กุสราชมหาสัตว์๑ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
๏ กุสราชมหาสัตว์ ๑
สมัยหนึ่งขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย มีอยู่คราหนึ่งพระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งผู้ไม่ยินดีในธรรม มีใจใคร่จะสึกว่า เราได้ยินว่ากุลบุตรชาวสาวัตถีผู้หนึ่งถวายตนมาบรรพชาแล้ว ขณะบิณฑบาตเห็นสตรีแต่งกายงดงามก็เก็บเอาไปคิดถึงขนาดไม่หลับไม่ฉัน ปล่อยจีวรเศร้าหมองเล็บงอกยาว จนกายผ่ายผอมอุปมาดั่งเทวบุตรเห็นนิมิตบ่งบอกว่าตนใกล้ถึงกาลจุติแล้วฉันใดก็ฉันนั้น บรรดาสงฆ์เมื่อฟังต่างก็ร้อนใจ จึงให้พระรูปหนึ่งไปตามภิกษุรูปดังกล่าวมาเข้าเฝ้าทันที เมื่อพระที่ถูกพาดพิงมาถึง แลได้ถวายอภิวาทสมเด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว พระศาสดาจึงตรัสถามเขา ดูก่อนภิกษุ เราได้ยินว่าเธอจะสึกหรือ?
ภิกษุผู้มีใจเบื่อหน่ายในสมณเพศทูลว่า เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า องค์บรมครูครั้นทรงสดับ จึงตรัส ดูก่อนสมณ ขอเธอจงอย่าให้กิเลสเข้าครอบงำดวงจิตเลย อันสตรีย่อมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ขอเธอจงห้ามใจอย่าไปคิดถึงมาตุคามเถิด บุรุษใดแม้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก แต่ฤทธิ์ของเขาก็ต้องเสื่อมเพราะมีใจไปหลงใหลในสตรี สุดท้ายต้องถึงความพินาศก็เพราะมาตุคามเป็นเหตุ เมื่อตรัสดังนี้พระองค์ก็ทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก บรรดาภิกษุเมื่อฟังพระดำรัสอย่างครึ่งๆกลางๆก็ปรารถนาจักทราบความนัยโดยละเอียด จึงอาราธนาองค์บรมครูให้ทรงขยายความ สมเด็จพระศาสดาครั้นทรงสดับคำขออาราธนาของเหล่าสงฆ์จึงทรงยกเอานิทานในอดีตมาแสดง โดยเนื้อหาที่ทรงแสดงครั้งนั้นมีดังนี้
ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตยังมีราชาพระองค์หนึ่งนามว่า พระเจ้าโอกกากราช ครอง กรุงกุสาวดี แคว้น มัลละ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนต่างให้ความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพระองค์ทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมในการปกครองแผ่นดิน ดังนั้นภายใต้บรมโพธิสมภารของพระเจ้าโอกกากราชแผ่นดินแคว้นมัลละจึงมีแต่ความสงบสุขมาโดยตลอด ราชาโอกกากราชทรงมีพระมเหสีนางหนึ่งชื่อว่า สีลวดี ทรงเป็นสตรีที่มีความงามทั้งกายและใจ โดยเฉพาะศีลาจารวัตรที่พระนางทรงปฏิบัติ ได้เป็นที่เลื่องลือจนคนทั่วแคว้นต่างก็ทราบกันดี จอมราชันทรงรักมเหสีนางนี้ยิ่งกว่าชีวิตจิตใจ
แต่ทุกสิ่งล้วนไม่มีอะไรสมบูรณ์ หลังจากมเหสีสีลวดีได้ทรงอภิเษกสมรสกับจอมกษัตริย์ หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าพระนางจะทรงให้กำเนิดพระโอรสแก่พระเจ้าโอกกากราชได้ ดังนั้นจึงทำให้ชาวเมืองไม่พอใจ วันหนึ่งหลังจากชาวเมืองต่างรอแล้วรอเล่ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดพวกเขาก็มิอาจทนรอต่อไปได้อีก จึงมารวมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังเพื่อร้องเรียนพระราชาว่าบ้านเมืองจักถึงกาลพินาศหากพระองค์ยังทรงไร้ซึ่งรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ องค์ราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงชี้แจงว่าพระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เหตุไฉนบ้านเมืองจึงจักพินาศเล่า แต่ชาวเมืองแย้งว่าถึงจักทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมในการปกครองแผ่นดินก็จริง แต่การที่ทรงไร้ซึ่งรัชทายาทอาจเป็นเหตุให้ชนเหล่าอื่นคิดช่วงชิงเอาพระราชสมบัติได้ แล้วก็จักกลายเป็นสงครามจนนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองได้ ฉะนั้นขอพระองค์ทรงรีบขวนขวายให้ได้มาซึ่งรัชทายาทโดยไวเถิด
พระราชาครั้นทรงสดับก็ทรงเห็นด้วยกับเหตุผลชาวเมือง แต่จักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร ก็ในเมื่อสนมทุกนางล้วนไม่ตั้งครรภ์เอง ทั้งที่ร่างกายพวกนางก็แข็งแรงสมบูรณ์ ตัวแทนชาวเมืองพอฟังจึงทูลว่าหากสนมทุกนางของพระองค์มีสุขภาพดีจริง อย่างนั้นขอโปรดทรงอนุญาตให้นางสนมวัยสาวออกจากวังไปมีสัมพันธ์กับบุรุษนอกวังเป็นเวลาสักเจ็ดวันเถิด จากนั้นให้กลับเข้าวังมาเก็บตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อรอดูว่านางตั้งครรภ์หรือไม่ หากครบหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ตั้งครรภ์ก็ให้สนมคนถัดไปทดลองดู ทำอย่างนี้ไปเรื่อยจนถึงสนมรุ่นกลางแลรุ่นใหญ่ ในบรรดาสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางที่ทรงมี เชื่อว่าต้องมีสักนางที่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่
จอมราชาครั้นทรงสดับก็ทรงเห็นด้วย พระองค์มิได้ทรงรู้สึกหวงแหนบรรดาสนมของตนแต่อย่างใด แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีข่าวคราวขององค์รัชทายาทแพร่ออกมาแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม บรรดาชาวเมืองที่ตั้งตารอเมื่อเห็นว่ากาลมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่ยังไร้วี่แววขององค์รัชทายาท จึงอดเกิดความสงสัยไม่ได้ ดังนั้นจึงพากันมารวมตัวที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังกันอีกครั้ง ครั้งนี้จอมราชาได้ตรัสว่าพระองค์ได้ทรงทำตามที่พวกเขาบอกทุกประการจนไม่เหลือสนมสักนางจะให้ทดลองแล้ว แต่ก็หาได้มีนางใดจักให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ได้ จนพระองค์เองก็ทรงหมดพระปัญญาแล้วเช่นกัน
ชาวเมืองเมื่อฟังก็ให้ประหลาดใจ จึงทำการประชุมปรึกษาหารือกัน หลังประชุมก็ได้ข้อสรุปจึงทูลพระราชาว่า สนมทั้งหมื่นหกพันนางที่พระองค์ทรงมีคงจักเป็นผู้ทุศีลเสียทั้งหมดแน่ ดังนั้นจึงไม่มีนางใดตั้งครรภ์ ด้วยผู้มีบุญจักมาเกิดได้มารดาจักต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ เอาอย่างนี้ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีผู้เป็นอัครมเหสีได้ทรงทดลองเถิด ด้วยพระนางทรงเป็นผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ หากพระนางทรงยอมทดลองเชื่อว่าจักต้องทรงสามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่
จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับตรัสไม่ออก ทรงปวดร้าวพระทัยขึ้นมาทันที ด้วยมเหสีสีลวดีทรงเปรียบได้กับชีวิตจิตใจพระองค์ แต่เพื่อบ้านเมือง จำต้องทรงตัดพระทัยปล่อยให้นางทดลองดู หลังชาวเมืองกลับไปราชาโอกกากราชได้ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร นับจากนี้เป็นเวลา ๗ วันพระองค์จะทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีออกจากวังไปเลือกบุรุษที่นางพึงใจให้กำเนิดรัชทายาทแก่แคว้น บุรุษใดอยากถูกรับเลือกให้มารวมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังโดยพร้อมเพรียงกัน!
เมื่อถึงเช้าวันที่แปดราชาโอกกากราชได้ทรงให้นางกำนัลตกแต่งพระมเหสีสีลวดีด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จากนั้นทรงให้นายทวารเปิดบานประตูพระบรมมหาราชวังออกจนสุด อัญเชิญองค์เทวีเสด็จพระราชดำเนินออกสู่ภายนอกในเวลาเดียวกัน ณ ภพดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของมเหสักขจอมเทพนามว่าท้าวสักกเทวราช ด้วยอานุภาพแห่งศีลที่พระนางสีลวดีได้ทรงรักษาทันทีที่พระนางทรงย่างพระบาทพ้นทวารของพระบรมมหาราชวัง ภพของเทพราชันก็เกิดเร่าร้อนขึ้นมาทันใด จอมเทพผู้เลื่องชื่อพอทรงเห็นก็ทรงรู้ว่าบัดนี้แดนมนุษยโลกคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ จึงทรงกำหนดจิตดู
ทันใดก็ทราบพระนางสีลวดีผู้เปี่ยมด้วยศีลกำลังจะเสียสละตนเพื่อบ้านเมือง โดยทรงยอมไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นที่มิใช่สามี เพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระเจ้าโอกกากราช พอทรงทราบดังนั้นจอมเทพแห่งตาวติงสาก็มิอาจจักทรงนิ่งเฉยได้ ทรงคำนึงขึ้น เราจะปล่อยให้ศีลของนางต้องมาด่างพร้อยเพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ แลจักต้องให้นางได้พระโอรสสมปรารถนาด้วย! แต่ว่าจักทำอย่างไรดีหนอ? ทันใดภาพของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งซึ่งถึงกาลใกล้จักต้องจุติจากดาวดึงส์ภพไปบังเกิดยังเทวภูมิชั้นที่สูงกว่า ก็ปรากฏขึ้นในมโนทวารขององค์เทพราชัน พอทรงเห็นดังนั้นจอมเทพผู้เก่งกาจก็ไม่รอช้า รีบเสด็จไปยังวิมานของพระมหาสัตว์พร้อมเทพผู้ติดตามทันที
พอถึงก็ทรงรวบรัดตรัสกับเทพโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนพระมหาสัตว์ ขอท่านจงลงไปเกิดยังภพมนุษย์ในครรภ์ของพระมเหสีสีลวดีเถิด แลยังมิทันที่เทพโพธิสัตว์จะได้อ้าปากโต้แย้ง องค์เทพราชันก็ทรงหันไปตรัสกับเทพผู้ติดตามข้างๆ ดูก่อนท่านมาตาลี ถึงท่านก็เหมือนกัน จงลงไปเกิดเป็นพระโอรสของพระนางสีลาวดีร่วมกับพระมหาสัตว์เถิด ทันทีที่ทรงรับสั่งจบท้าวสหัสนัยน์ก็ไม่รอช้า รีบเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาปรากฏกายยังลานหน้าพระบรมมหาราชวังกรุงกุสาวดี ในร่างของพราหมณ์แก่ผู้หนึ่งทันที
เวลานั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังอันกว้างใหญ่ ซึ่งบัดนี้ดูจักคับแคบไปถนัดตา เนื่องจากมีเหล่าบุรุษมารวมกันจนแทบจะหาที่ยืนมิได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษน้อยบุรุษใหญ่ ไล่ไปจนถึงบุรุษวัยใกล้ขึ้นเมรุ ต่างก็พากันมายืนอวดโฉมรอให้พระนางสีลวดีเลือกตนไปเป็นคู่อภิรมย์กันให้สลอน บุรุษเหล่านั้นพอเห็นท้าวสักกะในร่างพราหมณ์ชราก็มายืนปิดท้ายรอเลือกกับเขาด้วย ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางกันไปต่างๆนานาอีก พราหมณ์เฒ่าเมื่อถูกบรรดาฉกรรจ์ดูถูกก็เกิดให้มีโมโห จึงตะกุกตะกักโต้กลับไปด้วยเสียงที่สั่นพร่า ชิ ชะ! เจ้า พวก ผู้เยาว์ ถึง กาย เรา จักแก่ แต่ความ กระชุ่ม กระชวย มันหาได้แก่ตาม ไปด้วย เสียเมื่อไหร่ ครั้ง นี้ เราจัก แสดงให้เห็นว่า พระนาง สี ลวดี จักต้อง เป็น ของเรา ขอพวกท่าน จงรอดูเถอะ!
เหล่าบุรุษเมื่อฟังคำโต้ตอบติดๆขัดๆของพราหมณ์ชราผู้มีใจหนุ่มก็ยิ่งหัวเราะขบขันกันเข้าไปใหญ่ แต่พราหมณ์แก่หาสนใจไม่ เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจักมิให้ศีลของพระนางสีลวดีต้องด่างพร้อย ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ จึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันกึกก้อง ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอจงเปิดทางให้ กับข้าพเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! พอสิ้นเสียงตะโกนขรัวพราหมณ์ก็ไม่รอช้า กระโจนพรวดขึ้นไปข้างหน้าสุดตัวราวกับอาชาชำนาญศึกยังไงก็ยังงั้น แต่น่าประหลาดเสียงที่พราหมณ์แก่ตะโกนออกไปครานี้ไฉนมันจึงมิได้สั่นพร่าแลตะกุกตะกักเหมือนดั่งที่พูดคราแรก แต่กลับกังวานราวกับระฆังเงินใบใหญ่ที่ถูกตีโดยผู้ที่มีพละกำลัง จนคนรอบข้างที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็หูอื้อกันไปตามๆกัน บรรดาบุรุษที่ยืนขวางหน้าไม่มีผู้ใดได้ทันเตรียมตัว พอสิ้นเสียงตะโกนพวกเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแรงไร้สภาพอะไรสักอย่างที่มีพลังมหาศาลกระแทกเข้าใส่ จนต้องกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศคนละทาง เพียงชั่วกระพริบตาพราหมณ์แก่ที่ยืนปิดท้ายอยู่แถวหลังสุด ฉับพลันก็ขึ้นมายืนโอดโฉมอยู่แถวหน้าสุดได้อย่างง่ายดาย จนเป็นที่อัศจรรย์!
ขณะนั้นพระนางสีลวดีได้เสด็จมาถึงเบื้องหน้าพราหมณ์เฒ่าพอดี ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า เอื้อมมือคว้าเข้าที่ข้อพระหัตถ์ของนางทันใด จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบจูงพระนางออกจากลานหน้าพระบรมมหาราชวังหายลับไปในหมู่ผู้คน ฝ่ายบรรดาบุรุษที่มัวแต่หันไปดูผู้ที่นอนครวญครางอยู่บนพื้น จนไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตว่าด้านหน้ามันเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น พอหันกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นร่างของมเหสีสีลวดีและพราหมณ์ชราแล้ว จึงต่างพากันผรุสวาทออกไปต่างๆนาๆ ดูเถิดท่านผู้เจริญ! พราหมณ์แก่ได้พาพระเทวีผู้เลอโฉมหนีไปเสียแล้ว ตาเฒ่านี่ช่างไม่รู้เลยว่าสิ่งใดควรฤามิควรกับตน ถึงองค์เทวีก็เช่นกัน ไฉนจึงทรงยินยอมไปกับพราหมณ์ชราคราวปู่กันง่ายๆเยี่ยงนี้ มันช่างน่าแค้นใจจริงๆ! ด้านพระเจ้าโอกกากราชซึ่งทรงเฝ้าแอบมองนางอันเป็นที่รักอยู่ทางช่องพระแกล ครั้นทรงเห็นพราหมณ์ชราพาพระชายาของตนจากไปก็ทรงเสียพระทัยไม่แพ้เหล่าบุรุษเช่นกัน!
กล่าวถึงพราหมณ์เฒ่า หลังพามเหสีสีลวดีแยกจากฝูงชนแล้ว เขาก็รีบพานางมายังเรือนไม้ที่ตนได้เนรมิตไว้แล้วก่อนหน้านี้ พอมาถึงก็เชิญนางขึ้นเรือน ลำดับนั้นพระเทวีพอทรงทอดพระ เนตรเห็นเรือนไม้ของพราหมณ์ชราพระนางก็ทรงรู้สึกกังขาขึ้นมาทันที เนื่องจากมันช่างใหญ่โตโอฬารเกินกว่าฐานะที่พรามหณ์แก่อย่างเขาจักมีได้ ดังนั้นจึงตรัสถามไป พ่อเอย นี่เรือนของพ่อรึ? จอมเทพในร่างพราหมณ์แก่ตอบว่า ใช่แล้วน้องหญิง กาลก่อนพี่อยู่คนเดียว บัดนี้มีน้องมาอยู่ด้วย ฉะนั้นเดี๋ยวพี่ต้องออกไปหาข้าวสารมาเพิ่มก่อน ขอน้องจงพักให้สบายบนเครื่องลาดนี้เถิด ไม่เพียงแต่พูด ว่าแล้วท้าวสุรบดีในร่างพราหมณ์เฒ่าก็ทรงยื่นพระหัตถ์ไปแตะที่พระกรขององค์เทวี มเหสีสีลวดีพอทรงถูกฝ่าพระหัตถ์ของจอมเทพแตะใส่ บัดนั้นก็ทรงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาทันใด ไม่ถึงอึดใจก็ทรงเผลอหลับไปโดยไม่รู้พระองค์ ลำดับนั้นท้าวโกสีย์พอทรงเห็นมเหสีของพระเจ้าโอกกากราชทรงหมดสติแล้ว จึงทรงอุ้มนางเข้าไว้ในอ้อมพระอุระ จากนั้นก็ไม่รอช้า ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้าเหาะกลับดาวดึงส์เทวโลกไปทันใด เมื่อถึงภพดาวดึงส์ก็ทรงวางนางลงบนทิพอาสน์ในไพชยนต์ปราสาท จากนั้นจึงเสด็จออกมาพักผ่อนคลายพระอิริยาบถในสวนอุทยานทิพย์ปุณฑริกวันเพื่อรอนางตื่น
กล่าวถึงมเหสีสีลวดี หลังจากที่ทรงหลับใหลไปพักใหญ่พระนางก็ทรงฟื้นสติ พอทรงตื่นมาเห็นห้องบรรทมที่งามเหนือคำบรรยาย ข้าวของแต่ละชิ้นล้วนไม่เคยทรงพบจากที่ใดมาก่อน ก็ทรงทราบว่าพราหมณ์ชราผู้นี้คงจักมิใช่มนุษย์เสียเป็นแน่ เห็นทีคงเป็นท้าวสักกะจำแลงมา ดังนั้นจึงทรงลุกจากพระแท่นบรรทมเสด็จออกไปยังนอกปราสาท เพลานั้นสมเด็จพระอมรินทร์กำลังประทับอยู่บนพระแท่นบัณฑุกัมศิลาอาสน์ใต้ร่มปาริฉัตร มีเหล่านางฟ้านับพันรายล้อม
องค์เทพราชาพอทรงเห็นพระนางสีลวดีเสด็จออกมาจึงทรงกวักพระหัตถ์เรียก องค์เทวีพอทรงเห็นจึงเสด็จเข้าไป เมื่อทรงไปถึงจอมเทพแห่งตาวติงสาได้ตรัส ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้เจ้าคงทราบแล้วว่าพี่เป็นใคร การที่พี่พาเจ้ามายังภพดาวดึงส์ก็เพราะไม่ปรารถนาให้ศีลของเจ้าต้องด่างพร้อย แลเพื่อจักให้เจ้าได้สมปรารถนาพี่จะให้พรเจ้าข้อหนึ่ง จงบอกมาเถิดว่าน้องต้องการสิ่งใด? มเหสีสีลวดีพอทรงสดับก็ทรงตื้นตันพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทูลมเหสักเทวราชไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ หม่อมฉันปรารถนาจักได้พระโอรสองค์หนึ่งเพคะ ขอพระองค์โปรดทรงประทานพระโอรสให้แก่หม่อมฉันด้วยเถิด
ท้าวสักกะครั้นทรงสดับจึงตรัส ดูก่อนน้องหญิง อย่าว่าแต่โอรสหนึ่งองค์เลย พี่จักให้เจ้า ๒ พระองค์เลยก็แล้วกัน แต่โอรสทั้งสองนี้ องค์หนึ่งจักเป็นผู้เรืองปัญญามากสามารถ แต่ว่ามีรูปไม่งาม ส่วนอีกองค์จักเป็นผู้ที่มีรูปงามแต่ด้อยสามารถ ไม่ทราบโอรสทั้งสองนี้เจ้าปรารถนาองค์ใดก่อนฤา? มเหสีแคว้นมัลละพอทรงสดับก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบทูลว่า ขอเดชะ หม่อมฉันปรารถนาพระโอรสที่เรืองปัญญาก่อนเพคะ ท้าววาสพทรงตอบไปทันที ดูก่อนน้องหญิง เจ้าจักได้ตามที่เจ้าต้องการ แลนอกจากพรแล้วพี่ยังจักประทานสิ่งของให้เจ้าอีก ๕ อย่าง คือ หญ้าคาทิพย์ ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตรทิพย์ แลพิณโกกนท
พอตรัสจบจอมเทพแห่งดาวดึงส์ก็ทรงบันดาลให้มเหสีสีลวดีทรงหมดสติไปทันใด จากนั้นก็ทรงอุ้มนางเหาะกลับยังโลกมนุษย์ พอถึงก็ทรงวางนางลงบนพระแท่นบรรทมของพระเจ้าโอกากราช ก่อนจักเสด็จกลับพระองค์ได้ทรงใช้พระอังคุฐ(นิ้วหัวแม่มือ) ลูบพระนาภี (ท้อง) ขององค์เทวีขึ้นแลลงหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงเสด็จกลับดาวดึงส์ภพ ทันทีที่ท้าวโกสีย์ทรงลูบพระนาภีของมเหสีสีลวดีเท่านั้น บัดนั้นพระโพธิสัตว์เทพบุตรก็ถึงกาลจุติจากเทวโลกลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของนางในเวลานั้น ทันทีทันใดเช่นกัน แหละองค์เทวีก็ทรงฟื้นพระสติขึ้นมา แหละทรงทราบว่าบัดนี้พระนางได้ทรงตั้งพระครรภ์แล้ว!
ครั้นถึงรุ่งเช้าพอพระเจ้าโอกกากราชทรงตื่นจากบรรทม แลทรงเห็นพระชายาทรงหลับอยู่ข้างๆก็ให้ทรงประหลาดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรีบปลุกนางขึ้นมาถามไถ่ทันใด ดูก่อนพระชายา เจ้ากลับมาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อใดรึ? ใครเป็นคนพาเจ้าเข้ามา? องค์เทวีซึ่งกำลังบรรทมอยู่อย่างเป็นสุข ครั้นทรงถูกปลุกจึงทรงค่อยๆลืมพระเนตรทูลไปว่า หม่อมฉันมาถึงตั้งแต่เมื่อคืน ท้าวสักกะทรงพาหม่อมฉันมาเพคะ จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับทรงประหลาดพระทัยเป็นล้นพ้น หลังจากทรงตั้งพระสติได้จึงตรัสถามนางไปด้วยสีพระพักตร์ที่งุนงง ดูก่อนเทวี เราเห็นเจ้าถูกพราหมณ์ชราพาไป ไฉนจึงต้องมากล่าวความเท็จต่อเราด้วยเล่า? มเหสีสีลวดีทูลว่า ขอพระองค์โปรดทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดองค์อมรินทร์ทรงพาหม่อมฉันไปยังดาวดึงส์ภพแล้วก็ทรงพาหม่อมฉันกลับมายังโลกมนุษย์ จริงๆเพคะ!
แต่ถึงมเหสีสีลวดีจะทรงอธิบายเพียงใดจอมราชาก็หาได้ทรงยอมเชื่อไม่ จนในที่สุดนางต้องนำของวิเศษ ๕ อย่างที่ท้าวสักกะทรงประทานให้ ออกมาแสดงต่อพระพักตร์ เมื่อนั้นแลพระเจ้าโอกกากราชจึงทรงยอมเชื่อ จากนั้นจึงทรงถามถึงเรื่องที่ทรงร้อนพระทัยว่า ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ พักเรื่องท้าวสักกะไว้ก่อนเถิด พี่อยากทราบว่าการที่เจ้าหายไปหลายวันนี้เจ้าได้บุตรกลับมาหรือไม่? องค์เทวีเมื่อทรงถูกถามตรงๆเช่นนี้ก็ให้ทรงรู้สึก
ขวยเขิน จึงทรงก้มพระพักตร์ตอบจอมราชาไปด้วยน้ำพระเสียงที่แผ่วเบาว่าพระนางได้ทรงตั้งพระครรภ์แล้ว จอมกษัตริย์ครั้นทรงสดับก็ถึงกับทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบัญชาให้นางกำนัลรีบไปนำเครื่องบำรุงครรภ์มาถวายพระชายาเป็นการด่วนทันที หลังจากนั้นก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวดีนี้ให้ประชาชนทั้งแคว้นได้รับทราบโดยทั่วกัน และให้ทุกครัวเรือนร่วมเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทที่เพิ่งจักปฏิสนธิในพระครรภ์นี้ เป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนทีเดียว
กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งเมื่อเกิดแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงแลสลายไปเป็นธรรมดา เมื่อครบกำหนด ทศมาสพระนางสีลวดีก็ทรงประสูติพระโอรสที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ให้กับพระเจ้าโอกกากราชสมดังพระทัยปรารถนา นามว่า กุสติณราชกุมาร (กุสราชกุมาร) ถัดจากนั้นอีก ๑๐ เดือนก็ทรงประสูติพระโอรสองค์ที่สองนามว่า ชยัมบดีราชกุมาร พระกุมารทั้งสองพระองค์ต่างก็ทรงเจริญพระชันษามาด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ พระเชษฐากุสราชนั้นทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังแลพระสติปัญญาเป็นเลิศ ไม่ว่าจักทรงศึกษาศิลปะแขนงใดก็ทรงถึงซึ่งความสำเร็จไปเสียทั้งหมด ฝ่ายพระอนุชาชยัมบดีนั้นก็ทรงได้รับการการยกย่องว่าเป็นบุรุษที่มีรูปงามเหนือชายใดทั้งหมดในแผ่นดิน พระเชษฐากุสราชครั้นพอพระชนมายุได้ ๑๖ พระชันษาพระบิดาก็ทรงปรารถนาจะมอบราชสมบัติให้
จนวันหนึ่งหลังจากที่จอมราชันได้ทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดแล้ว จึงทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระมเหสีสีลวดีมาพบ เมื่อองค์เทวีเสด็จมาถึงจอมกษัตริย์ได้ตรัสว่า ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะมอบราชสมบัติให้แก่ลูกกุสราช แลจักให้เหล่านางฟ้อนมาบำรุงบำเรอความสุขให้เขาขณะที่เราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ลูกเราคิดชอบใจพระธิดากษัตริย์แคว้นใดในชมพูทวีป พี่ก็จะไปขอพระธิดานั้นให้มาเป็นมเหสีของเขา น้องเห็นเป็นเช่นไร? พระนางสีลวดีเมื่อทรงสดับก็ทรงเห็นด้วย หลังจากกลับจากเข้าเฝ้าเพื่อจักทรงหยั่งเชิงบุตรชายดู พระนางจึงทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลเรื่องการยกราชสมบัติให้กับพระโอรสกุสราชรับทราบ
พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับก็ทรงดำริว่าตนนั้นมีรูปไม่งาม พระธิดาผู้สมบูรณ์ด้วยรูปหากมาเห็นก็คงจักตอบปฏิเสธเสียเป็นแน่ เรื่องอะไรจะมาทนอยู่กับสามีหน้าตาขี้ริ้ว เห็นทีเราควรอยู่เป็นโสดคอยบำรุงบิดามารดาให้มีความสุขจึงจักดีกว่า แลเมื่อท่านทั้งสองทรงสิ้นพระชนม์เราก็จักออกบวชเพื่อประกอบกิจสำหรับโลกหน้าอย่างไม่ประมาท หนทางนี้ท่าจักดีที่สุด! เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับนางกำนัล ดูก่อนพี่สาว เราไม่ต้องการราชสมบัติดอก แลก็ไม่ต้องการนางฟ้อนด้วยเช่นกัน เมื่อพระชนกแลพระชนนีทรงสิ้นพระชนม์เราก็จักออกบวช ขอพี่สาวจงไปตอบพระมารดาตามนี้เถิด นางกำนัลพอฟังดังนั้นจึงกลับมาทูลพระมเหสีสีลวดีตามที่พระมหาสัตว์ตรัส
องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงรู้สึกเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็หาได้ทรงยอมแพ้ไม่! ผ่านไปสองวันพระนางก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปถามเรื่องการยกราชสมบัติต่อราชบุตรใหม่ แต่พระมหาสัตว์ก็ยังทรงยืนยันคำเดิม เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา ครั้นถึงครั้งที่สี่พระโอรสกุสราชได้ทรงดำริ ธรรมดาบุตรจะขัดขืนบิดามารดาอยู่ร่ำไปนั้นหาควรไม่ จำเราจักทำอุบายสักอย่างให้พระมารดาทรงเปลี่ยนพระทัยดีกว่า เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงรับสั่งให้มหาดเล็กไปขนทองคำจากท้องพระคลังมาที่ตำหนักพระองค์ ๒ คันรถ พอมหาดเล็กนำรถทองคำมาถึงพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ทหารไปตามช่างทองมาพบ เมื่อช่างทองมาถึงพระมหาสัตว์ได้ตรัสกับเขา ดูก่อนท่านนายช่าง เราอยากจักได้รูปหล่อสตรีมาตั้งในห้องนอนสักองค์ ขอท่านจงนำทองคำนี้หนึ่งคันรถไปหล่อเป็นรูปสตรีเถิด เสร็จเมื่อใดจงนำมาให้เราดู ช่างทองพอรับพระบัญชาก็เข็นรถทองคำคันหนึ่งจากไป ฝ่ายพระโอรส กุสราชหลังจากที่นายช่างไปแล้ว พระองค์ก็ทรงเข็นรถทองคำคันที่เหลือไปยังด้านหลังพระตำหนัก จากนั้นก็ทรงหล่อรูปสตรีขึ้นมาบ้าง
ธรรมดาความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ ย่อมสำเร็จทุกประการ! หลังจากองค์รัชทายาททรงหล่อรูปสตรีเสร็จ รูปหล่อพระองค์ก็มีความงามราวกับมีชีวิต และยิ่งเมื่อทรงนำเอาเครื่องทรงธิดากษัตริย์มาสวมให้อีก ก็ยิ่งทำให้รูปหล่อนั้นดูคล้ายกับพระธิดาผู้สูงศักดิ์องค์หนึ่งจริงๆ! หลังจากที่ทรงตกแต่งเสื้อผ้าเครื่องประดับให้กับรูปหล่อแล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงเข็นเอารูปหล่อไปเก็บไว้ในห้องบรรทม จนกาลล่วงไปเดือนเศษช่างทองจึงหล่อรูปสตรีของเขาเสร็จ แลได้เข็นรูปหล่อของเขามาแสดงต่อพระพักตร์ พระมหาสัตว์พอทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อของช่างทองจึงตรัสให้เขาไปเข็นเอารูปหล่อของพระองค์ในห้องบรรทมออกมา เพื่อจักทรงเทียบดูว่าของใครงดงามกว่ากัน
ช่างทองพอรับพระบัญชาก็รีบลุกไปตามรับสั่งทันที เมื่อเขาเข้าไปในห้องบรรทมเนื่องจากพระมหาสัตว์มิได้ทรงเปิดบานพระแกลไว้ ดังนั้นภายในจึงดูสลัว ช่างทองพอเห็นรูปหล่อสตรีที่สวมเครื่องทรงธิดากษัตริย์ก็สำคัญผิดคิดว่าเป็นนางอัปสร จำแลงกายมาร่วมอภิรมย์กับพระราชโอรส จึงรีบลนลานกลับมาทูลพระมหาสัตว์อย่างปากคอสั่น ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระบาทมิทราบว่าในห้องมีพระแม่เจ้าประทับอยู่จึงละลาบละล้วง ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับข้าพระบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า พระโอรสกุสราชครั้นทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัส ดูก่อนท่านนายช่าง สตรีที่ไหนรึ? ที่ท่านเห็นนั้นคือรูปหล่อสตรีที่เราหล่อขึ้นต่างหาก หาใช่สตรีจริงๆเสียเมื่อไหร่ ขอท่านจงไปเข็นออกมาเถิด ช่างทองพอฟังก็ยังแสดงอาการกลัวๆกล้าๆอยู่ แต่พอพระโอรสตรัสซ้ำเขาจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง
ครั้งนี้พอไปถึงเขาลองค่อยๆยื่นมือออก ไปแตะที่ผิวรูปหล่อก่อน พอสัมผัสถึงความเย็นเฉียบของเนื้อโลหะจึงยอมเชื่อว่านางมิใช่มนุษย์ จึงเข็นเอารูปหล่อออกมา พระมหาสัตว์พอทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อของพระองค์นั้นงดงามกว่าของช่างทองอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ จึงทรงรับสั่งให้ช่างทองเข็นรูปหล่อของเขาไป เก็บไว้ในท้องพระคลัง จากนั้นก็ทรงบัญชาให้ทหารยกรูปหล่อของพระองค์ขึ้นตั้งบนแคร่ส่งไปยังตำหนักพระมารดา พร้อมกับทรงฝากพระดำรัสให้ทหารให้ไปทูลพระมารดาว่าหากแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีสตรีที่งามเหมือนดังรูปหล่อนี้ เมื่อนั้นแลพระองค์จึงจักทรงยอมอยู่ครองเรือน!
องค์เทวีพอทรงสดับคำรายงานแลทรงเห็นรูปหล่อที่งามเหนือคำบรรยาย ก็ให้ทรงรู้สึกท้อพระทัย แต่ก็หาได้ทรงยอมหยุดไม่ ทรงดำริ ฤาแผ่นดินอันกว้างใหญ่จักไม่มีสตรีที่งามเทียบเท่ารูปหล่อนี้ เป็นไปไม่ได้ ย่อมต้องมีสักนางที่งามเทียบได้แน่! แต่จักรู้อย่างไรว่าสตรีที่ว่านี้นางพำนักอยู่แว่นแคว้นไหนหรือว่ามีชื่อเรียงเสียงไร? จอมเทวีทรงพยายามนึกวิธีเพื่อจักให้ได้มาซึ่งหญิงนางนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทรงนึกไม่ออก หลังจากที่ทรงย่างพระบาทวนไปเวียนมาอยู่พักใหญ่ในที่สุดพระนางก็ทรงผุดความคิดขึ้น จึงทรงรีบให้นางกำนัลไปตามท่านอำมาตย์มาพบเป็นการด่วน เมื่อท่านอำมาตย์มาถึงมเหสีสีลวดีได้ทรงบัญชาให้เขารีบไปจัดเตรียมขบวนคณะทูต พร้อมเมื่อใดก็ให้นำรูปหล่อทองคำเบื้องหน้านี้ขึ้นรถม้า ปิดผ้าคลุมเอาไว้อย่าให้ผู้ใดเห็น จากนั้นให้เขาพาคณะฑูตท่องไปยังแว่นแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป หากพบพระธิดาแคว้นใดมีรูปโฉมงดงามปานรูปหล่อก็จงถวายรูปหล่อนี้แด่พระ ราชาแคว้นนั้น แล้วให้ทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละ จักขอกระทำอาวาหวิวาหมงคล (การแต่งงานที่ฝ่ายหญิงต้องย้ายมาอยู่กับฝ่ายชาย) พร้อมกันนั้นให้เขานัดหมายวันที่จะทำพิธีกันให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นให้กลับกรุงกุสาวดีมารายงานให้พระนางรับทราบเป็นการด่วน ท่านอำมาตย์พอรับพระบัญชาก็รีบไปดำเนินการตามรับสั่งทันที
ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนคณะทูตแห่งแคว้นมัลละก็ออกเดินทางจากกรุงกุสาวดีท่องไปยังแว่นแคว้นต่างๆตามพระราชเสาวนีย์ เมื่อขบวนคณะทูตไปถึงเมืองหรือแหล่งชุมชนใดพวกเขาก็นำดอกไม้แลเครื่องประดับมาแต่งให้กับรูปหล่อ ครั้นถึงยามโพล้เพล้ก็นำรูปหล่อไปตั้งไว้ริมทางก่อนจะลงสู่ท่าน้ำ จากนั้นก็พากันแอบซุ่มคอยดักฟังคำสนทนาของผู้คน ว่าจักพูดถึงรูปหล่ออย่างไร บรรดาผู้ที่มาอาบน้ำพอเห็นรูปหล่อสตรีตั้งอยู่บนวอต่างก็คิดว่าคงเป็นสตรีสูงศักดิ์จากต่างเมืองจะมาอาบน้ำ หามีผู้ใดคิดว่าจักเป็นรูปหล่อทองคำไม่ ต่างเอ่ยปากชมกันว่าหญิงนางนี้ช่างมีผิวพรรณงามนัก แม้เทพอัปสรก็คงมิได้งามเกินกว่านี้แน่ แต่ไฉนจึงมานั่งในสถานที่เช่นนี้ได้ก็มิทราบ เมืองเราไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีที่งามปานนี้ หลังซุบซิบกันพวกเขาก็พากันลงไปอาบน้ำ ฝ่ายพวกอำมาตย์ที่ซุ่มอยู่ พอได้ยินชาวเมืองวิจารณ์รูปหล่อก็รู้ว่าเมืองนี้คงไม่มีสตรีที่งามเทียบเท่ารูปหล่อแน่ จึงพากันเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อ
พวกเขาเที่ยวทำอุบายลักษณะนี้ไปตามแว่นแคว้นต่างๆจนกระทั่งมาถึง กรุงสาคละ เมืองหลวงแคว้น มัททะ มี พระเจ้ามัททราช ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้น ราชา มัททราชทรงมีพระธิดาที่มีรูปโฉมงดงามอยู่ถึง ๘ นาง โดยเฉพาะธิดาองค์โตที่มีนามว่า ประภาวดี กล่าวได้ว่าทั่วทั้งชมพูทวีปหาได้มีสตรีใดจักมีรูปโฉมเสมอนาง แม้ยามราตรีในห้องที่มืดมิด หากว่ามีนางประทับอยู่ห้องนั้นก็ยังเรืองรองไปด้วยรัศมีที่แผ่ออกมาจากกายนาง ดุจดังแสงอาทิตย์อ่อนๆยามรุ่งอรุณยังไงก็ยังงั้น!
พระธิดาประภาวดีทรงมีพระพี่เลี้ยงนางหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม ทุกเย็นพี่เลี้ยงค่อมจักให้หญิงรับใช้ ๘ นางถือหม้อไปตักน้ำจากท่าน้ำนำกลับมาให้พระธิดาทรงสรงสนานที่พระตำหนัก โพล้เพล้วันหนึ่งขณะที่เหล่านางรับใช้กำลังไปตักน้ำที่ท่าน้ำเหมือนเคย หญิงรับใช้นางหนึ่งก็เหลือบไปเห็นรูปหล่อที่คณะทูตแคว้นมัลละนำมาตั้งไว้โดยบังเอิญ พอเห็นนางก็เข้าใจว่ารูปหล่อนั้นเป็นพระธิดาประภาวดีทรงแอบหนีมาสรงน้ำเพียงลำพัง ดังนั้นจึงพูดขึ้น พวกท่านจงดูเถิด พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นผู้ว่ายากเสียเหลือเกิน ตรัสว่าจักทรงสรงน้ำอยู่ที่พระตำหนัก แต่ไฉนจึงมาประทับอยู่ข้างทางก่อนจะลงท่าน้ำไปเสียได้? เหล่าหญิงรับใช้พอฟังต่างก็หันไปมองทันที แลก็เห็นพระธิดาประทับอยู่จริงเหมือนคำนาง ดังนั้นจึงพากันเดินเข้าไป พอไปถึงนางผู้เป็นพี่ใหญ่ได้พูดขึ้น พระธิดาประภาวดีเพคะ เหตุไฉนจึงมาประทับอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ช่างเป็นการที่ไม่สมควรเลยนะเพคะ เพราะหากมีใครมาเห็นเข้าอาจทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียได้!
มิเพียงแต่แค่พูด ว่าแล้วนางก็ยื่นมือไปแตะที่พระกร แต่พอนิ้วของนางสัมผัสกับผิวรูปหล่อเท่านั้น บัดนั้นนางก็ถึงกับสะดุ้งโหยงจนต้องยกมือหนีแทบไม่ทัน เพราะมันช่างเย็นเฉียบราวกับเกล็ดของหิมะยังไงก็ยังงั้น! บรรดานางรับใช้พอเห็นอากัปกิริยาที่ตกใจของพี่ใหญ่ ต่างก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน นางรับใช้ผู้หนึ่งอดปากไม่อยู่จึงร้องถามไป ท่านพี่เป็นอะไรรึ? ไฉนจึงต้องตกใจถึงปานนั้น? ผู้เป็นพี่ใหญ่ซึ่งยังไม่คลายจากอาการสะดุ้งหน้าซีดตอบไปว่า จักไม่ตกใจได้ยังไง พวกเจ้าดูซิ! เราสำคัญผิดคิดว่ารูปหล่อนี้คือพระธิดาประภาวดีไปเสียได้ ช่างน่าขันจริงๆ! พอนางพูดจบพุ่มไม้ข้างๆก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงของผู้คนคุยกัน จากนั้นไม่ถึงอึดใจก็มีกลุ่มคนกรูกันออกมาจากพุ่มไม้ตรงมาที่พวกนาง
กลุ่มคนเหล่านี้ที่แท้ก็คือคณะทูตแคว้นมัลละที่แอบซ่อนตัวอยู่นั่นเอง พวกเขาพอได้ยินพี่ใหญ่หญิงรับใช้บอกตนเข้าใจผิดคิดว่ารูปหล่อเป็นพระธิดาประภาวดีจึงพลุ่งพล่านใจ รีบพากันออกมาจากพุ่มไม้ทันที เมื่อเข้ามาถึงท่านอำมาตย์ได้ถามหญิงรับใช้ผู้เป็นพี่ใหญ่ว่า ดูก่อนน้องหญิง ที่ท่านกล่าวว่าพระธิดาประภาวดีนั้น ท่านหมายถึงผู้ใดรึ? เหล่าหญิงรับใช้พอฟังต่างก็มองไปที่หน้าเขา เหมือนดั่งจักถามว่าไฉนเขาจึงไม่รู้จักพระธิดาประภาวดี อย่างไรก็ตามผู้เป็นพี่ใหญ่ได้ตอบ ก็หมายถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราชน่ะซิ จะหมายถึงผู้ใดได้ รูปหล่อนี้หากเปรียบกับพระรูปโฉมขององค์เทวี ยังเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว! ท่านอำมาตย์พอฟังก็ให้แสนลิงโลด รีบบอกว่าตนเป็นใครมาจากไหน จากนั้นก็ขอให้นางพาพวกตนไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททราชเป็นการด่วนทันที
เมื่อขบวนคณะทูตมาถึงพระราชวังกรุงสาคละ มหาดเล็กได้พาพวกเขาไปยังท้องพระโรงเพื่อรอเสด็จองค์เหนือหัวมัททราช ผ่านไปสักครูราชามัททราชก็เสด็จมายังท้องพระโรง พอองค์ราชาเสด็จมาถึงแลทรงขึ้นประทับเรียบร้อย ท่านอำมาตย์แห่งแคว้นมัลละจึงกราบบังคมทูล ข้าแต่มหาราช พระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละได้ฝากพระดำรัสมาถามพระองค์ ว่าพระองค์ทรงพระสำราญดีฤาพระเจ้าข้า ราชามัททะตรัสว่า เราสบายดี พวกท่านมาเยือนแคว้นเรามีธุระอันใดรึ? หัวหน้าคณะทูตพอฟังจึงกราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชทรงมีพระประสงค์จะมอบราชสมบัติให้แก่องค์รัชทายาทกุสราชผู้มีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์คำราม มีพละกำลังประดุจพญาคชสาร ดังนั้นจึงทรงมอบหมายพวกตนมาถวายบังคมแด่พระองค์เพื่อแจ้งความประสงค์จักทรงขอพระราชทานพระนางประภาวดีผู้เป็นพระธิดาองค์โตของพระองค์ให้แก่พระราชโอรสกุสราช ไม่ทราบพระองค์ทรงมีความเห็นเช่นไร? พอกล่าวจบตัวแทนคณะทูตก็ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการและรูปหล่อสตรีทองคำแด่พระเจ้ามัททราช
ราชามัททะพอทรงได้รับเครื่องราชบรรณาการเป็นจำนวนมาก แถมยังมีรูปหล่อสตรีทองคำที่งดงามเกินกว่าจักพรรณนาอีก ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระ ทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำริอยู่ภายใน แคว้นเล็กอย่างเราจักได้เกี่ยวดองกับแคว้นใหญ่อย่างมัลละ มันช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ! ดังนั้นจึงทรงตกปากรับคำทันที หัวหน้าคณะทูตเมื่อเห็นราชามัททะไม่ทรงขัดข้อง จึงแจ้งหมายกำหนดการวันที่จะมารับพระธิดาประภาวดีกลับแคว้นมัลละให้กับพระองค์ได้ทรงรับทราบ จากนั้นก็ขอพระราชอนุญาตลากลับยังแคว้นมัลละเพื่อแจ้งข่าวดีนี้ให้กับพระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบเป็นการด่วน
เมื่อคณะทูตกลับถึงกรุงกุสาวดีท่านอำมาตย์ได้เข้าถวายรายงานพระเจ้าโอกกากราชให้ทรงรับทราบถึงรายละเอียดของภารกิจ หลังทรงรับทราบรายละเอียดราชาโอกกากราชก็ทรงรับสั่งให้จัดขบวนขันหมากขึ้นเป็นการด่วน เพื่อไปรับพระธิดาประภาวดีกลับมาเป็นพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ของพระองค์ ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ออกเดินทางจากแคว้นมัลละมุ่งตรงสู่แคว้นมัททะทันที ฝ่ายราชามัททะผู้ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เกี่ยวดองกับแคว้นมัลละ พอทรงทราบข่าวการเสด็จมาของพระเจ้าโอกกากราชพระองค์ก็ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงจัดเตรียมการต้อนรับไว้อย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน
ขบวนขันหมากของพระเจ้าโอกากราชหลังจากเสด็จรอนแรมมาเป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงกรุงสาคละ หลังจากเข้าพักเรียบร้อย ถัดจากนั้นสองวันราชวงศ์ทั้งสองแคว้นก็ทรงมีพระปฏิสันถารต่อกันและกัน ระหว่างการสนทนามเหสีสีลวดีได้ทรงปรารภ ดูก่อนมหาบพิตร ตั้งแต่หม่อมฉันมาพักที่แคว้นพระองค์นี่ก็เข้าวันที่สามแล้ว แต่หม่อมฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระธิดาประภาวดีเลยเพคะ ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัสให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีมาเข้าเฝ้า
สักครู่พระธิดาองค์โตแคว้นมัททะพร้อมด้วยหมู่พระพี่เลี้ยงก็เสด็จมาถึงท้องพระโรง เมื่อทรงมาถึงโฉมงามแห่งแคว้นมัททะก็ทรงทรุดพระองค์ลงถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาทของว่าที่พระสัสสุ (แม่ผัว) พระมเหสีสีลวดีพอทรงทอดพระ เนตรเห็นว่าที่ลูกสะใภ้แต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จึงทรงดำริ พระธิดาประภาวดีนางนี้ช่างเป็นหญิงที่งามจนยากจักหานางใดในแผ่นดินเทียบได้จริงๆ ส่วนโอรสของเราซิกลับมิได้มีรูปงามเสมอนางแม้เพียงเศษเสี้ยว หากให้นางได้เห็นใบหน้าลูกเรา เห็นทีคงจักไม่ยอมแต่งงานด้วยเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยจำเราจักต้องทำอุบายอะไรสักอย่าง! เมื่อทรงดำริดังนี้จอมเทวีแห่งแคว้นมัลละจึงตรัสกับราชามัททะ
ข้าแต่มหาราช พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นหญิงจนงามยากจักหาผู้ใดเสมอเหมือน คู่ควรแก่พระโอรสของหม่อมฉันเสียยิ่งนัก เพียงแต่จารีตแห่งสกุลหม่อมฉันที่มีมาแต่โบราณนั้น มีข้อกำหนดอยู่ข้อหนึ่ง หากพระธิดาประภาวดีสามารถปฏิบัติตามได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับเป็นพระสุณิสาเพคะ
ราชามัททะเมื่อทรงสดับจึงตรัสถามถึงจารีตที่ว่า ว่าเป็นเช่นไร มเหสีสีลวดีจึงทรงอธิบาย อันธรรมเนียมราชวงศ์แคว้นมัลละเรา พระชายาจะพบหน้าพระสวามีในเวลากลางวันมิได้เป็นอันขาด จนกว่าจะตั้งครรภ์ หากพระธิดาประภาวดีสามารถปฏิบัติตามได้ หม่อมฉันก็จักรับนางไว้เป็นพระสุณิสาทันที พระเจ้ามัททราช
ครั้นทรงสดับจึงทรงหันไปถามบุตรสาว ดูก่อนลูกเรา เจ้าสามารถปฏิบัติได้หรือไม่? โฉมพิลาศแห่งแคว้น มัททะทรงเห็นว่าธรรมเนียมที่ว่าที่แม่สามีกล่าวมานั้นมิได้เป็นเรื่องที่ยากอันใด จึงทรงตอบมเหสีแคว้นมัลละว่านางสามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นราชวงศ์ทั้งสองจึงต่างปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายพระเจ้าโอกกากราชครั้นทรงเห็นว่าเวลานี้ทั้งสองราชวงศ์ต่างก็กำลังอยู่ในอารมณ์ที่ชื่นมื่น ดังนั้นจึงทรงถือโอกาสถวายพระราชทรัพย์อันเป็นเครื่องสินสอดแก่พระเจ้ามัททราชทันที ถัดจากนั้นสองวันจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงพาพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับกรุงกุสาวดีเพื่อมาเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชโอรสของตน
เมื่อขบวนเสด็จพระเจ้าโอกกากราชกลับถึงแคว้นมัลละ จอมราชาได้ทรงรับสั่งให้ทหารไปประกาศข่าวดีให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้รับทราบ พร้อมกันนั้นก็ให้พวกเขาตกแต่งบ้านเรือนให้สว่างไสวเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทในพระราชพิธีมงคลที่จะมีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นยังทรงบำเพ็ญพระราชอภัยทานด้วยการปลดปล่อยนักโทษที่มีความประพฤติดีให้เป็นอิสระอีก ถัดจากนั้นสองวันก็ทรงโปรดเกล้าให้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกุสราช และพระธิดาประภาวดีแห่งแคว้นมัททะ อย่างยิ่งใหญ่อลังการ โดยเชิญแขกเหรื่อที่เป็นกษัตริย์ ราชนิกุล ตลอดจนพ่อค้ากระฎุมพีจากแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีปมาร่วมงาน
หลังพระราชพิธีอภิเษกสมรสได้ไม่กี่วัน สมเด็จพระราชาธิบดีก็ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พระราชโอรสกุสราชทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมัลละแทนพระองค์เหมือนดั่งที่ทรงตั้งพระทัยไว้ และเพื่อเป็นการประกาศศักดาต่อแว่นแคว้นต่างๆ ราชสำนักแคว้นมัลละจึงส่งราชทูตนำพระราชสานส์ไปป่าวประกาศยังแคว้นทั้งหลายทั่วชมพูทวีปว่า บัดนี้แคว้นมัลละได้มีพระราชาองค์ใหม่พระนามว่าพระเจ้ากุสราชขึ้นครองราชย์แล้ว อาณาจักรใดมีพระธิดา ขอให้ส่งพระธิดาแคว้นตนมาถวายแด่พระเจ้ากุสราช อาณาจักรใดมีพระโอรส หากหวังความเป็นมิตร ขอให้ส่งพระโอรสมาเป็นพระราชอุปัฏฐากให้กับราชากุสราช ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทรงมีพระสนมมากมายเป็นบริวาร ทรงปกครองประเทศด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ส่วนพระนางประภาวดี หลังพระราชพิธีราชาภิเษกได้ไม่กี่วัน พระนางก็ทรงได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้ากุสราชในเวลาถัดมา
๛
pt