ่ามือที่อ่อนละมุน แผ่นเล็บที่แดงชมพู พวกเขาก็คงจักตัดทิ้งแล้วโยนให้ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดแทะกันอย่างเอร็ดอร่อย
ข้าแต่พระมารดา หากกษัตริย์เหล่านั้นให้เดรัจฉานกัดกินเนื้อหนังของลูกจนหมดสิ้นแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงขอเอากระดูกของลูกจากพวกเขามาเผาด้วยเถิด แลขอโปรดทรงปลูกสวนกรรณิการ์ไว้ในสถานที่ที่เผาศพลูกด้วย ยามใดที่ดอกกรรณิการ์เบ่งบาน ปุยหิมะเริ่มโปรยปราย กาลนั้นขอพระมารดาโปรดทรงหวนรำลึกว่าครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยมีบุตรสาวที่มีผิวพรรณเยี่ยงนี้ผู้หนึ่ง! ” โฉมงามแห่งแคว้นมัททะครั้นทรงถูกมรณภัยเข้าคุกคาม ก็ทรงหลั่งพระอัสสุชลพร่ำเพ้อรำพันดังราวกับคนบ้าใบ้ไร้สติ!
กล่าวถึงพระเจ้ามัททะเมื่อทรงตัดสินพระทัยประหารบุตรสาวแล้วก็มิอาจที่จักทรงแก้ไขกลับคืนได้ จึงทรงรับสั่งให้ทหารไปลั่นระฆังแจ้งให้ข้าราชบริพารทั้งหมดมารวมกันยังลานหน้าพระบรมมหาราชวัง พร้อมกันนั้นก็ทรงบัญชาให้มหาดเล็กไปตามตัวนายเพชฌฆาตมาเข้าเฝ้า ลำดับนั้นมเหสีแคว้นมัททะพอทรงได้รับรายงานว่าพระเจ้ามัททะมีรับสั่งให้นายเพชฌฆาตเข้าเฝ้าจึงรีบเสด็จไปยังท้องพระโรงทันที พอถึงก็ตรัสถามจอมราชา “ ข้าแต่มหาราช พระองค์จักทรงประหารธิดาหม่อมฉันแล้วบั่นเป็นท่อนส่งให้กษัตริย์เจ็ดแคว้นจริงหรือเพคะ! ” ราชา มัททะเมื่อทรงสดับก็ทรงพยายามข่มกลั้นพระอัสสุชลมิให้หลั่งไหล ทรงแสร้งตอบพระชายาไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว
“ ดูก่อนพระชายา ก็ธิดาท่านไยมาทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปไปด้วยรังเกียจว่ารูปไม่งามเล่า? ที่ผ่านมา ท้าวเธอไม่ทรงติดพระทัยเอาความก็ถือว่าเป็นบุญของแคว้นเราแล้ว มาบัดนี้เมื่อความพินาศกำลังจักกล้ำกลายบ้านเมือง นอกจากหนทางตายแล้วไม่มีวิธีอื่น! พระธิดาประภาวดีจักต้องรับผลแห่งความทะนงในรูปโฉมของตนด้วยความตายสถานเดียว! ” จอมเทวีพอทรงสดับพระดำรัสแบบตัดเยื่อใยของพระสวามี ก็เหมือนหนึ่งว่าดวงพระทัยจักขาดเสียให้ได้ ค่อยๆเสด็จกลับตำหนักดังราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ เมื่อทรงมาถึงพอทรงเห็นดวงเนตรของธิดาอันเป็นที่รักเต็มเปี่ยมไปด้วยพระอัสสุชลพระนางก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วย จนผ่านไปพักใหญ่จึงทรงมีพระดำรัสตรัสปลอบบุตรสาว
“ ลูกเอ๋ย! บิดาเจ้าไม่อาจทำตามคำขอของแม่ได้ เห็นทีวันนี้เจ้าคงไม่แคล้วต้องไปสู่สำนักแห่งพระยายมเสียเป็นแน่ บุตรคนใดไม่เชื่อฟังคำบิดามารดาผู้เห็นประโยชน์แห่งลูกหลาน บุตรคนนั้นย่อมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเยี่ยงนี้แล ที่ผ่านมาหากเจ้าไม่ทิ้งราชากุสราชกลับแคว้นเรา วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่! ประภาวดีเอ๋ย! เสียงกลองชัยที่ดังตึงๆ เสียงช้างศึกที่แผดกึกก้อง เจ้าเห็นตระกูลไหนยิ่งใหญ่กว่าตระกูลพระสวามีเจ้า? เหตุไฉนเจ้าจึงจากมา? ประภาวดีเอ๋ย! เสียงนกยูงที่กู่ขับขาน เสียงกุมารร้องรำทำเพลง เจ้าเห็นตระกูลไหนจักมีความสุขยิ่งกว่าตระกูลพระสวามีเจ้า? เหตุไฉนเจ้าจึงจากมา? ถ้าวันนี้พระเจ้ากุสราชผู้เป็นจอมกษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่ มีหรือกษัตริย์ทั้งเจ็ดจักกล้ามาแสดงกิริยาที่กำแหงเยี่ยงนี้ คงจะถูกจอมราชันขับไล่เสียจนแตกกระเจิงเสียเป็นแน่ แต่เจ้ากลับทำลายเกราะคุ้มภัยของเจ้าเอง แล้วอย่างนี้จักโทษใคร? ”
พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับคำพระมารดาที่ว่า หากวันนี้พระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่ ก็เหมือนดั่งคนที่ติดในถ้ำแล้วจู่ๆก็พลันเห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากปากถ้ำ ทรงอุทานในพระทัย “ ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงพระปรีชาสามารถเพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเรามิใช่หรือ เช้าที่ผ่านมา ยังทรงทำพระกายาหารมาส่งให้เราเลย จำเราจักบอกความจริงให้พระมารดาทราบเสียเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้โฉมงามแห่งแคว้นมัททะจึงตรัสกับจอมเทวี “ ข้าแต่พระมารดา ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงพระปรีชาสามารถ เพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเราแล้วนี่เพคะ! ไฉนยังต้องถามหาพระองค์อีก? ”
มหาเทวีครั้นทรงสดับคำบุตรสาว ก็ให้ทรงรู้สึกสงสารลูกเสียยิ่งนัก ทรงคิดว่าลูกตนคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือน จึงตรัสปลอบว่า “ โถ! ลูกแม่ เจ้าคงจักกลัวตายเสียจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วกระมัง หากพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่จริง มีหรือแม่จะไม่รู้? อย่าว่าแต่ทรงอยู่ในวังเลย เพียงพระองค์เสด็จมาถึงกึ่งทางก็จะต้องส่งพระราชสาส์นมายังแคว้นเราแล้ว แลยิ่งหากทรงรู้ว่าแคว้นเรากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตาย มีหรือพระองค์จักไม่ทรงปรากฏพระวรกายออกมาช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากุสราชที่เจ้าเพ้อคงจักกลัวตายเสียล่ะกระมัง จึงไม่เห็นแม้เงา! ” องค์เทวีเมื่อทรงเห็นพระมารดาไม่ทรงเชื่อจึงตรัส “ หากพระมารดาทรงไม่เชื่อ อย่างนั้นขอเชิญเสด็จไปที่ช่องพระแกลแล้วทรงทอดพระเนตรไปที่โรงเครื่องต้นเถิดเพคะ พนักงานที่ทรงพระภูษาหยักรั้งแลกำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ นั่นก็คือราชากุสราช! แหละพระองค์ก็ประทับอยู่ที่วังเรามานานถึงเจ็ดเดือนแล้วเพคะ! ”
ลำดับนั้นมเหสีแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพูดบุตรสาวก็ทรงจ้องสายพระเนตรไปที่ใบหน้านาง เสมือนหนึ่งจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขณะเดียวกันก็ทรงค่อยๆย่างพระบาทไปยังช่องพระแกล พอถึงก็ทรงทอดพระเนตรไปตามที่นางบอก ทันใดก็ทรงเห็นพระมหาสัตว์ในฉลองพระองค์ที่เก่าซอมซ่อ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกทาสกรรมกร กำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ พอทรงเห็นเช่นนั้นความสงสารที่มีให้บุตรสาวมื่อครู่ก็ถึงกับปลาตหายไปจนสิ้น ทรงเปลี่ยนไปเป็นมีพระโมโหโกรธาขึ้นมาแทน ทรงเผลอพระองค์ตรัสบริภาษบุตรสาวไปทันที
“ เหม่! ประภาวดี! เหตุไฉนเจ้าจึงเป็นหญิงจัณฑาลประทุษร้ายต่อตระกูลถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เหตุใดจึงพูดจาเปรียบเทียบพระสวามีด้วยชนชั้นต่ำเยี่ยงทาสกรรมกรได้? ” บุตรสาวเมื่อถูกตำหนิจึงกล่าว “ หม่อมฉันหาได้เป็นหญิงจัณฑาล แลหาได้ประทุษร้ายต่อตระกูลเหมือนดั่งคำพระมารดาไม่ ที่ทรงเห็นนั้นคือราชากุสราชพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราชจริงๆเพคะ! พระราชาองค์ใดสามารถเชิญพราหมณ์สองหมื่นคนให้มาบริโภคอาหารในเวลาใดก็ได้ พระ ราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! พระราชาองค์ใดสามารถสั่งให้เตรียมช้างศึกสองหมื่นเชือก รถศึกสองหมื่นคันในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! หากแต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยผิดเองว่าท้าวเธอทรงเป็นทาสกรรมกร ขอถวายพระพร! ”
พระมเหสีแคว้นมัททะเมื่อทรงสดับคำพรรณนาพระอิสริยยศของพระมหาสัตว์จากปากลูกสาวด้วยอาการที่หนักแน่น ไม่สะทกสะท้านก็ทรงดำริ “ ฤาลูกเราจักพูดจริง เพราะดูจากท่าทางที่นางกล่าวเหมือนมิได้โกหก อย่างไรเสียเราควรไปทูลให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบไว้ก่อน ท่าจักดี! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงเสด็จไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง ขณะนั้นราชามัททะกำลังทรงย่างพระบาทวนไปเวียนมาครุ่นคิดถึงการที่ทรงตัดสินพระทัยไป ไม่ทราบว่าทรงทำถูกหรือผิด ครั้นทรงเหลือบมาเห็นพระชายาเสด็จกลับมาอีกด้วยความที่ยังทรงมีพระอารมณ์ขุ่นมัว จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงอันกราดเกรี้ยว “ ดูก่อนพระชายา! หากจักมาพูดให้เราเปลี่ยนใจล่ะก็ ขอจงกลับตำหนักของเจ้าไปซะ! เราขอย้ำสิ่งที่เราพูดไปแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลง! ”
จอมเทวีเมื่อทรงสดับคำขับไล่ของพระสวามีก็หาได้ทรงโกรธไม่ ทรงย่างพระบาทเข้าไปใกล้พร้อมกับตรัสให้จอมราชาทรงเย็นพระทัยก่อน จากนั้นก็ทรงเล่าเรื่องที่บุตรสาวบอก พระเจ้ามัททะพอทรงทราบก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องนี้หากเป็นจริงปัญหาที่หนักอกอยู่ในเวลานี้ก็พอจักมีทางแก้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมิทรงยอมเชื่อเสียทีเดียว จึงรีบเสด็จมายังตำหนักพระมเหสีพร้อมองค์เทวีทันที เมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงเห็นบุตรสาวยังนั่งร้องไห้อยู่ จึงตรัสถาม “ ดูก่อนประภาวดี ที่แม่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือไม่? ” โฉมงามซึ่งขณะนี้พระพักตร์ยังทรงนองไปด้วยน้ำตา พอทรงสดับคำพระบิดาจึงตรัสว่า “ เป็นจริงเพคะ! ” ราชามัททะพอทรงได้รับคำยืนยันก็ให้ทรงลิงโลดพระทัย แต่เพื่อความมั่นใจจึงทรงหันไปถามนางค่อมที่หมอบข้างๆอีกทีว่าเป็นจริงหรือไม่ นางขุชชาไม่รอให้องค์เหนือหัวตรัสจบ รีบทูลสวนไปทันทีว่าเป็นจริงเหมือนที่พระธิดาตรัสทุกประการ
พอได้รับการยืนยันจากพระพี่เลี้ยงพระเจ้ามัททราชก็ทรงรู้สึกเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากพระอุระ ทรงรู้สึกปลอดโปร่งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าพอทรงหวนนึกถึงการกระทำของบุตรสาวที่ปิดเรื่องพระเจ้ากุสราช ประทับอยู่ในวังมาเป็นเวลานานถึงเจ็ดเดือนโดยไม่บอกให้ทรงทราบ ก็ทรงกลับมามีพระพิโรธอีก จึงทรงตวาดบุตรสาวไปด้วยพระสุรเสียงอันดัง “ เหม่! นางลูกไม่รักดี ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักดีชั่วเอาเสียเลย ราชากุสราชผู้เป็นพระสวามีเจ้า มีทแกล้วทหารกล้ามากมายเหลือคณานับ มีช้างศึกม้าศึกมากกว่ากองทัพใด ทรงมาพำนักอยู่ที่วังเรานานถึงครึ่งค่อนปีแต่เจ้ากลับเพิ่งมาบอก เจ้าทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดี๋ยวรอให้พ่อเข้าเฝ้าพระองค์ก่อน แล้วจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า! ”
หลังทรงติเตียนบุตรสาวแล้วสมเด็จพระราชาธิบดีก็เสด็จไปยังสำนักของพระมหาสัตว์ เมื่อทรงไปถึงก็ทรงมีพระปฏิสันถารกับราชันพลัดถิ่นถึงความผิดบุตรสาวที่มิได้แจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่าจอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละได้เสด็จมาถึงแคว้นพระองค์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ซ้ำยังทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้นอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงการขอขมาอย่างจริงพระทัย ราชามัททะจึงทรงคุกเข่าก้มลงกราบพระ เจ้ากุสราชผู้เป็นพระชามาดา (ลูกเขย) แทนบุตรสาว
พระมหาสัตว์พอทรงเห็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ทรงก้มลงกราบพระองค์ ก็ทรงรีบเข้าไปประคองให้ทรงลุกขึ้นทันที จากนั้นจึงตรัส “ หม่อมฉันมิได้ปกปิดการมาของหม่อมฉันต่อพระองค์เลยพระเจ้าข้า แลพระองค์ก็มิได้ทรงมีความผิดใดที่หม่อมฉันจักต้องงดโทษให้ ” พระเจ้ามัททะพอทรงสดับคำพระชามาดาก็ให้ทรงดีพระทัย จึงเสด็จกลับมายังตำหนักพระชายาอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็ตรัสให้ธิดาผู้ก่อปัญหาไปกราบขอขมาโทษต่อพระมหาสัตว์เป็นการด่วน “ ดูก่อนนางลูกไม่รักดี! เจ้าจงรีบไปขอขมาต่อพระเจ้ากุสราชบัดเดี๋ยวนี้ ดูซิพระองค์ยังจักทรงประทานชีวิตให้กับเจ้าอีกหรือไม่! ”
พระนางประภาวดีครั้นทรงได้รับพระบัญชาจากราชามัททะจึงเสด็จไปยังโรงเครื่องต้นพร้อมด้วยพระภคินีทั้งเจ็ดแลเหล่านางบริจาริกาอีกจำนวนหนึ่ง ฝ่ายพระมหาสัตว์พอทรงเห็นนางอันเป็นที่รักกำลังเสด็จมาจึงทรงดำริ “ วันนี้เราจักต้องทำลายทิฐิการทะนงตนของแม่ประภาวดีให้จงได้ คอยดูเถอะ! ” ดังนั้นก่อนที่องค์เทวีจะเสด็จมาถึงโรงเครื่องต้นจอมราชาจึงทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับปากโอ่งน้ำขนาดสองคนโอบ แลมีน้ำอยู่เต็ม ยกขึ้นเสมอพระอุระ จากนั้นก็ทรงใช้พระหัตถ์อีกข้างช้อนก้นโอ่งเทน้ำในโอ่งทั้งหมดลงบนดินรอบๆที่ประทับ ยังผลให้พื้นดินรอบๆบริเวณนั้นเกิดเป็นบ่อโคลนย่อมๆขึ้นมา พอพระชายาผู้มีผิวพรรณดั่งทองคำเสด็จมาถึง จอมราชันก็ทรงคอยชำเลืองดูว่านางจักทรงแสดงกิริยาเยี่ยงไรเมื่อเห็นพื้นเฉอะแฉะ
แต่แทนที่จักทรงเห็นท่าทีที่ขยักแขยงของนาง ที่ไหนได้องค์เทวีกลับทรงทรุดพระองค์ก้มลงกราบจอมราชันบนพื้นที่เฉอะแฉะ ราวกับว่าทรงถวายบังคมอยู่บนผืนพรมยังไงก็ยังงั้น มิได้ทรงสนพระทัยว่าฉลองพระองค์จักทรงเปรอะเปื้อนหรือไม่ ทรงซบพระเศียรกอดพระยุคลบาทของพระมหาสัตว์พร้อมกับสะอึกสะอื้นตรัส “ ข้าแต่จอมไท้ผู้เปี่ยมเมตตา เจ็ดเดือนที่ผ่านมาหม่อมฉันมิเคยได้ถวายการรับใช้พระองค์เลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว! หม่อมฉันรู้สึกสำนึกผิดถึงการกระทำของตนเสียยิ่งนัก หม่อมฉันสัญญา นับแต่นี้ไปไม่ว่าพระองค์จักทรงให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันก็จักปฏิบัติตามทุกประการ หม่อมฉันจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจให้พระองค์ทรงเห็นอีกเลยแม้แต่น้อย ขอพระองค์โปรดทรงอย่ามีพระพิโรธต่อหม่อมฉันเลยเพคะ หากพระองค์ไม่ทรงอภัย หม่อมฉัน เห็นทีพระบิดาคงจักให้เพชฌฆาตประหารหม่อมฉัน แล้วตัดร่างหม่อมฉันออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับกษัตริย์ทั้งเจ็ดเสียเป็นแน่! ”
พระมหาสัตว์พอทรงสดับคำขออภัยจากโฉมงามอันเป็นที่รักก็ทรงดำริ “ ครั้งนี้หากเราไม่อภัยนาง เห็นทีนางต้องหัวใจแตกสลายเสียเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย จำเราจักปลอบนางให้คลายกังวลเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จอมราชันแห่งแคว้นมัลละจึงตรัส “ ดูก่อนประภาวดีน้องพี่ เมื่อน้องยอมลดศักดิ์ศรีมาขอขมาพี่เยี่ยงนี้มีหรือพี่จักไม่ให้อภัย พี่ไม่เคยโกรธเจ้าผู้มีผิวประดุจรัศมีแขเลย โปรดอย่ากังวลพี่ขอสัญญา นับแต่นี้ไปพี่จักไม่แกล้งเจ้าอีก ที่ผ่านมาถ้าพี่โกรธเจ้าจริงด้วยความสามารถของพี่ มีหรือบ้านเมืองเจ้าจักดำรงคงอยู่มาได้ถึงป่านนี้ แต่เพราะพี่รักเจ้าต่างหากถึงสู้ยอมลำบากมาเป็นพนักงานเครื่องต้นคอยปรุงอาหารให้เจ้าเสวย เจ้าคงจักเห็นถึงความจริงใจที่พี่มีต่อเจ้าแล้วนะ เอาล่ะ! บัดนี้เมื่อพี่ยังอยู่ทั้งคน กษัตริย์ใดยังจักกล้ามาแย่งเอามเหสีของพี่ไปอีกก็ลองดูถ้ามันไม่กลัวว่าหัวจักหลุดจากบ่า! ”
ตรัสแล้วราชากุสราชก็ทรงก้มพระองค์ลงประครองพระชายาให้ทรงลุกขึ้น พร้อมกับบอกให้นางไปคอยอยู่บนตำหนักก่อน จากนั้นจอมราชันก็เสด็จออกจากโรงเครื่องต้นไปยังพระลานหลวง เมื่อทรงไปถึงก็ทรงประกาศบันลือสีหนาทเปล่งพระสุรเสียงกู่ก้อง จนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งพระนคร ยังผลให้ชาวบ้านร้านถิ่นตลอดจนเหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตระหนกตกใจ รีบเปิดหน้าต่างประตูออกมาดูกันให้พรึบพรับ จากนั้นจอมราชันก็ทรงตบพระหัตถ์ติดๆกัน พร้อมกับทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศก้อง “ ดูก่อนชาวสาคละนครทั้งหลาย เราราชากุสราชพระชามาดาแห่งแคว้นมัททะ เราขอประกาศจักจับเป็นกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์เห็นเต็มสองตา! ขอพวกท่านจงคอยดูเถิด ”
หลังจากทรงประกาศศักดาอย่างเป็นที่เอิกเกริก จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละก็เสด็จไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททะเพื่อทรงขอยืมไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนช้างศึกม้าศึกต่อท่านพ่อตา พร้อมกับตรัสให้พระสัสสุระทรงไปสรงสนานแลพักผ่อนคลายพระอิริยาบถให้เป็นที่สำราญพระทัยเถิด เรื่องการศึกไว้เป็นหน้าที่ของพระองค์เอง ราชามัททะพอทรงสดับคำพระชามาดาก็ให้ทรงเบิกบานพระทัยเป็นยิ่งนัก ทรงหันไปตรัสกับเหล่าอำมาตย์ให้ทำการอุปัฏฐากจอมราชันแทนพระองค์ด้วย จากนั้นก็เสด็จขึ้นปราสาทไป
บรรดาอำมาตย์พอรับพระบัญชาก็สั่งให้ทหารกั้นพระวิสูตรล้อมโรงเครื่องต้นทันที จากนั้นก็ให้ช่างกัลบกเข้าไปตัดพระเกศาแลปลงพระมัสสุ (หนวด) ของพระมหาสัตว์ พอตัดผมโกนหนวดเสร็จ ก็อัญเชิญพระเจ้ากุสราชให้ทรงสรงสนานชำระพระวรกาย หลังจากทรงสรงน้ำแล้วเจ้าพนักงานก็ได้นำเครื่องทรงแลเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์มาแต่งให้กับจอมราชัน จากนั้นจึงอัญเชิญพระมหาสัตว์ให้เสด็จขึ้นสู่สีหบัญชร เพื่อทรงทอดพระเนตรกองทัพข้าศึกที่ล้อมเมืองอยู่
จอมกษัตริย์เมื่อทรงยืนอยู่หน้าสีหบัญชรก็ทรงกวาดสายพระเนตรไปรอบๆ พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ จากนั้นจึงทรงปรบพระหัตถ์ติดๆกันเสียงดังฉาน ๆ ๆ พร้อมกับทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศก้อง“ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงคอยดูเราจัดการกับพวกข้าศึกเหล่านี้เถิด ” เหล่านางสนมนางกำนัล ตลอดจนพระภคินีของพระนางประภาวดี พอทราบว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จขึ้นยังสีหบัญชร ต่างก็พากันเปิดหน้าต่างออกมาดูพระกิริยาท่าทางของพระองค์กันอย่างตื่นตาตื่นใจ เพลานั้นมหาดเล็กผู้หนึ่งได้เข้ามารายงาน ว่าบัดนี้พระเจ้ามัททะได้ทรงจัดเตรียมช้างศึกม้าศึกพร้อมไพร่พลให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงบัญชามาเถิดว่าจักให้ออกศึกเมื่อใด
จอมราชันพอทรงสดับจึงเสด็จลงจากสีหบัญชรขึ้นประทับบนคอช้าง ใต้เศวตฉัตรที่ประดับด้วยอัญมณีหลากสีสันอย่างวิจิตรตระการตา แต่ก่อนจักทรงไสช้างออกประตูเมืองพระองค์ได้ตรัสให้ทหารไปทูลอัญเชิญพระนางประภาวดีให้เสด็จมาพบ พอโฉมงามแห่งแคว้นมัททะเสด็จมาถึงพระองค์ก็ทรงอุ้มนางขึ้นประทับบนอาสน์ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) อันมีจตุรงคินีเสนา (กองทัพที่ประกอบ ด้วยกำลังพล ๔ เหล่า คือเหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ และเหล่าราบ) แวดล้อมเป็นกระบวนทัพ จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เคลื่อนพลออกทางประตูเมืองด้านทิศปราจีน
ทัพพระมหาสัตว์พอทรงเคลื่อนพลพ้นกำแพงเมืองจอมกษัตริย์ได้ตรัสให้หยุดทัพอยู่ที่หน้ากำแพงก่อน จากนั้นก็ทรงไส้ช้างออกไปยืนอยู่หน้าไพร่พลแต่เพียงผู้เดียว ทรงกวาดพระเนตรไปมา ดูทัพข้าศึกที่ตั้งประจันหน้า แล้วจู่ๆนั้นเองพระองค์ก็ทรงบันลือสีหนาท ทรงเปล่งพระสุรเสียงออกไปจนก้องสะท้านไปทั่วอาณาบริเวณแถบนั้น ยังผลให้เหล่าไพร่พลข้าศึกถึงกับแก้วหูอื้อกันไปตามๆกัน “ ดูก่อนเจ้าผู้มีใจบังอาจทั้งหลาย เราราชากุสราช ราชบุตรแห่งพระเจ้าโอกกากราช ใครที่ยังรักตัวกลัวตายก็จงยอมสยบให้เราเสียบัดนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนจักต้องกลายเป็นผีหัวขาด! ”
กษัตริย์ทั้ง ๗ พอทรงสดับพระสุรสีหนาทที่ทรงบันลือประดุจราชสีห์คำราม แลทรงทอดพระเนตรเห็นพระรูปกายอันสูงใหญ่กำยำเกินกว่าบุรุษทั่วไปถึงเกือบเท่าตัว ต่างก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนถึงกับพระหัตถ์อ่อน แม้แต่อาวุธที่ทรงถืออยู่ก็ยังมิอาจจักกำไว้ได้ ต้องปล่อยให้ร่วงหล่นพื้นดังเกรียวกราว ต่างองค์ต่างไม่ยอมพูดจาให้เสียเวลา พอทรงไสช้างหันหลังกลับได้ ต่างก็หนีเอาตัวรอดกันไปคนละทิศคนละทาง ปล่อยให้ไพร่พลแตกตื่นขวัญเสีย พากันทิ้งอาวุธหนีตามผู้เป็นนายดังราวกับฝูงมฤคได้ยินเสียงคำรามของพญาราชสีห์ยังไงก็ยังงั้น! เกิดเป็นความโกลาหลจนกองทัพต้องระส่ำระสายไม่เป็นรูปขบวน
เพลานั้นท้าวสักกะผู้ทรงเฝ้าตามดูพระมหาสัตว์มาโดยตลอด เมื่อทรงเห็นราชากุสราชทรงมีชัยเหนือกษัตริย์ทั้งเจ็ดได้อย่างราบคาบโดยมิต้องเสียเลือดเสียเนื้อ มเหสักขเทวราชก็ทรงชื่นชมในความสามารถของพระมหาสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพทรงมาลอยพระองค์ปรากฏยังเบื้องพระพักตร์ของจอมราชัน พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงมอบลูกแก้ววิเศษชื่อ “ เวโรจนะ ” ให้กับพระมหาสัตว์เป็นรางวัล
จอมกษัตริย์เมื่อทรงเห็นราชาแห่งเทพเสด็จลงจากฟากฟ้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพระองค์ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พอจอมเทพทรงยื่นลูกแก้ววิเศษมาให้ พระองค์ก็ทรงรีบยื่นพระหัตถ์ออกไปรับไว้ทันที แต่ช่างเป็นที่อัศจรรย์นัก พอพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์สัมผัสกับลูกแก้วเท่านั้น บัดนั้นพระพักตร์ที่ดูขี้ริ้วไม่งดงามฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นผ่องใสเรืองรองราวกับเทพบุตรจำแลงมา ยังไงก็ยังงั้น!
หลังจากทรงมีชัยเหนือข้าศึกราชากุสราชก็ทรงนำทัพกลับเข้าเมือง จากนั้นก็ทรงบัญชาให้ทหารไปจับตัวกษัตริย์ทั้งเจ็ดกลับมา เมื่อทหารนำกษัตริย์ทั้งเจ็ดมาถึงพระมหาสัตว์ได้ทูลพระสัสสุระว่า “ ข้าแต่มหาราช กษัตริย์ทั้งเจ็ดนี้มีใจเหิมเกริม กล้าบังอาจยกทัพมารุกรานแคว้นพระองค์ บัดนี้พวกเขาได้ตกอยู่ใต้พระราชอำนาจแห่งพระองค์แล้ว ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยเถิด ว่าจักทรงลงโทษพวกเขาสถานใด! ” ราชามัททะพอทรงสดับก็มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ทรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรัส “ ข้าแต่จอมราชัน! พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ขอพระองค์โปรดทรงเป็นผู้ตัดสินเถิด หากพระองค์ประสงค์เช่นไรก็ให้เป็นไปตามนั้น! ” พระเจ้ามัททะเพื่อจะทรงหลีกเลี่ยงมิให้ผิดพ้องหมองใจกับแคว้นทั้งเจ็ด จึงโยนหน้าที่ตัดสินมาให้พระมหาสัตว์ ด้านพระชามาดาก็ทรงรู้เท่าทันความคิดของพระสัสสุระ จึงทรงดำริ “ ประโยชน์อะไรที่เราจะไปฆ่ากษัตริย์เหล่านี้เล่า การยกทัพมาของพวกเขาถือเป็นคุณกับเราเสียอีก เพราะทำให้น้องประภาวดีหันกลับมารักเรา ฉะนั้นการมาของพวกเขาก็จงอย่าได้เปล่าประโยชน์เลย จำเราจักยกพระภคินีทั้ง ๗ ของน้องประภาวดีให้เป็นรางวัลตอบแทนก็แล้วกัน! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จอมราชาแห่งแคว้นมัลละจึงตรัส
“ ดูก่อนท่านทั้งเจ็ด ในเมื่อองค์เหนือหัวมัททราชทรงมอบหมายหน้าที่ให้เราเป็นผู้ตัดสินคดีความพวกท่าน ฉะนั้นขอพวกท่านจงตั้งใจฟังคำตัดสินของเราให้ดี ด้วยพระราชาแคว้นมัททะทรงมีพระธิดาที่ทรงรูปโฉมอยู่ถึง ๗ นาง แลแต่ละนางต่างก็ยังไม่ทรงมีคู่หมั่นหมาย ถึงแม้การมาของพวกท่านคราแรกจักถือเป็นโทษ แต่บัดนี้ถือว่าเป็นคุณ เพราะแคว้นมัททะและแคว้นทั้งเจ็ดของพวกท่านจักได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน สมเด็จพระราชาธิบดี มัททราชทรงเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา พระองค์จึงคิดจักทรงยกพระธิดาทั้ง ๗ ให้เป็นพระมเหสีพวกท่าน ไม่ทราบพวกท่านเห็นเป็นเช่นไร? ”
กษัตริย์ทั้งเจ็ดทีแรกต่างก็พากันหมดอาลัยตายอยาก คิดว่าพวกตนคงไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้แน่ แต่พอฟังคำตัดสินของพระมหาสัตว์ก็เหมือนหนึ่งว่ามัจฉาที่ถูกจับขึ้นบนบก แล้วจู่ๆก็ถูกจับโยนลงทะเลไปใหม่ มันช่างเหลือเชื่อเสียจริงๆ! ต่างพากันทรุดพระองค์ลงถวายบังคมพระมหาสัตว์เพื่อแสดงถึงความขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง
หลังเรื่องราวจบลงด้วยดี ถัดจากนั้นไม่กี่วันพระมหาสัตว์ก็ทรงขอพระราชอนุญาตราชามัททะพาพระมเหสีประภาวดีเสด็จกลับแคว้นมัลละ ระหว่างทางขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับในราชรถพระฉวีวรรณและพระรูปโฉมของจอมกษัตริย์ที่ทรงเปลี่ยนไปทำให้จอมราชันทรงดูสง่างาม จนแทบจักกล่าวได้ว่ามิได้ทรงยิ่งหย่อนไปกว่าพระชายาเลยแม้แต่น้อย!
ย้อนมาที่แคว้นมัลละ หลังจากมเหสีสีลวดีทรงทราบข่าวการเสด็จกลับของราชบุตร พระนางก็ทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวมงคลให้กับประชาชนทั่วแคว้นรับทราบ พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ทุกครัวเรือนตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับจอมราชัน จากนั้นทรงบัญชาให้ทหารกองเกียรติยศนำเครื่องราชบรรณาการตามพระองค์แลพระชยัมบดีออกไปต้อนรับพระมหาสัตว์ยังนอกพระนครด้วยพระองค์เอง
เมื่อขบวนเสด็จพระเจ้ากุสราชผ่านเข้ากำแพงเมืองพระมหาสัตว์ได้ทรงสั่งให้ทำการประทักษิณพระนครเพื่อเป็นการแสดงการคารวะต่อพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง ระหว่างขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านบ้านเรือนประชาชน เหล่าผู้คนที่รอรับเสด็จต่างพากันส่งเสียงไชโยโห่ร้องจนสนั่นกึกก้องไปทั่วพระนคร เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีที่พวกเขามีให้ต่อราชาของตน จอมราชันได้ทรงประกาศให้มีการเฉลิมฉลองแลการละเล่นมหรสพสมโภชเป็นเวลาถึง ๗ วั น ๗ คืน ในกาลนั้นพระเจ้ากุสราชแลพระนางประภาวดีต่างก็ทรงสมัครสมานรักใคร่สามัคคีกัน ทรงช่วยกันปกครองพระราชอาณาจักรกรุงกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองสืบมาตลอดพระชนมายุของทั้ง ๒ พระองค์ .
พอพระศาสดาตรัสชาดกเรื่องนี้จบ ภิกษุผู้เบื่อหน่ายในธรรมก็บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นในสายวันนั้นเอง .
หมายเหตุ :
พระเจ้าโอกกากราชในกาลนั้น ก็คือ พระเจ้าสุทโทธนะ
พระมเหสีสีลวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางศิริมหามายา
พระชยัมบดีราชกุมารในกาลนั้น ก็คือ พระอานนท์
นางค่อมในกาลนั้น ก็คือ นางขุชชุตตราอุบาสิกา
พระนางประภาวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางยโสธรามารดาของพระราหุล
และ
พระเจ้ากุสราชในกาลนั้น ก็คือ พระบรมศาสดา
ที่มา : .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ..