กุสราชมหาสัตว์๑ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
๏ กุสราชมหาสัตว์ ๑
สมัยหนึ่งระหว่างที่พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ครานั้นพระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งผู้ไม่ยินดีในธรรมมีใจใคร่จะสึกว่า เราได้ยินว่ากุลบุตรชาวสาวัตถีผู้หนึ่งถวายตนเข้ามาบรรพชาแล้ว ขณะบิณฑบาตเห็นสตรีนางหนึ่งแต่งกายงดงามก็ถือเอานิมิตนั้นมาครุ่นคิด หมดความยินดีในพรหมจรรย์ ปล่อยให้จีวรเศร้าหมอง เล็บงอกยาว ไม่หลับไม่ฉัน จนร่างกายผ่ายผอมอุปมาดั่งเทวบุตรเห็นนิมิตห้าประการบอกว่าตนใกล้ถึงกาลจุติแล้ว ฉันใดฉันนั้น
บรรดาสงฆ์เมื่อฟังต่างก็ร้อนใจ จึงให้พระรูปหนึ่งไปพาตัวภิกษุรูปนั้นมาเข้าเฝ้า เมื่อพระที่ถูกพาดพิงมาถึงแลได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเสร็จ องค์บรมครูจึงตรัสถามเขาว่า ดูก่อนภิกษุ เราได้ยินว่าเธอจะสึกหรือ? ภิกษุผู้มีใจเบื่อหน่ายในเพศบรรพชิตได้ทูลว่า เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า องค์บรมครูครั้นทรงสดับจึงทรงมีพระดำรัสตรัสแก่พระรูปนั้นว่า
ดูก่อนสมณ เธอจงอย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำดวงจิตเธอเลย ธรรมดาสตรีย่อมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ขอเธอจงห้ามใจอย่าไปรักใคร่ในมาตุคามเถิด บุรุษใดแม้จักถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก แต่ฤทธิ์ของเขาก็ต้องเสื่อมเพราะมีใจไปปฏิพัทธ์ในหญิงงาม สุดท้ายต้องถึงความพินาศก็เพราะมาตุคามเป็นเหตุ เมื่อตรัสดังนี้แล้วก็ทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยคำใดอีก ภิกษุทั้งหลายเพื่อต้องการจักทราบความนัยโดยละเอียด จึงอาราธนาพระองค์ให้ทรงขยายความในเรื่องดังกล่าว องค์บรมครูเมื่อทรงเห็นถึงความปรารถพวกเขา จึงทรงยกเอานิทานมาแสดง
ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตอันเนิ่นนาน มีราชาองค์หนึ่งครองกรุงกุสาวดี แคว้นมัลละ นามว่า พระเจ้าโอกกากราช ทรง เป็นกษัตริย์ที่เหล่าปวงประชาต่างให้ความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง ราชาพระองค์นี้ทรงมีพระมเหสีนางหนึ่งชื่อ สีลวดี ทรงเป็นสตรีที่มีความงดงามทั้งกายและใจ โดยเฉพาะศีลาจารวัตรที่พระนางทรงยึดถือปฏิบัติ ได้เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วแคว้น จนผู้คนต่างก็ทราบกันดี ดังนั้นพระนางจึงทรงเป็นที่รักของจอมกษัตริย์ยิ่งกว่าสนมใด แต่ทุกสิ่งทุกล้วนไม่มีอะไรสมบูรณ์
หลังจากทรงอภิเษกสมรสกับจอมกษัตริย์ ผ่านมาหลายปีองค์เทวีก็ยังไม่ทรงสามารถให้กำเนิดพระโอรสแก่พระเจ้าโอกกากราชได้ เหตุนี้จึงทำให้ชาวเมืองไม่พอใจ จนวันหนึ่งชาวเมืองได้มารวมกันยังลานหน้าพระ บรมมหาราชวังเพื่อจักร้องเรียนพระราชาว่า บ้านเมืองจักถึงกาลพินาศหากพระองค์ยังทรงไร้ซึ่งรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ องค์ราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงตอบไปว่าพระองค์ทรงใช้หลักธรรมในการปกครอง ไฉนบ้านเมืองจึงจักพินาศเล่า? แต่ชาวเมืองแย้งว่าถึงพระองค์จักทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมก็จริง แต่การที่ทรงไร้ซึ่งรัชทายาทอาจเป็นสาเหตุให้ชนเหล่าอื่นคิดช่วงชิงเอาพระราชสมบัติได้ แล้วก็จักนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมือง ฉะนั้นขอโปรดทรงขวนขวายให้ได้มาซึ่งรัชทายาทโดยไวเถิด
พระราชาครั้นทรงสดับจึงตรัสถามพวกเขาว่า แล้วจักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร? เหล่าพสกนิกรซึ่งได้เตรียมวิธีไว้ให้แล้ว พอฟังจึงทูลไปว่า อย่างแรกพระองค์ต้องทรงอนุญาตให้นางสนมรุ่นเยาว์ออกนอกวังไปมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นเป็นเวลาเจ็ดวัน จากนั้นค่อยเรียกมาถามว่านางตั้งครรภ์หรือไม่ หากยังไม่ตั้งครรภ์ก็ทรงอนุญาตให้สนมนางต่อไปทดลองดู ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงสนมรุ่นกลาง แลรุ่นใหญ่ ในบรรดาสนมที่มีอยู่ ๑๖,๐๐๐ นางนั้น ย่อมต้องมีสักนางที่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้เป็นแน่
พระราชาหลังทรงฟังคำแนะนำของชาวเมืองก็ทรงปฏิบัติตาม แต่ถึงพระองค์จักส่งสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางไปมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นจนสิ้น ทว่าก็หาได้มีนางใดจักให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์แม้แต่เพียงนางเดียว! ดังนั้นบัลลังก์แคว้นมัลละจึงยังไร้ซึ่งรัชทายาทเหมือนเดิม ฝ่ายชาวเมืองเมื่อเห็นว่ากาลก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของรัชทายาท จึงพากันมารวมตัวร้องเรียนอีกครั้ง
ครั้งนี้จอมกษัตริย์ได้ตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์ได้ทรงทำตามที่พวกเขาบอกแล้วทุกประการ จนไม่เหลือแม้แต่สนมสักนาง แต่ก็หาจักมีนางใดให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ได้ แล้วอย่างนี้จักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร? บรรดาชาวเมืองพอฟังก็ให้ประหลาดใจนัก จึงปรึกษากัน
หลังได้ข้อสรุปจึงทูลว่าสนมทั้งหมื่นหกพันนางนั้นคงจักเป็นผู้ทุศีลเสียเป็นแน่ จึงไม่มีผู้มีบุญลงมาเกิดในครรภ์พวกนาง เอาอย่างนี้ ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีผู้เป็นอัครมเหสีได้ทรงทดลองเถิด ด้วยพระนางทรงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ พวกตนเชื่อว่าองค์เทวีจักต้องทรงสามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่ จอมกษัตริย์เมื่อทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกปวดร้าวพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพระนางสีลวดีทรงเป็นพระมเหสีที่พระองค์ทรงรักใคร่เทียบได้กับชีวิตจิตใจ แต่เพื่อบ้านเมือง จำต้องทรงตัดพระทัยให้พระนางไปทดลองดู
หลังชาวเมืองกลับไปจอมราชาได้ทรงรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่านับจากนี้เป็นเวลา ๗ วันพระองค์จะทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีออกจากวังไปเลือกบุรุษที่นางพึงใจ เพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ บุรุษใดปรารถนาจักถูกรับเลือก ให้มาประชุมพร้อมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังในเช้าวันนั้น!
ครั้นถึงเช้าวันที่แปดราชาโอกกากราชได้ทรงให้นางกำนัลไปตกแต่งประดับประดาพระมเหสีด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จากนั้นทรงรับสั่งให้ทหารรักษาวังเปิดบานทวารพระบรมมหาราชวัง อัญเชิญจอมเทวีเสด็จพระราชดำเนินออกสู่ด้านนอก
เวลานั้น ณ ภพดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของมเหสักห์จอมเทพพระนามว่า ท้าวสักกเทวราช ด้วยอานุภาพแห่งศีลที่พระมเหสีสีลวดีได้ทรงรักษา ทันทีที่พระนางทรงย่างพระบาทพ้นบานทวารของพระบรมมหาราชวัง ภพขององค์อมรินทร์ก็เกิดอาการร้อนเร่าขึ้นมาทันใด องค์เทพราชาพอทรงเห็นก็ทรงรู้ว่าบัดนี้แดนมนุษย์โลกต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ จึงทรงกำหนดจิตดู
ทันใดก็ทรงทราบพระนางสีลวดีผู้เปี่ยมด้วยศีลกำลังจะเสียสละตนเองเพื่อบ้านเมือง โดยทรงยอมมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นเพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระเจ้าโอกกากราช พอทรงทราบดังนั้นจึงทรงคำนึงขึ้น เราจะยอมให้ศีลขององค์เทวีด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด แลจักต้องให้นางได้พระโอรสสมปรารถนาด้วย การนี้เห็นทีคงต้องให้เทพบุตรองค์ใดองค์หนึ่งไปเกิดเป็นบุตรนางเสียแล้ว แต่จักให้องค์ใดไปดีหนอ? ทันใดก็ทรงเห็นภาพของพระโพธิสัตว์ซึ่งใกล้ถึงกาลจักต้องจุติจากภพดาวดึงส์ไปบังเกิดยังเทวภูมิชั้นที่สูงขึ้นไป เมื่อทรงทราบดังดังนั้นท้าวเธอจึงไม่รอช้า รีบเสด็จไปยังวิมานของพระมหาสัตว์พร้อมด้วยเทพผู้ติดตามทันที
พอไปถึงก็ตรัสกับเทพโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนมหาสัตว์ ขอท่านจงไปเกิดในครรภ์ของมเหสีสีลวดียังภพมนุษย์เถิด แลเพื่อจักให้พระโพธิสัตว์ยอมรับในเทวบัญชา จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงหันมาตรัสกับเทพผู้ติดตามข้างๆว่า ถึงท่านเช่นกัน จงไปเกิดเป็นพระโอรสของพระนางสีลาวดีร่วมกับพระมหาสัตว์ด้วยเถิด ทันทีที่ทรงรับสั่งเสร็จจอมเทพผู้เลื่องนามก็ไม่ทรงอยู่ให้เทพบุตรทั้งสองได้โต้แย้งแต่อย่างใด รีบเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพมาปรากฏกายยังลานหน้าพระบรมมหาราชวังในร่างของพราหมณ์แก่ผู้หนึ่งทันใด
ขณะนั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังอันกว้างใหญ่ ล้วนคลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษจนแทบจะหาที่ยืนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษน้อย บุรุษใหญ่ ไล่ไปจนถึงบุรุษวัยใกล้ขึ้นเมรุ ล้วนพากันมายืนอวดโฉมรอให้พระนางสีลวดีทรงเลือกตนไปเป็นคู่อภิรมย์กันให้สลอน บรรดาคนเหล่านั้นพอเห็นท้าวสักกะในร่างพราหมณ์แก่ก็มายืนปิดท้ายรอรับเลือกกับเขาด้วย ต่างก็พากันหัวเราะออกมา ไม่เพียงเท่านั้น บางรายยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางกันไปต่างๆนานาอีก พราหมณ์เฒ่าเมื่อถูกเหล่าฉกรรจ์ดูถูกเขาก็แสร้งทำมีโมโห จึงกล่าวาจาโต้ตอบไป แต่เนื่องจากด้วยวัยที่แก่ชรา เสียงที่พูดออกมาจึงดูสั่นพร่า แถมยังตะกุกตะกักอีก
ชิ ชะ! เจ้า พวก ผู้เยาว์ ถึง กาย เรา มัน จักแก่ก็จริง แต่ความ กระชุ่ม กระชวย มันหาได้แก่ตาม ไปด้วย เสียเมื่อไหร่ เราจัก แสดงให้เห็นว่า พระนาง สี ล วดี จัก ต้อง เป็น ของเรา แน่นอน ขอพวกท่าน จงคอย ดูเถอะ บุรุษทั้งหลายเมื่อฟังพวกเขาก็ยิ่งพากันหัวเราะขบขันเข้าไปใหญ่ แต่พราหมณ์ชราหาได้สนใจไม่ เขากำลังครุ่น คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจักมิให้ศีลขององค์เทวีต้องด่างพร้อย ทันใดก็ผุดความคิดขึ้นมา จึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงเปิดทางให้กับข้าพเจ้า บัดเดี๋ยวนี้!
ทันทีที่พูดจบพราหมณ์เฒ่าก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กระโจนไปข้างหน้าสุดตัวราวกับอาชาชำนาญศึกยังไงยังงั้น แต่ช่างเป็นเรื่องประหลาดนัก เสียงที่เขาตะโกนครั้งนี้ไฉนมันจึงมิได้สั่นพร่าแลตะกุกตะกักเหมือนดั่งคราแรก แต่กลับกังวานราวกับเสียงระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีโดยผู้ที่มีพละกำลังปานฉะนั้น บรรดาชายฉกรรจ์ที่ออขวางอยู่เมื่อได้ยินต่างก็ถึงกับหูอื้อกันไปตามๆกัน และไม่เพียงเท่านั้น
ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนพวกเขาแต่ละคนก็มีความรู้สึกเหมือนว่าตนนั้นถูกวัวบ้าขวิดยังไงยังงั้น เนื่องจากมีแรงมหาศาลกระแทกเข้าหาพวกตน จนพวกเขาต้องกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทางล้มระเนระนาดกองอยู่กับพื้น และยังมิทันที่พวกเขาจักลุกขึ้นพราหมณ์ชราที่ถูกตราหน้าว่าไม่เจียมสังขาร บัดนั้นก็ขึ้นมายืนอวดโฉมอยู่แถวหน้าสุดได้อย่างง่ายดาย ขณะนั้นพระนางสีลวดีได้เสด็จมาถึงเบื้องหน้าพราหมณ์แก่พอดี ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า เอื้อมมือไปคว้าข้อพระหัตถ์ของนางเอาไว้ทันใด จากนั้นก็จูงพระนางออกจากลานหน้าพระบรมมหาราชวังหายลับไปในพริบตา!
บรรดาบุรุษที่มัวแต่หันไปดูผู้ที่ถูกพราหมณ์เฒ่าเบียดใส่นอนร้องครวญครางอยู่ที่พื้น ต่างไม่มีผู้ใดสังเกตว่าด้าน หน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอหันกลับมาไม่เห็นร่างของพราหมณ์เฒ่าแลองค์มเหสีแล้ว ก็ถึงกับยืนงงกันเป็นไก่ตาแตก พอได้สติรู้ว่าตนเสียรู้ให้กับพราหมณ์ชราแล้ว จึงพากันผรุสวาทออกไป
ดูเถิดท่านผู้เจริญ! พราหมณ์แก่ได้พาพระเทวีผู้เลอโฉมหนีไปแล้ว ตาเฒ่านี่ช่างไม่รู้ว่าสิ่งใดควรฤามิควรกับตนเลย ถึงพระทวีเองก็เช่นกัน มิได้ทรงขวยอายเลยว่าพราหมณ์ชราคราวปู่เป็นผู้พาตนไป ไฉนจึงยอมไปกันง่ายๆเช่นนี้ ช่างน่าแค้นใจจริงๆ! ฝ่ายพระเจ้าโอกกากราชที่ทรงเฝ้ามองอยู่ทางช่องพระแกล ครั้นทรงเห็นพราหมณ์ชราพาพระมเหสีของพระองค์ไป ก็ทรงเสียพระทัยไม่แพ้กัน
กล่าวถึงท้าวสักกะในร่างราหมณ์เฒ่า หลังทรงพามเหสีสีลวดีออกจากประตูเมืองแล้ว ก็ทรงพานางมายังเรือนไม้ที่พระองค์ได้ทรงเนรมิตไว้ก่อนหน้านี้ พอมาถึงก็ทรงเชื้อเชิญให้นางขึ้นเรือน ลำดับนั้นพระเทวีพอทรงเห็นเรือนไม้ที่กว้างขวางใหญ่โตเกินกว่าฐานะของพราหมณ์ชราจักพึงมีได้ จึงตรัสถามจอมทเทพว่า พ่อเอย นี่เรือนของพ่อรึ? จอมเทพในร่างพราหมณ์แก่พอฟังจึงตอบว่า ใช่แล้วน้องหญิง กาลก่อนพี่อยู่คนเดียว บัดนี้มีน้องมาอยู่ด้วย ฉะนั้นพี่ต้องออกไปหาข้าวสารมาเพิ่มก่อน ขอน้องจงพักบนเครื่องลาดนี้เถิด
ไม่เพียงแต่พูด ว่าแล้วท้าวสุรบดีก็ทรงเอาพระหัตถ์อันอ่อนนุ่มแตะไปที่กายขององค์เทวีทันที มเหสีสีลวดีพอทรงถูกฝ่าพระหัตถ์ของท้าวสักกะแตะใส่ ก็ทรงเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาทันใด เพียงไม่ถึงอึดใจก็ทรงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ท้าวโกสีย์เมื่อทรงเห็นพระชายาของพระเจ้าโอกกากราชทรงหมดสติ จึงทรงอุ้มนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระ จากนั้นก็ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้าเหาะกลับดินแดนตาวติงสาโดยพลัน
พอมาถึงไพชยนต์ปราสาทก็ทรงวางนางลงบนทิพอาสน์อันประดับด้วยสัตพิธรัตน์(แก้วเจ็ดประการ) จากนั้นก็เสด็จไปพักผ่อนพระวรกายในสวนอุทยานทิพย์ปุณฑริกวันเพื่อรอนางตื่นขึ้นมา มเหสีสีลวดีหลังจากทรงหลับไปได้สักพักก็ทรงตื่นขึ้น พอทรงตื่นมาเห็นห้องบรรทมตกแต่งด้วยสิ่งของที่วิจิตรงดงามเกินกว่าจักพรรณนา แต่ละอย่างแต่ละชิ้นล้วนไม่เคยทรงเห็นจากที่ไหนมาก่อน ก็ทรงทราบว่าพราหมณ์ชราผู้นี้คงมิใช่มนุษย์เสียเป็นแน่ คงจักเป็นท้าวสักกะจำแลงกายมา ดังนั้นจึงทรงลุกจากพระแท่นบรรทมเสด็จออกมายังนอกปราสาท
เพลานั้นสมเด็จพระอมรินทราธิราชกำลังประทับอยู่บนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ตั้งอยู่โคนต้นปาริฉัตร แวดล้อมไปด้วยเหล่านางฟ้า เมื่อทรงเห็นมเหสีสีลวดีเดินออกมาจึงทรงกวักพระหัตถ์เรียกให้นางเข้ามาหา องค์เทวีเมื่อทรงเห็น จึงเสด็จเข้าไป เมื่อไปถึงท้าวสักกะได้ตรัสกับนางว่า ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้เจ้าคงทราบแล้วว่าพี่เป็นใคร เอาอย่างนี้เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา พี่จะให้พรเจ้าหนึ่งอย่าง ขอเจ้าจงบอกมาเถิดว่าต้องการสิ่งใด องค์เทวีพอทรงสดับจึงทูลว่า
ขอเดชะพระผู้ทรงฤทธิ์ ขอพระองค์โปรดทรงประทานพระโอรสพระองค์หนึ่งให้แก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ ท้าวสหัสนัยน์ครั้นทรงสดับจึงตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง อย่าว่าแต่พระโอรสหนึ่งพระองค์เลย พี่จะให้เจ้าสอง พระองค์ก็แล้วกัน แต่โอรสทั้งสองนี้องค์หนึ่งจักเป็นผู้เรืองปัญญามากสามารถ แต่ทว่ารูปไม่งาม ส่วนอีกองค์จักเป็นผู้ที่มีรูปงาม แต่ด้อยสามารถ พระโอรสทั้งสองนี้เจ้าปรารถนาองค์ไหนก่อนฤา? มเหสีสีลวดีพอทรงสดับจึงทูลว่า ขอเดชะ หม่อมฉันต้องการพระโอรสที่เรืองปัญญาก่อนเพคะ ท้าววาสพเมื่อฟังจึงตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าจักได้ตามที่เจ้าปรารถนา แลนอกจากพรแล้วเรายังจักประทานสิ่งของให้เจ้าอีก ๕ อย่าง คือ หญ้าคาทิพย์ ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตรทิพย์ และ พิณโกกนท
หลังตรัสจบจอมเทพแห่งตาวติงสาก็ทรงใชเทพฤทธิ์บันดาลให้พระนางสีลวดีหมดสติไปทันใด จากนั้นก็ทรงอุ้มนางเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมายังภพมนุษย์ พอมาถึงก็ทรงวางนางลงบนพระแท่นบรรทมของพระเจ้าโอกากราช จากนั้นก็ทรงลูบพระนาภี (ท้อง) ขององค์เทวีด้วยพระอังคุฐ (นิ้วหัวแม่มือ) ด้วยอาการขึ้นลง แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับเทวภูมิในบัดดล ช่างเป็นที่อัศจรรย์นัก ทันทีที่ท้าวโกสีย์ทรงลูบพระนาภีของมเหสีสีลวดีเสร็จเท่านั้น พระโพธิสัตว์เทพบุตรก็จุติจากดาวดึงส์ภพลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนาง ทันทีทันใดเช่นกัน ลำดับนั้นองค์เทวีทรงรู้ว่า บัดนี้นางได้ทรงตั้งครรภ์แล้ว!
เช้ารุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงตื่นจากบรรทมเห็นพระชายาทรงหลับอยู่ข้างๆ ก็ให้ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสถามนางว่า ดูก่อนพระชายา เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใดรึ? แล้วใครเป็นคนพาเจ้ามา? พระเทวีซึ่งกำลังทรงหลับอยู่อย่างเป็นสุข ครั้นทรงได้ยินคำถามจอมกษัตริย์ จึงทรงค่อยๆลืมพระเนตรขึ้น จากนั้นได้ทูลว่า
ข้าแต่มหาราชา หม่อมฉันมาถึงตั้งเมื่อคืนเพคะ ท้าวสักกเทวราชทรงพาหม่อมฉันมาส่ง องค์ราชาครั้นทรงสดับก็ให้ทรงคลางแคลงพระทัย จึงตรัสถามว่า ดูก่อนเทวี เราเห็นเจ้าถูกพราหมณ์แก่พาไป ไฉนเจ้าจึงมากล่าวความเท็จกับเราเล่า? มเหสีสีลวดีทูลว่า ขอพระองค์โปรดทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ องค์อมรินทร์ทรงพาหม่อมฉันไปยังดาวดึงส์ภพ แล้วก็ทรงพาหม่อมฉันมาส่งยังโลกมนุษย์จริงๆเพคะ
แต่ถึงพระนางจะทรงอธิบายเพียงใดจอมราชาก็หาทรงยอมเชื่อไม่ ดังนั้นพระนางจึงทรงนำของวิเศษ ๕ อย่างที่ท้าวสักกะทรงประทานให้ ออกมาแสดงต่อพระพักตร์ องค์ราชาธิบดีพอทรงเห็นของแปลกประหลาดที่พระองค์ไม่เคยทรงเห็นจากที่ไหนมาก่อนจึงทรงยอมเชื่อ จากนั้นจึงตรัสถามถึงเรื่องที่ทรงกังวลต่อพระชายาว่า ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ พักเรื่องท้าวสักกะไว้ก่อนเถิด พี่อยากทราบว่าการที่เจ้าหายไปครั้งนี้ เจ้าได้บุตรกลับมาหรือไม่? องค์เทวีครั้นทรงสดับจึงตรัสว่า ข้าแต่มหาราช บัดนี้หม่อมฉันได้ตั้งครรภ์แล้วเพคะ!
จอมกษัตริย์พอทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบัญชาให้นางกำนัลรีบไปนำเครื่องบำรุงครรภ์มาถวายพระชายาเป็นการด่วนทันที จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวดีนี้ให้กับประชาชนทั่วแคว้นรับทราบโดยทั่วกัน แลให้ทุกครัวเรือนร่วมกันเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทที่เพิ่งจักปฏิสนธิในพระครรภ์นี้ เป็นเวลาจ็ดคืนเจ็ดวัน
จำเนียรกาลผ่านไป จนถึงกำหนดทศมาสพระนางสีลวดีก็ได้ทรงประสูติพระโอรสนามว่า กุสติณราชกุมาร (กุสราชกุมาร) ให้กับพระเจ้าโอกกากราชสมดั่งพระทัยปรารถนา แลถัดจากนั้นอีก ๑๐ เดือนก็ทรงประสูติพระโอรสองค์ที่สองนามว่า ชยัมบดีราชกุมาร ให้กับจอมราชาอีก พระกุมารทั้ง ๒ ต่างก็ทรงเจริญพระชันษาด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ พระเชษฐากุสราชนั้นทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาเป็นเลิศ ไม่ว่าจักทรงศึกษาเล่าเรียนศิลปะแขนงใด ก็ทรงถึงซึ่งความสำเร็จทั้งหมด จนพระชนมายุได้ ๑๖ พระชันษาพระบิดาก็ทรงปรารถนาจะมอบราชสมบัติให้ วันหนึ่งจอมราชาได้ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระนางสีลวดีมาเข้าเฝ้า เมื่อองค์เทวีเสด็จมาถึงจอมกษัตริย์จึงตรัสว่า
ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้พี่ได้ตัดสินใจจะมอบราชสมบัติให้แก่ลูกกุสราช แลจักให้เหล่านางฟ้อนมาบำรุงบำเรอเขาในขณะที่เราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ จักได้เห็นลูกของเราครองราชย์อย่างมีความสุข ก็ลูกของเราคิดชอบใจพระธิดากษัตริย์ใดในชมพูทวีป พี่ก็จะไปขอพระธิดาองค์นั้นมาเป็นมเหสีของเขา น้องเห็นเป็นอย่างไร? มเหสีสีลวดีครั้นทรงสดับจึงตรัสว่า หม่อมฉันเห็นด้วยเพคะ ในเมื่อทั้งสองต่างเห็นตรงกัน หลังจากทรงกลับจากเข้าเฝ้าแล้ว องค์เทวีจึงมีรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลเรื่องดังกล่าวแก่พระราชโอรสกุสราชทราบ เพื่อจักทรงหยั่งเชิงดู
พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับถ้อยคำที่นางกำนัลทูลถวาย ก็ทรงดำริว่าตนนั้นมีหน้าตาไม่งดงาม พระธิดาผู้สมบูรณ์ด้วยรูปหากมาเห็นก็คงจักต้องตอบปฏิเสธเสียเป็นแน่ เรื่องอะไรจะมาทนอยู่กับพระสวามีที่มีหน้าตาขี้ริ้ว เห็นทีเราควรอยู่เป็นโสดดีกว่า คอยบำรุงบิดามารดาให้มีความสุข แหละพอท่านทั้งสองสิ้นพระชนม์ เราก็จักออกบวช เพื่อประโยชน์แห่งตนในโลกหน้า! เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับนางกำนัลว่า ดูก่อนพี่สาว เราหาได้ปรารถนาในราชสมบัติไม่ แลก็ไม่ต้องการนางฟ้อนด้วย พอพระชนกและพระชนนีสวรรคตเราจักออกบวช ขอพี่สาวจงไปตอบพระมารดาดังนี้เถิด นางกำนัลพอฟังจึงมิรอช้า รีบกลับมาทูลให้พระมเหสีสีลวดีทรงรับทราบทันที
องค์เทวีครั้นทรงสดับก็ทรงรู้สึกเสียพระทัย แต่ก็ทรงหายินยอมไม่ ผ่านไปสองวันพระนางก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลกลับไปถามใหม่ แต่พระมหาสัตว์ก็ยังทรงยืนยันคำเดิม เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา จนครั้งที่สี่พระ โอรสกุสราชได้ทรงดำริว่า ธรรมดาลูกจะขัดขืนพ่อแม่ร่ำไปนั้นหาควรไม่ จำเราจักต้องทำอุบายอะไรสักอย่างให้พระมารดาทรงเปลี่ยนพระทัย! เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงให้มหาดเล็กไปขนเอาทองคำจากท้องพระคลังมาเก็บไว้ที่ตำหนักพระองค์สองคันรถ จากนั้นก็ทรงให้เขาไปตามช่างทองมาพบ เมื่อช่างทองมาถึงพระองค์ได้ตรัสกับช่างทองว่า ดูก่อนนายช่าง เราอยากจักได้รูปหล่อสตรีมาตั้งไว้ในห้องนอนเรา ขอท่านจงเอาทองคำหนึ่งคันรถนี้ไปหล่อเป็นรูปสตรีเถิด เสร็จแล้วจงนำมาให้เราดู ช่างทองพอฟังก็มิรอช้า รีบเข็นรถทองคำคันหนึ่งจากไปทันที ฝ่ายพระโอรสครั้นพอนายช่างไปแล้ว ก็ทรงเข็นรถทองคำคันที่เหลือไปยังด้านหลังพระตำหนักของพระองค์บ้าง แล้วก็ทรงทำการหล่อรูปสตรีขึ้นมาเช่นกัน!
ธรรมดาความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ย่อมสำเร็จสมดังประสงค์ทุกประการ ดังนั้นรูปหล่อสตรีที่พระโอรสกุสราชทรงหล่อขึ้นจึงมีความงามราวกับมีชีวิตจริง เมื่อทรงหล่อเสร็จก็ทรงนำเอาเครื่องทรงของราชธิดากษัตริย์มาสวมให้กับรูปหล่อนั้น จากนั้นก็ทรงนำรูปหล่อไปเก็บไว้ในห้องบรรทม จนนายช่างหล่อรูปสตรีของเขาเสร็จแลได้เข็นรูปหล่อของตนมาแสดงต่อพระพักตร์พระมหาสัตว์จึงตรัสให้เขาไปยกเอารูปหล่อของพระองค์ในห้องบรรทมออกมาว่า ดูก่อนนายช่าง ขอท่านจงไปเอารูปหล่อสตรีของเราในห้องนอนออกมาเถิด เราจักดูซิว่ารูปหล่อของท่านกับของเรา ใครจักงามกว่ากัน! ช่างทองพอฟังจึงรีบลุกไปตามรับสั่งทันที
เนื่องจากในห้องบรรทมมิได้เปิดบานพระแกลไว้ ฉะนั้นข้างในจึงดูสลัว พอนายช่างเข้าไปเห็นสตรีสวมเครื่องทรงราชธิดากษัตริย์นั่งอยู่ จึงสำคัญผิดคิดว่าเป็นนางอัปสรจำแลงกายมาร่วมอภิรมย์กับพระราชโอรส จึงลนลานกลับมาทูลพระมหาสัตว์ว่า ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระบาทไม่ทราบว่ามีพระแม่เจ้าประทับอยู่ในห้องบรรทม จึงละลาบละล้วงเข้าไป ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับข้าพระบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า! พระโอรสกุสราชครั้นทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัส ดูก่อนนายช่าง สตรีที่ไหนรึ? ที่ท่านเห็นนั้นคือรูปหล่อทองคำของเราต่างหาก หาใช่สตรีจริงๆเสียเมื่อไหร่ ขอท่านจงไปนำออกมาเถิด นายช่างพอฟังจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง
ครั้งนี้พอไปถึงเขาค่อยๆยื่นมือไปแตะที่ผิวของรูปหล่อก่อน พอสัมผัสถึงความเย็นเฉียบของเนื้อโลหะจึงยอมเชื่อว่านางมิใช่มนุษย์ ดังนั้นจึงยกเอารูปหล่อออกมา พระมาสัตว์เมื่อทรงเห็นว่ารูปหล่อของพระองค์นั้นงดงามกว่าของนายช่างอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ จึงรับสั่งให้เขานำรูปหล่อของเขาไปเก็บไว้ในท้องพระคลัง จากนั้นก็ทรงให้ทหารยกเอารูปหล่อของพระองค์ขึ้นบนแคร่ส่งไปยังตำหนักพระมารดา พร้อมกับทรงฝากพระดำรัสให้ทหารไปบอกพระนางว่า หากแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีสตรีที่งามเหมือนดังรูปหล่อนี้ นั่นแหละพระองค์จึงจักทรงยอมอยู่ครองเรือน!
องค์เทวีพอทรงสดับวาจาที่ทหารบอก แหละทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อที่มีความงามเหนือคำบรรยาย ก็หาได้ทรงยอมแพ้ไม่ ทรงย่างพระบาทไปมาครุ่นคิดว่าจักทรงทำอย่างไร ถึงจักทำให้บุตรชายยอมอยู่ครองเรือน จนผ่านไปครู่ใหญ่พระนางก็ทรงคิดวิธีได้ จึงตรัสให้นางกำนัลไปตามท่านอำมาตย์มาพบ
เมื่อท่านอำมาตย์มาถึงพระนางได้ทรงบัญชาให้เขาจัดขบวนคณะทูต นำรูปหล่อทองคำนี้ขึ้นรถม้าปิดผ้าคลุมไว้อย่าให้ผู้ใดเห็น จากนั้นให้เขาท่องไปยังเมืองต่างๆทั่วชมพูทวีป หากพบพระราชธิดากษัตริย์ใดมีรูปร่างงดงามราวกับรูปหล่อ ก็จงถวายรูปหล่อนี้แด่พระราชาเมืองนั้น แล้วให้กราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละจักขอกระทำอาวาหวิวาหมงคล(การแต่งงานแบบฝ่ายหญิงต้องย้ายมาอยู่กับฝ่ายชาย)พร้อมกันนั้นก็ให้เขากำหนดวันนัดหมายกับทางเมืองนั้นให้เป็นที่เรียบร้อย เสร็จแล้วให้รีบกลับกรุงกุสาวดีมารายงานให้พระนางทราบเป็นการด่วน ท่านอำมาตย์พอได้รับบัญชาจึงรีบไปดำเนินการตามรับสั่งทันที
ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนคณะทูตแห่งแคว้นมัลละก็ได้เดินทางออกจากกรุงกุสาวดี ท่องไปตามแว่นแคว้นต่างๆ พอถึงเมืองใดพวกเขาก็ตกแต่งรูปหล่อทองคำด้วยเครื่องประดับแลดอกไม้ ยกขึ้นบนวอ รอจนโพล้เพล้ก็นำรูปหล่อไปตั้งไว้ริมทางก่อนจะลงสู่ท่าน้ำ จากนั้นก็แอบซุ่มฟังเสียงผู้คนที่มาอาบน้ำคุยกัน บรรดาผู้ที่มาอาบน้ำพอเห็นสตรีนั่งอยู่บนวอต่างก็ไม่มีผู้ใดคิดว่านางเป็นรูปหล่อ พากันเอ่ยปากชมเชยว่า แม่หญิงนางนี้ช่างงามจริง ผิวพรรณผ่องใสเสียนี่กระไร แม้นางอัปสรก็คงมิได้งามเกินกว่านี้แน่ ไฉนจึงมานั่งที่นี่ได้ ในเมืองเราไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสตรีที่งามเยี่ยงนี้ เห็นทีคงจักเป็นสตรีจากต่างเมือง หลังซุบซิบแล้ว พวกเขาก็พากันลงไปยังท่าน้ำ ฝ่ายพวกอำมาตย์ที่แอบซุ่มอยู่ พอได้ยินถ้อยคำที่ชาวเมืองคุยกันก็ลงความเห็นว่าเมืองนี้คงไม่มีสตรีที่งามเท่ารูปหล่อแน่ จึงออกเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อ
พวกเขาเที่ยวทำอุบายลักษณะนี้ไปในทุกแคว้นที่เดินทางผ่าน จนกระทั่งมาถึง กรุงสาคละ เมืองหลวงแคว้น มัททะ ซึ่งมี พระเจ้ามัททราช ทรงเป็นราชาปกครองแคว้น พระเจ้ามัททราชพระองค์นี้ทรงมีพระธิดาอยู่ถึง ๘ นาง แต่ละนางต่างก็มีรูปโฉมที่งดงาม โดยเฉพาะพระธิดาองค์โตที่มีนามว่า ประภาวดี กล่าวได้ว่าทั่วทั้งชมพูทวีปหาได้มีสตรีใดจักมีรูปโฉมงดงามเสมอนาง แม้ยามราตรีภายในห้องอันมืดมิดก็ยังเรืองรองไปด้วยแสงที่แผ่ออกมาจากกายนาง ดุจดั่งแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณยังไงยังงั้น
พระธิดาประภาวดีทรงมีพี่เลี้ยงนางหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม ทุกเย็นพี่เลี้ยงค่อมจักให้หญิงรับใช้ ๘ นางถือหม้อไปตักน้ำที่ท่าน้ำมาให้พระธิดาทรงสรง โพล้เพล้วันหนึ่งขณะที่นางรับใช้ทั้งแปดกำลังจะลงไปที่ท่าน้ำ ทันใดหญิงรับใช้นางหนึ่งก็เหลือบไปเห็นรูปหล่อของคณะทูตเข้า พอเห็นนางก็เข้าใจว่ารูปหล่อนั้นเป็นพระธิดาพวกนางแอบเสด็จมาสรงน้ำ โดยที่ไม่บอกให้พวกนางทราบ จึงแสร้งพูดขึ้น พวกท่านจงดูเถิด พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นผู้ว่ายากเสียจริง ตรัสว่าจักทรงสรงน้ำอยู่ที่พระตำหนัก ไฉนจึงมาประทับอยู่ข้างทางเสียได้? ช่างไม่เกรงเลยว่าจักทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่เพียงแต่พูด แถมนางยังชี้ไม้ชี้มือไปที่รูปหล่อด้วยต่างหาก
หญิงรับใช้ทั้งเจ็ดพอฟังจึงหันไปมองตามที่นางบอก ทันใดก็เห็นพระธิดาแอบมาประทับอยู่จริง ดังนั้นจึงพากันเดินเข้าไป พอถึงนางผู้เป็นหัวหน้าจึงพูดขึ้นว่า พระธิดาประภาวดีเพคะ ไฉนจึงมาประทับอยู่ ณ ที่นี้ ช่างเป็นการไม่สมควรเลยนะเพคะ เพราะอาจทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียได้! ว่าแล้วนางก็ยื่นมือเข้าไปแตะที่แขนรูปหล่อ ทันทีที่นิ้วของนางสัมผัสกับผิวรูปหล่อนางก็ถึงกับสะดุ้งโหยงจนต้องยกมือขึ้นแทบไม่ทัน เพราะมันช่างเย็นเฉียบราวกับเกล็ดหิมะดีๆนี่เอง นางรับใช้ทั้งเจ็ดเมื่อเห็นอากัปกิริยาพี่ใหญ่ต่างก็หัวเราะขึ้นมา หนึ่งในนั้นอดใจไม่ไหวจึงถามไปว่า ท่านพี่เป็นอะไรรึ? ไฉนจึงต้องสะดุ้งตกใจปานนั้น? ผู้เป็นพี่ใหญ่พอฟังจึงตอบว่า จักไม่สะดุ้งได้ยังไง พวกเจ้าดูซิ! เราสำคัญผิดคิดว่ารูปหล่อนี้คือพระธิดาประภาวดี ช่างน่าขันจริงๆ! ทันทีที่นางพูดจบเหล่าคณะทูตที่ซ่อนตัวอยู่ต่างก็ออกมาจากที่ซ่อนทันใด ท่านอำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้ารีบถามนางว่า
ดูก่อนน้องหญิง ที่ท่านกล่าวว่าพระธิดาประภาวดีนั้น ท่านหมายถึงผู้ใดรึ? หญิงรับใช้ผู้เป็นหัวหน้าเมื่อฟังจึงตอบว่า ก็หมายถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราชน่ะซิ! จะหมายถึงผู้ใดได้ รูปหล่อนี้หากเปรียบกับพระรูปโฉมของนาง ยังเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว! ท่านอำมาตย์พอฟังก็ให้แสนดีใจ รีบบอกความเป็นมาพวกตนให้นางทราบทันที จากนั้นก็ขอให้นางพาไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททราชเป็นการด่วน เมื่อขบวนคณะทูตมาถึงมหาดเล็กได้พาพวกเขาไปยังท้องพระโรง จากนั้นก็เข้าไปถวายรายงานให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบ
ราชามัททะครั้นได้ทรงสดับคำรายงานก็รีบเสด็จมายังท้องพระโรงทันที หลังจากที่จอมกษัตริย์ทรงขึ้นประทับเรียบร้อย อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าคณะจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละได้ฝากพระดำรัสมาตรัสถามพระองค์ว่า พระองค์ทรงมีพระเกษมสำราญดีฤาพระเจ้าข้า? ราชามัททะพอทรงสดับจึงตรัสว่า เราสบายดี พวกท่านมายังแคว้นเรามีธุระอันใดรึ? หัวหน้าคณะทูตได้กราบทูลว่าพระราชาของตนมีพระประสงค์จะมอบราชสมบัติให้แก่องค์รัชทายาทกุสราช ผู้มีพระสุรเสียงก้องกังวานดังราชสีห์ มีพละกำลังประดุจพญาคชสาร ดังนั้นจึงส่งพวกตนมาถวายบังคมแด่พระองค์ โดยมีพระประสงค์จักขอพระราชทานพระนางประภาวดีผู้เป็นพระราชธิดาองค์โต ให้แก่พระราชโอรสกุสราช ไม่ทราบพระองค์ทรงมีความเห็นเยี่ยงไร?พอกล่าวจบหัวหน้าทูตแคว้นมัลละก็ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการและรูปหล่อทองคำแด่พระเจ้ามัททราช
ราชามัททะครั้นทรงเห็นเครื่องราชบรรณาการเป็นจำนวนมาก และรูปหล่อสตรีทองคำที่งามเกินพรรณนา ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงดำริขึ้น แคว้นเล็กอย่างเราจักได้เกี่ยวดองกับแคว้นใหญ่อย่างมัลละ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ! ดังนั้นจึงทรงตอบตกลงไปทันที
หัวหน้าคณะทูตเมื่อเห็นราชามัททะไม่ขัดข้อง จึงแจ้งหมายกำหนดการที่จะมารับพระธิดาประภาวดีให้กับพระ องค์ได้ทรงรับทราบ จากนั้นก็ขอพระราชอนุญาตลากลับยังแคว้นมัลละ เพื่อรีบมาทูลให้พระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบเป็นการด่วน
เมื่อคณะทูตกลับมาถึงกรุงกุสาวดี ท่านอำมาตย์ได้เข้าถวายรายงานให้พระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบถึงความสำเร็จของภารกิจ จอมราชันครั้นทรงสดับจึงมีรับสั่งให้จัดเตรียมขบวนขันหมากอย่างยิ่งใหญ่เพื่อไปรับพระธิดาประภาวดีมาเป็นพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่มโหฬารก็ออกเดินทางจากแคว้นมัลละมุ่งสู่แคว้นมัททะทันที ฝ่ายราชามัททราชเมื่อทรงทราบข่าวการเสด็จมาของพระเจ้าโอกกากราช พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมการต้อนรับไว้อย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
หลังขบวนขันหมากของพระเจ้าโอกากราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละแลได้เข้าพักเป็นที่เรียบร้อย ถัดจากนั้นสองวันราชวงศ์ทั้งสองก็ได้ทรงมีพระปฏิสันถารต่อกันและกัน ระหว่างการสนทนาพระมเหสีสีลวดีได้ทรงปรารภขึ้นว่า ดูก่อนมหาบพิตร ตั้งแต่หม่อมฉันมาพักที่แคว้นพระองค์ นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระธิดาประภาวดีเลยเพคะ ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัสให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีมาเข้าเฝ้า
สักพักพระธิดาองค์โตพร้อมด้วยหมู่พระพี่เลี้ยงก็เสด็จมาถึงยังท้องพระโรง เมื่อมาถึงนางได้ทรงทรุดพระองค์ลงถวายบังคมยังเบื้องพระยุคลบาทของว่าที่พระสัสสุ (แม่ผัว) พระมเหสีแคว้นมัลละพอทรงทอดพระเนตรเห็นว่าที่ลูกสะใภ้แต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จึงทรงคำนึงขึ้น พระธิดาประภาวดีนางนี้ช่างเป็นหญิงที่มีรูปโฉมงดงามจนยากจักหานางใดในแผ่นดินเทียบได้ ส่วนโอรสเราซิกลับมิได้มีรูปงามเสมอนางแม้เพียงเศษเสี้ยว หากนางเห็นใบหน้าที่แท้จริงของลูกเรา เห็นทีคงจักไม่คิดจักแต่งงานด้วยเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย จำเราต้องหาอุบายอะไรสักอย่างแล้ว!
เมื่อทรงดำริดังนี้ จอมนางแห่งแคว้นมัลละจึงตรัสกับพระเจ้ามัททะว่า ข้าแต่มหาราช พระธิดาประภาวดีช่างเป็นหญิงที่งดงามเสียเหลือเกิน คู่ควรแก่พระโอรสของหม่อมฉันเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่จารีตประเพณีแห่งสกุลหม่อมฉันที่มีมาแต่โบราณมีข้อกำหนดไว้ ถ้าพระธิดาสามารถประพฤติตามได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับนางไว้เป็นพระสุณิสาเพคะ ราชามัททะพอทรงสดับจึงตรัสถามถึงจารีตที่ว่านั้นเป็นเช่นไร มเหสีสีลวดีจึงทรงอธิบายว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมเนียมของราชวงศ์แคว้นมัลละ พระชายาจะพบหน้าพระสวามีในยามกลางวันมิได้ จนกว่าจะทรงตั้งพระครรภ์ หากพระธิดาประภาวดีทรงสามารถปฏิบัติตามประเพณีของแคว้นหม่อมฉันได้ หม่อมฉันก็จักรับพระนางไว้เป็นพระสุณิสาทันที
ราชามัททะครั้นทรงสดับจึงทรงหันไปตรัสถามบุตรีว่า ดูก่อนลูกเรา เจ้าสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่? พระนางประภาวดีทรงเห็นว่ามิได้เป็นเรื่องยากอันใด จึงทรงตอบพระบิดาไปว่านางสามารถปฏิบัติได้ ทั้งสองราชวงศ์พอฟังก็ให้ดีพระทัยเป็นเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพระเจ้าโอกกากราชจึงทรงถือโอกาสนี้ถวายพระราชทรัพย์จำนวนมหาศาลอันเป็นเครื่องสินสอดแก่พระเจ้ามัททราชทันที หลังจากนั้นสองวันจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงรับเอาพระธิดาแห่งแคว้นมัททะเสด็จกลับกรุงกุสาวดีทันที เมื่อทรงมาถึงสมเด็จพระราชาธิบดีก็ทรงประกาศให้ประชาชนตกแต่งบ้านเรือนให้สว่างไสวเพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลอง ปลดปล่อยนักโทษคดีไม่ฉกรรจ์ให้เป็นอิสระ จากนั้นได้ทรงกำหนดวันอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทกับพระธิดาแคว้นมัททะ แลที่สำคัญ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พระโอรสกุสราชขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระองค์โดยมีผลนับแต่วันประกาศทันที
หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แคว้นมัลละได้ส่งราชทูตออกไปแจ้งยังแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีปว่า บัดนี้แคว้นมัลละได้มีพระราชาองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว อาณาจักรใดที่มีพระธิดาขอให้ส่งพระธิดาแคว้นตนมาถวายแด่พระเจ้ากุสราช อาณาจักรใดที่มีพระโอรสหากหวังความเป็นมิตร ขอให้ส่งพระโอรสแคว้นตนมาเป็นพระราชอุปัฏฐากให้กับราชากุสราชเช่นกัน ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทรงมีพระสนมเป็นบริวารมากมาย ทรงปกครองประเทศด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ส่วนพระนางประภาวดีพอทรงผ่านพระราชพิธีอภิเษกสมรส ไม่นานพระนางก็ถูกสถาปนาขึ้นเป็นพระอัครมเหสีของแคว้นมัลละ
๛

pt