** พักกาย-พักใจ ** ร่วมสมัครเข้ารับการอบรม (คอร์ตปฏิบัติธรรม เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น) เพื่อกายที่สมบูรณ์ เพื่อใจที่ใสสะอาดเเละ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา วันมาฆบูชา (ตั้งเเต่ 2-8 มีนาคม 2558 ) นี้

 ตะวันธรรม   3 ก.พ. 2558

** ขอเชิญเหล่าพุทธบุตร พุทธบริษัท อุบาสก-อุบาสิกา
ผู้ใคร่สนในการปฏิบัติตนให้เข้าถึงพุทธธรรม **

อันเป็นทางแห่งความสุข ทุกท่านทั่วสารทิศร่วม เข้าปฏิบัติธรรมภาวนา เจริญสติปัฎฐาน ๔
<เเบบพองหนอ-ยุบหนอ> หลักสูตรเบื้องต้น 3-5-7 วัน เเละหลักสูตรเข้มข้น 7-9 วัน


(( ในช่วงเทศกาล วันมาฆบูชา = วันที่พระพุทธเจ้าทรงเเสดงหัวใจของพระศาสนา ))

โครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติถวายในหลวง ตามเเบบสติปัฏฐาน ๔ (ยุบหนอ-พองหนอ)

ตั้งเเต่ วันที่ 2-8 มีนาคม 2558 นี้
เพื่อใช้เวลาวันหยุด ให้เกิดบุญ- เกิดกุศล – ชำระจิตให้ใส- สะอาด - ปราศจาคสิ่งเศร้าหมอง
ด้วยการสมัคร เข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน ๔
(สามารถเลือกเข้าอบรม ได้ ตั้งเเต่ 3-5-7 วัน ตามความเหมาะสมแก่ตัวเอง)


(( เหตุใดที่เราต้องเข้าอบรมปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน ๔ (บทวิเคราะห์)

การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการฝึกฝนตนเอง เพื่อลองนำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ ในพระไตรปิฏก อันมีเนื้อหามากมาย แต่พอจะน้อมนำมาปฏิบัติตามนั้น ต้องเริ่มจากพื้นฐาน แห่งจิตเสียก่อน กล่าวคือ การปรับตัวเองเพื่อรองรับธรรมนั้นสำคัญมาก เพราะว่าธรรมะนั้นถ้าจะให้เราเข้าไปศึกษานั้นค่อนข้างยากมาก เพราะธรรมะแต่ละข้อนั้น พระพุทธองค์ทรงนำมาตรัสแก่
1 ผู้ที่มีอัธยาศัยเหมาะแก่ธรรมนั้น (จริต)
2.ผู้ที่มีบุญบารมีพร้อมจะฟังธรรมจนสำเร็จ (บารมีเต็ม)
3. ผู้ที่จะรับธรรมต้องมีจิตที่พร้อมจะลองรับธรรมนั้น เสียด้วย (สติ สมาธิ)

ดังนั้น สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นการปรับการดำเนินชีวิต ทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ให้เหมาะแก่การรู้ธรรม
ด้วยการ ยืน, เดิน,นั่ง,นอน อย่างมีสติ การควบคุมภาวะจิตใจ ด้วย สติในกาย เวทนา จิต อารมณ์
ทั้งหลาย เมื่อเราควบคุมสติปัฏฐาน แล้ว สิ่งที่เราจะได้รับคือ สมาธิ อันเป็นความสงบแห่งจิต ที่จะลองรับธรรม คือตัวปัญญา อันจะเกิดขึ้นในขณะเราเจริญสมาธิให้มั่นคง เมื่อเราฝึกคนแค่ระดับง่ายๆ คือระดับเตรียม กาย วาจา ใจ ให้พร้อมเสียก่อนก็เป็นเรื่องยากแล้ว ดังนั้น นี่ก็คือเป็นเหตุให้เรา ต้องเข้ารับการฝึกฝนอบรม ปฏิบัติธรรม ให้เราได้เกิดความชำนาญ อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเจริญปัญญา ให้เข้าในสัจธรรมตามแบบพระพุทธศาสนาต่อไป

ปัญหาสำคัญอย่างไร ?

คำถามนี้หลายคนสงสัย ปัญญาคือตัวแก้ปัญหา (สองคำนี้จะอยู่ตรงข้ามกันเสมอ) ถ้าเรามีปัญหา
ปัญญาจะไม่เกิด ถ้าเรามีปัญญาปัญหาจะไม่เกิด
เหมือถ้ากลางวันมีแสงสว่างกลางคืนจะมืด เช่าเดียวกัน เมื่อมีสุขก็ย่อมไม่มีทุกข์ สีขามย้อมตรงข้ามสีดำ
บุญย่อมตรงข้ามกับบาป ดังนั้น ในการดำเนินชีวิตของเรา หลายๆคนประสพกับคำว่าปัญหาอย่างมาก
ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลายคนต้องดิ้นรนแสวงหาปัจจัย เครื่องเลี้ยงชีวิต(ปัจจัย๔) มีอาหาร,ยารักษาโรค,ที่อยู่อาศัย,เครื่องนุ่งห่ม และยังมีเทคโนโลยี ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้เราอีกมากมาย ทีวี ตู้เย็น พัดลม โทรศัพท์ รถยนต์ และอื่นๆอีกมากมาย เมื่อทุกคนแสวงหาปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีวิตเพื่อตอบสนองความต้องการของเรา ยิ่งมากกว่า 4 อย่างซึ่งเป็นปัจจัยหลังแล้ว ยิ่งมากขึ้น ยิ่งต้องแสวงหามาก ยิ่งทุกข์มาก เพราะการแสวงหามีอุปสรรค ต้องแข่งกับคนอื่น แข่งต่อเวลา สถานที่ บุคคล ต่อสิ่งๆ คำว่าไม่สำเร็จจะเกิดกับปัญหาซึ่งจะตามมาพร้อมทุกข์ ทั้งทุกใจ ทุกข์กาย ภาวะทั้งสองอย่างรวมกัน ทำให้บางคนขนาด ป่วยทั้งกาย
และป่วยใจ (เกิดปัญหาทางจิตใจ) อันเป็นปัญหาที่จะแก้ได้ก็ต่อเมื่อเข้ามาบำบัด บางคนบอกว่าถึงกายป่วยใจอย่าป่วย (พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว กล่าวคือ ทุกอย่างสำเส็จได้ด้วยใจ ใจเป็นนาย ใจเป็นหัวหน้า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ) ถ้าใจหรือจิตไม่คิด กายจะทำหรือ ถึงขนาดนำการวิเคราะห์นี้มาใช้ในการจับผิดทางการสอบสอนของตำรวจและศาล ว่ามีเจตนาตั้งใจทำผิดไหม จะลงโทษหรือตรวจว่าทำผิดไหม่
ก็จะวิเคราะห์ถึงการกระทำโดยตั้งใจไหม?มีเจตนาไหม? ทำผิดไหม? ทุกองค์กรณ์ก็ใช้การจับผิดทางภาวะจิตใจทั้งนั้น ให้เราได้เห็นว่า ปัญญานั้นสำคัญอย่างมาก

พระพุทธศาสนามีแสงสว่างหรือทางออกให้แล้ว
(พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...ปัญญา โลกสมิง ปัญโชโต : ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก)

อีกทั้งจะลองยกปัญหาในปัจจุบันที่หลายๆท่านกำลังหาทางออกอยู่ อาทิ ปัญหาครอบครัว, ปัญหาอาชีพการทำงานไม่สำเร็จ,ปัญหาการเรียนไม่เก่ง,ปัญหาโรคภัย, ปัญหาเรื่องความรัก ชีวิตต้องมีอุปสรรค์หรือปัญหามากมายนับไม่ถ้วนในแต่ละวัน เพราะต้นเหตุมาจากภาวะทางจิตนั้นเองสำคัญที่สุด เมื่อเรามีแต่ปัญหาผลก็คือความทุกข์ นั้นเองรุมเร้าทุกวัน จนทำให้เกิดโรคปวดหัว ความดัน หน้ามืด โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอื่นๆมากมายยิ่งเราศึกษาทางโลกยิ่งไม่มีวันจบสิ้นปัญหา ยิ่งนานวันมีแต่ปัญหาจะมากขึ้น เพราะว่าทุกคน หลีกหนีแต่ธรรมะ ไม่เอาธรรมะ ไม่เอาพระพุทธศาสนาเมื่อไม่เอาธรรม ก็ไม่ทำให้เราเข้าใจธรรม ไม่ถึงธรรม ไม่บรรลุธรรม ไม่พ้นทุกข์ ไม่เกิดความสุข ตามพระพุทธศาสนา

ทุกคนอย่างได้ของง่ายๆ ก็เลยจะแนะนำของง่าย (ใครทำงานก็ได้ง่าย) ชื่อก็บอกง่าย
แต่ทุกคนคิดยากไป
เพียงแค่เราหยุด หยุดอะไร ?
....ผู้ใดที่หยุด ทางโลกก็จะเห็นทางธรรม ผู้ใดน้อมนำธรรม มาปฏิบิติ..........
....ผู้นั้นก็จะขจัด ตัวปัญหา ผู้ใดหมดตัวปัญหา ก็จะพาสุขเอย.....

(พระพุทธเจ้าตรัสว่า..พระองค์หยุดแล้ว แต่องคุลีมารยังไม่หยุด..)

หลายท่านไม่ยอมหยุด บอกว่างานเยาะมาก,ไม่ว่างบ้าง,ไม่มีเวลาบ้าง, ไม่ถึงวัยบ้าง, พลัดวันไปเรื่อยๆ
แต่อายุเราไม่หยุดน่ะมากขึ้นทุกวัน ความแข็งแรงน้อยลงไปทุกวัน ความจำน้อยลง แต่เราไหนเราไม่มีวันหยุดให้ตัวเองเลย บางคนต้องรอให้มีงานบวช, งานแต่ง, งานวันเกิด, งานประท้วง ,วันสำคัญของชาติ
หรือแม้กระทั่ง มีวันที่เพื่อนหรือญาติมิตรต้องเสียชีวิต ถึงจะหยุดได้ หรือต้องรอให้เราตายก่อนถึงจะมีวันหยุดได้ อย่าเลย

----หยุดมองตัวเองสักนิด ท่านจะเห็น ความสุข หรือทุกข์ภายในใจ----
ท่านจะรับสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่เรา จะนำสิ่งใดออกหรือเก็บไว้(จงพิจารณา)

มุ่งหน้า แสวงหาธรรม กันเถอะ (เพราะ ธรรมเท่านั้นถึงจะทำให้เราสุขได้
-ธรรมเท่านั้นถึงจะลิขิตชีวิตให้เราดีได้ –ธรรมเท่านั้นจะคลองโลกให้เกิดสันติสุขได้-ธรรมเท่านั้นจะทำให้เรา
ไปสู่ความสำเร็จได้ ธรรมเท่านั้นจะชนะอาธรรม (ความชั่วร้ายได้) ถ้าไม่เอาธรรมก็ต้องรับอาธรรมเข้าไป เพราะจิตของเราจะปรุงแต่งได้ทีละหนึ่งอย่างถ้าไม่เอาธรรม(ความดีงาม) ก็จะรับอาธรรม (ความชั่วร้าย) / คนที่มีความดีประจำชีวิต หรือธรรม ประจำชีวิต ผู้นั้นจะทำอะไรก็ดี งานดี มิตรดี เพื่อนดี แฟนดี เงินดี อารมณ์ดี ทุกอย่างดีหมด เพราะเราเป็นคนดี คนดีย่อมทำแต่ดี เพราะวันๆคิดถึงแต่ความดี เมื่อใจคิดกายก็ทำตามคิด เมื่อทำตามที่คิด งานก็สำเร็จตามความดีของตัวเอง/ เห็นหรือยังว่าความดีหรือธรรม นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน (อย่างคิดเลยว่าธรรมไม่สำคัญ) ถ้าไม่สำคัญก็จองอย่างคิดจะได้ดีเพราะความดีนั้นหร่ะคือธรรม

ดังพุทธวจนะของพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า (ธรรมคุ้มคลองโลก 2 อย่าง คือ สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว)รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำดี(ธรรม) หรือทำบาป (อาธรรม) ทุกคนอย่างทำดี เพราะอานิสงส์ของความดีคือสุข อานิสงส์ของบาปคือความทุกข์

(มนุษย์ทั้งโลกปรารถณาความสุขหมดทุกคน ตลอดถึงสัพสัตว์น้อยใหญ่ก็ยังปรารถนาความสุขด้วยเช่นกัน)

----ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นคือผู้เห็นซึ่งสัจธรรม ผู้ใดเห็นสัจธรรม
ผู้นั้นย่อมเข้าสู่ความสุขที่แท้จริง คือพระนิพพาน----

(คำปรารถเบื้องต้น ก่อนตรัสสินใจปฏิบัติธรรม)
ภูริญาโณ ภิกขุ..(ธรรมบุตร....ที่สุดคือธรรมะ)



((( สถานที่ปฏิบัติธรรม ..บทพิจารณาเบื้องต้น )))

......อาณาเขตบริเวณพื้นที่อยู่นอกเขตชุมชน ห่างจากหมู่บ้าน และเป็นสถานที่อันสงบเงียบสัปปายะเหมาะที่จะทำการฝึกหัดปฏิบัติธรรมเจริญสติ ทำสมาธิภาวนา เพื่อเพิ่มพูลสภาวะธรรมของเราให้มากขึ้น อันเป็นสถานที่ ที่ดำเนินการพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝึกหัดปฏิบัติธรรม เจริญสติ ภาวนา(ตามแบบสติปัฏฐาน ๔) ยุบหนอ-พองหนอ เหมาะเป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่มีศรัทธาปรารถณาที่จะฝึกหัดปฏิบัติธรรม
(หลักสูตรเบื้องต้น) อันเป็นการเรียนรู้วิธีการฝึกเดินจงกลม, ฝึกการทำสมาธิ, เรียนรู้การสร้างสติ และสมาธิ อันจะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา อันจะเป็นหนทางแห่งการเข้าถึงสัจจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ในอนาคต และปัจจุบัน

.......โดยเฉพาะอุบาสก-อุบาสิกาสาธุชน ที่อยู่ในเขตบริเวณ จังหวัดพิจิตร , นครสวรรค์, พิษณุโลก, กำแพงเพชร, และจังหวัดใกล้เคียงที่สามารถเข้ารับการฝึกอบรมได้ เนื่องจากพุทธอุทยาน อยู่ในเขตเชื่อมต่อ 4 จังหวัดเบื้องต้นที่กล่าวมาจึ่งทำให้เหมาะแก่การคมนาคมเดินทาง เพื่อเข้ารับการปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าสู่ความสงบ เพื่อเป็นสถานที่พักกาย, ผ่อนคลายใจ, ปลูกจิตสำนึกเวิถีเเห่งสติ เสริมสร้างผักดันปัญญาภายในให้เกิดขึ้น ด้วยการปฏิบัติตนท่ามกลางธรรมชาติ

....................ดังนั้นจึงขอเชิญชวนพุทธบริษัทร่วมทำจิตใจให้ผ่องใส, ด้วยการสมัครเข้ารับการฝึกอบรมปฏิบัติธรรมได้ ในกาลเวลาที่เหมาะสมของท่าน อันจะเป็นการเข้าใจ ในการสร้างสติที่ถูกต้อง เข้าใจการทำสมาธิที่ถูกต้อง
((เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นปฏิบัติธรรมเป็นครั้งเเรก หรือปรารภที่จะเรียนรู้การปฏิบัติธรรม ตามเเนวทางสติปัฏฐาน ๔ (ยุบหนอ-พองหนอ)


(โครงการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ (เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น) ประจำปี 2558

ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “สวนป่าพุทธอุทยานวิปัสสนา” ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร
(ติดถนนเอเชีย เส้นนครสวรรค์-พิษณุโลก กม.80)


รุ่นที่ ๑ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 2-8 มีนาคม 2558
(เทศกาลวันมาฆบูชา และเทศการฟังธรรม (ครั้งที่๑))

รุ่นที่ ๒ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 10-16 เมษายน 2558 (เทศกาลวันจักรี)

รุ่นที่ ๓ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน, 9 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 29 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2558
( เทศกาลวันวิสาขบูชา และเทศกาลฟังธรรม (ครั้งที่๒)

รุ่นที่ ๔ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 29 กรกฏาคม - 4 สิงหาคม 2558
(เทศกาลวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลฟังธรรม (ครั้งที่ ๓)

รุ่นที่ ๕ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 10-16 สิงหาคม 2558 (เทศกาลวันแม่แห่งชาติ)

รุ่นที่ ๖ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน) ตั้งแต่วันที่ 22-28 ตุลาคม 2558
(เทศกาลวันปิยมหาราช - วันออกพรรษา และพิธีบวงสรวงทำบุญอุทิศถวายแด่ พระปิยมหาราช ร.5)

รุ่นที่ ๗ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน, 9 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 1-9 ธันวาคม 2558
(เทศกาลวันพ่อแห่งชาติ และเทศกาลสวดมนต์ บรรยายธรรมประจำปี 9 วัน)

รุ่นที่ ๘ ประจำปี ๒๕๕๘ (3 วัน ,5 วัน, 7 วัน) ตั้งแต่ วันที่ 30 ธันวาคม 2558 - 2 มกราคม 2559
(เทศกาล ปฏิบัติธรรมฉลองปีเก่าต้อนรับปีใหม่ สวดมนต์ข้ามปี ตักบาตรทำบุญปีใหม่ รับพรแรกแห่งปี (เพื่อชีวิตที่รุ่งเรื่อง) รับสิ่งดีๆตลอดปี 2559


--หากท่านผู้ปฏิบิตธรรม ต้องการปฏิบัติธรรมให้สำเร็จผล ต้องอบรมปฏิบัติธรรมให้ต่อเนื่อง อย่างน้อย
เป็นเวลา 7-9 วัน ถึงจะเห็นผล—
--ถ้าผู้ปฏิบัติ เข้าอบรมเพียงแค่ 3-5 วัน ท่านผู้ปฏิบัติธรรม จะได้ เพียงแค่เรียนรู้วิธีการ ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง และนำไปปฏิบัติต่อที่บ้านเท่านั้น--



***ท่านสามารถเลือก วัน-เวลา เพื่อเข้าอบรมปฏิบัติธรรมได้ เฉพาะตามตารางเท่านั้น
และสามารถเลือก เข้ารับการอบรมได้เป็น 2 หลังสูตร คือ


1.เข้าคอร์ท ปฏิบัติธรรมหลักสูตรเบื้องต้น คือ 3-5 วัน
2.เข้าคอร์ท ปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้น 7-9 วัน****

รับตั้งเเต่ 9 ขวบ เป็นต้นไป อายุต่ำกว่า 15 ควรมีผู้ปกครองมาด้วย




(สามารถโทรศัพท์ลงชื่อลงทะเบียนสมัครเข้ารับอบรม)
จองล่วงหน้าถึง วันที่ 1 มีนาคม 2558 (ตั้งเเต่ เวลา 09.00 - 18.00 น. )

(โทรเเจ้งเจ้าหน้าที่ ลงทะเบียนสมัครเข้าปฏิบัติธรรม. เจ้าหน้าที่ 082-339-9091 )
---รับสมัครแค่ 50 ท่าน เท่านั้น---



เเจ้งรายละเอียด ดังนี้ต่อเจ้าหน้าที่
ชื่อ-นามสกุล / ที่อยู่ / เบอร์ติดต่อ / กำหนดการเข้าอบรม / จำนวนกี่วัน / กี่คน/ เข้าวันไหนออกวันไหน /เดินทางมาเอง หรือรถตู้โครงการ

(กรุณาแจ้งสมัครก่อนล่วงหน้า 2-3 วัน) /กรณีแจ้งยกเลิกการเข้าอบรม
ให้แจ้งล่วงหน้าก่อน 2-3 วันเช่นกัน




***ถ้ากรณี ยกเลิกไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ ก่อน 2-3 วัน ก็จะเป็นการสร้างบาป เพราะทางเจ้าหน้าที่จะเตรียมสถานที่อบรมให้ท่าน ถ้าท่านไม่เเน่ใจจะเข้าอบรมได้ไหม กรุณา อย่าสมัครเด็ดขาด ****




........ลงสมัครไว้แล้วให้เข้าปฏิบัติตามที่ตั้งจิต สัจจะ เพื่อจะได้ไม่เป็นบาป(เสียสัจจะบารมี)
เเละเพื่อการชนะใจตัวเอง เเม้จะมีอุปสรรค อันเนื่องจากการงาน หรือภาวะจิตใจ เสียเวลา ติดงาน ให้รู้ว่า ล้วนเต่เป็นกิเลสมารที่มายั่วยุ หรือกลีดกันทั้งสิ้น เพราะการปฏิบัติธรรม ได้บุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา สามารถละกิเลส-ตัญหา ในใจของเรา ได้ ย่อมมีมารมาสร้างอุปสรรค์ให้เกิดขึ้นเเก่ตัวเราเอง

******ดังนั้น ถ้าคิดจะสมัคร ก่อนโทรมาสมัคร ให้คิดให้มั่นใจว่า ตัวเราเองพร้อมในการต่อสู้กับกิเลสในใจ สามารถลางานหรือว่างจริงๆๆ ไม่เปลี่ยนใจ เเละยอมรับต่อความยากลำบาก เพื่อให้ไม่ลำบากใจ เพราะเมื่อตั้งใจทำดีเเล้ว ต้องทำให้ได้ ((การชนะใดใด ก็ไม่เท่าการชนะใจตัวเอง))


.......................ชนะตัวเองได้-การงานก็ชนะได้........................


เพราะคนที่ไม่มีสัจจะ เสียสัจจะ ย่อมทำการงานอันใจ หรือสอนใคร บอกกล่าวใคร ติดต่อการงานใด หรือเม้กระทั่งคิดตั้งใจจะทำไร ย่อมไม่สำเร็จ เพราะชอบเสียสัจจะบารมี บารมีจากการตั้งสัจจะ *****

...........มารไม่มี บารมีไม่เกิด ชีวิตจะประเสริญ ย่อมต้องมีสัจจะ.............



หรือลงชื่อสมัครที่อีเมล์ศูนย์

โดยเเจ้ง ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร จำนวนผู้เข้าอบรม เข้าอบรมกี่วัน วันไหนถึงวันไหน
เเละบอกว่าประสงค์จะขึ้นรถตู้ของศูนย์ หรือนำรถมาส่วนตัว

ที่ เจ้าหน้าที่ หรือส่งที่อีเมล์ ทางศูนย์จะติดต่อเพื่อยืนยันการสมัครอีกครั้ง
e-mail = [url]lamphongdhamma@hotmail.com[/url]

---- จ่าหน้าหัวว่าขอสมัครปฏิบัติธรรม โครงการ..............




สิ่งที่ต้องเตรียมมาขณะเข้าอบรมภาวนา

1.ศรัทธาในการปฏิบัติเเละจิตใจอ่อนโยน
2.การเคารพในกฏระเบียนของศูนย์
3.เครื่องใช้ส่วนตัว อาทิ สบู่,ยาสีฟัน,แปลงสีฟัน,ผ้าเช็ดตัว,ยาประจำตัว, ไฟฉาย,
4.ชุดขาว 2 หรือ 3 ชุด ผู้หญิงมีสไบด้วย --ถ้าไม่มีเเจ้งซืิ้อที่ศูนย์กับเจ้าหน้าที่—
5.สภาวะจิตใจ (ให้ละปลิโพธิ .ความกังวล ๑๐ ประการ) ดูรายละเอียดด้านล่างสุด
6.ถ้าประสงค์ตักบาตร พระภิกษุ ให้เตรียมอาหารแห้ง (ถ้าไม่ได้เตรียมสามารถซื้อได้ที่ศูนย์)
7.วันสุดท้ายของการอบรมมีการทอดผ้าป่าชำระหนี้สงฆ์ และถวายสังฆทาน เครื่องใช้ต่างๆ
(สามารถเตรียมสิ่งต่างๆได้ )




((การเดินทางมายัง “สวนป่าพุทธอุทยานวิปัสสนา” ))


-รถประจำทาง หลายทาง ดังนี้

1.รถตู้ประจำทาง มีตลอดทั้งวัน ขึ้นหน้าหมอชิต หรือวงเวียนใหญ่ รถที่เข้า จ.พิษณุโลก
หรือ จ.พิจิตสามารถขึ้นได้ทุกคั้น

2.รถประจำทางปรับอากาศ หมอชิต ที่จะเข้าจังหวัดพิจิตร หรือพิษณุโลก ขึ้นได้ทุกคัน
(แนะนำ พิษณุโลกยานยนต์ ซื้อตั๋วริมขวามือสุด โซนภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบน
เพราะรถรู้จักสถานที่ ของศูนย์ หรือเเจ้งซื้อตั๋ว ลงที่ป้อมตำหรวจหนองโสน-เเยกสระยายชี จ.พิจิตร )

3.สามารถขึ้นรถ ประจำทาง จากนครวรรค์ ให้ขึ้นรถประจำทาง จากบขส. นครวรรค์
ขึ้นรถสาย < นครวรรค์สวรรค์ - พิจิตร> หรือ <รถนครสวรรค์-พิษณุโลก> รถมีตลอดวัน
ถ้ามาจากพิษณุโลก ให้ขึ้นรถสาย < พิษณุโลก – พิจิตร> หรือ < พิษณุโลก-นครสวรรค์>
ถ้ามาจากกำแพงเพชร ให้ขึ้นรถสาย < กำแพงเพชร-พิจตร> ลงแยกปลวกสูง ต่อรถประจำทาง พิจิตร – นครสวรรค์
รถทุกสายจะผ่าน “พุทธอุทยานประวัติศาสตร์มหาราชหยกขาว” หลักกิโลเมตร ที่ 80
(ระหว่างนครสวรรค์ ไป พิษณุโลก สาย 117)

ขึ้นรถไม่ถูกขอสอถามเจ้าหน้าที่ได้ มีเบอร์รถตู้ โทร.เจ้าหน้าที่ 082-339-9091



(((((ผู้เข้าอบรม มีรถรับส่งฟรี รับเเค่ 50 ท่าน เท่านั้น เฉพาะ กรุงเทพ-ปริมณฑล))))))




((อานิสงส์ของผู้เข้ารับการอบรม การปฏิบัติธรรม เจริญสติ ภาวนา))

1.ได้บุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา (มากว่าทาน และศีล)
2.เป็นทางเเห่งการบรรลุธรรมได้มากที่สุด (มากกว่าวิธีใดๆ)
3.ได้เริ่มเรียนรู้พระพุทธศาสนา ด้วยการนำหลักธรรมตามคำสั่งสอนมาฝึกฝนปฏิบัติจริง (สืออายุพระศาสนา)
4.ได้ละคลายทางความเห็นผิดในการดำเนินชีวิต
5.ได้เเนวทางเดินที่ถูกต้องตามเเบบมรรค-หนทางเเห่งการดับทุก
6. ได้ละบาปอย่างบางที่ได้ทำไว้ให้หายไป-หรือบาปอย่างหลักจะเบาบางลง
7. ลดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตให้เบาบางลง-เพิ่มความสำเร็จเเก่ชีวิต-การงาน-ครอบครัว-ด้วยอานุภาพเเห่งเมตตาภาวนา
8.เป็นจุดเริ่มต้นเเรกๆในการศึกษาธรรมที่ดีที่สุด (จิตมีพื้นฐานที่ดี คือสมาธิ)
9.ทำให้มีอายุยืนด้วยอานุภาพเเห่งบุญ (อุทิศให้สัพสัตย์ที่เราเคยทำร้าย )
10.สามารถรู้กฏเเห่งกรรมคือสามารถระลึกได้ว่าเคยกระทำกรรมใดมาด้วยสติเเล้วเเก้ให้เขาอโหสิกรรม
11.มีอายุยืนการที่เราได้ปฏิบัติธรรม..ทำให้เราได้นำสติออกมาใช้มากขึ้น.ชีวิตก็ไม่ประมาท--
เราจะรักตัวเองมทากขึ้น--เมื่อเรารักตัวเองมากขึ้นสุขภาพร่างกายเราก็อายุยืน--ด้วยธรรมโอสถ--
12.เป็นการตอบเเทนพระคุณบิดามารดาได้ดีที่สุด-เพราะการส่งบุญจากภาวนาได้บุญมาก
เป็นต้น นี่เป็นส่วนหนึ่งในอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม เท่านั้น
13.การปฏิบัติธรรม ชื่อว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะได้พักจิตของเราจากกิเลสคือความทุกข์
14.ได้ชำระจิตใจให้ใสสะอาด ปราศจากเครื่องเศร้าหมองในจิตใจ ให้เราได้มีพละกำลังใจดำเนินชีวิตต่อไป
15.ผู้ปฏิบัติธรรมไปที่ไหนย่อมปลอดภัยทางอันตราย (เพราะเทวดาคุ้มครองบุญก็คุ้มครอง)







(((ตารางการเข้าอบรมภาวนาในโครงการ))))

โครงการปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน๔(เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ในเทศกาลวันมาฆบูชา 2558 นี้
ตั้งเเต่วันที่ 2 - 8 มีนาคม 2558 ( 7 วัน)
(สามารถเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรมได้ ตามช่วงเวลาที่เราเหมาะสม 3 วัน หรือ 5-7 วัน)


((กำหนดการ))

วันจันทร์ ที่ 2 มีนาคม 2558 (วัน ลงทะเบียน ตลอดวัน)

เวลา 09.00-18.00 น. ลงทะเบียนสมัครเข้าอบรมปฎิบัติธรรม, ข้อปฎิบัติในการเข้าอบรม
ที่จุดลงทะเบียนผู้เข้าอบรม ภาวนา ณ อาคารลงทะเบียน ศาลาปฏิบัติธรรม
เวลา 18.00 น. ทำวัตร ,รับศีล 8 , ฟังกฏระเบียนเบื้องต้นในการเข้าอบรม
,สมาทานกรรมฐาน ,ฟังข้อวัตรระเบียบการอบรมปฏิบัติธรรม


3 -7 มีนาคม 2558

เวลา ๐๓.๐๐ น. ตื่นนอน ชำระร่างกาย / เตรียมตัวทำวัตรเช้า
เวลา ๐๔.๐๐ - ๐๕.๐๐ น. สวดมนต์เช้าเเปล
เวล ๐๕.๐๐ - ๐๖.๓๐ น. เจริญสติภาวนา (ช่วงเช้า) / เดินกรรมฐาน บนถนนวิปัสสนา
เวลา ๐๘.๐๐ น. กิจกรรมทำบุญ วันสงการนต์ /ฟังธรรม / รับพร / รับประทานอาหารเช้า
เวลา ๑๐.๓๐ น. ปฏิบัติธรรม เจริญสติภาวนา (ช่วงสาย)
เวลา ๑๑ .๓๐ น. รับประทานอาหารเพล (โรงทาน)
เวลา ๑๒.๐๐ น. (พักผ่อนตามอัธยาศัย อย่างมีสติ)
เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๖.๒๐ น. ปฏิบัติธรรม ภาวนา (ช่วงรอบ บ่าย)
เวลา ๑๖.๓๐ – ๑๘.๐๐ น. อาบน้ำ, ชำระร่างกาย, ทำกิจกรรมจิตอาสา (ดูเเลความสะอาดบริเวณศูนย์)
เวลา ๑๘.๑๐ น. สวดมนต์ทำวัตรเย็นเเปล, เจริญพระพุทธมนต์เย็น
เวลา ๑๙.๓๐ – ๒๑.๐๐ น.อบรมธรรมการปฏิบัติ, ปฏิบัติธรรมเจริญสติ ภาวนา(ช่วงรอบ เย็น)
--------------------(พักผ่อน)------------------------------


วันที่ 8 มีนาคม 2558 (วันสุดท้ายการอบรม)

เวลา 07.00 น. รับประทานอาหาร (เช้า)

เวลา 09.00 น. ถวายสังฆทาน(เครื่องใช้) เเละ ทอดผ้าป่าบำรุงศูนย์
------------- เเละกล่าวคำขอขมา-ลาศีล 8 -รับใบประกาศเกียรติบัตร -------------
...... {เดินทางกลับบ้านโดยรถส่วนตัว-หรือรถตู้ศูนย์ }..........



((ปฏิบัติภาวนา เดินจงกรม-นั่งสมาธิ ))
รวม 4 ช่วงเวลา ต่อ 1 วัน รวม 6-8 ชม ต่อวัน

1.ช่วงเช้า 05.00 -06.20 น. (1ชม.)
2. ช่วงสาย 09.30-11.30 น. (2 ชม.)
3. ช่วงบ่าย 13.00 -16.20 น. (4ชม.)
4. ช่วงค่ำ 19.30 -20.30 น. ( 1. ชม)



กิจกรรมพิเศษ

วันพุธ ที 4 มีนาคม 2558 (วันมาฆบูชา 2558 )


เวลา 04.00 น. ทำวัตรเช้า / ปฏิบัติกรรมฐาน
เวลา 08.30 น. ทำบุญวันมาฆบูชา
เวลา 10.00 น. ปฏิบัติกรรมฐาน
เวลา 11.00-13.00 น. รัปทานอาหาร เพล (สาธุชน)
เวลา 14.00-15.00 น. ฟังธรรมบรรยาย (ครูบาอาจารย์)
เวลา 18.00 น. สวดมนต์ ทำวัตรเย็น /ปฏิบัติธรรม /
เวลา 19.30 น. เวียนเทียนรอบเจดีย์พุทธคยาอินเดียจำลอง/ถวายดอกไม้ ของหอม (ถวายเป็นพุทธบูชา)



ผู้เข้าปฏิบัติธรรมสามารถร่วมกิจกรรมบุญได้ ดังนี้ คือ

1.สามารถเตรียมอาหารแห้งตักบาตรพระได้ทุกวัน เเละวันปีใหม่258 บุญเเรกของปี
2.สามารถเตรียม ถวายสังฆทาน+เครื่องใช้ (วันสุดท้ายการอบรม)



ดูรูปภาพกิจกรรมโครงการปฏิบัติธรรม โครงการที่ผ่านมา...ได้ที่ลิงค์
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.247277945364735.57207.100002475932455&type=1
หรือ www.dhammadee.com

หรือเฟสบุ๊ค ..ลำโพงข่าว ข่าวสด


เเละสามารถติดตามข่าวสารของศูนย์อบรมปฏิบัติธรรม..เเละร่วมโมทนาสาธุการกับการบำเพ็ญธรรมได้
สารบุญ "ชมรมพุทธบุตรบารมี" ได้ที่
facebook [url]=lamphongdhamma@hotmail.com[/url]
คัดลองข้อมูลจาก http://www.dhammadee.com (เว็บไซต์ธรรมะดี)




ข้อมูล(เพิ่มเติม)
ปลิโพธ (ความกังวล) 10 ปลิโพธ เครื่องผูกพันหรือหน่วงเหนี่ยวเหตุกังวล,
ข้อติดข้อง; ปลิโพธที่ผู้จะเจริญกรรมฐานพึงตัดเสียให้ได้ เพื่อให้เกิด


ความปลอดโปร่งพร้อมที่จะเจริญกรรมฐานให้ก้าวหน้าไปได้ดีมี ๑๐ อย่าง คือ

๑ อาวาสปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับวัดหรือที่อยู่
๒. กุลปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปัฎฐาก
๓. ลาภปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับลาภ
๔. คณปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับคณะศิษย์หรือหมู่ชนที่ตนต้องรับผิดชอบ
๕. กรรมปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการงานเช่น การก่อสร้าง
๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการเดินทางไกลเนื้อด้วยกิจธุระ
๗. ญาติปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับญาติหรือคนใกล้ชิดที่จะต้องเป็นห่วงซึ่งกำลังเจ็บป่วยเป็นต้น
๘. อาพาธปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับความเจ็บไข้ของตนเอง
๙. คันถปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน
๑๐. อิทธิปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับฤทธิ์ของปุถุชนที่จะต้องคอยรักษาไม่ให้เสื่อม
(ข้อท้ายนี้เป็นปลิโพธสำหรับผู้จะเจริญวิปัสสนา เท่านั้น)


** รายการทำบุญร่วมพัฒนาของศูนย์อบรมปฏิบัติธรรม **

((เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาให้เกิดความสมบูรณ์ เเละอำนวยความสะดวกให้เเก่ผู้ปฏิบัติธรรม))


1.รับเจ้าภาพสร้างองค์พระมหาจักพรรดิ์ (ประจำวันเกิด) รับเจ้าภาพ 8 องค์
2.รับเจ้าภาพปูกระหินอ่อนในศาลาปฏิบัติธรรม
3.รับเจ้าภาพสร้างกุฏิกรรมฐาน ถวายพระกรรมฐาน (เหลือ 5 ห้อง)
4.รับเจ้าภาพสร้างโรงทาน (ห้องอาหารรองรับผู้ปฏิบัติธรรม เเละเยาวชน)
5.รับเจ้าภาพอุปถัมภ์บวชพระกรรมฐาน ตลอดปี 2558 (ปีล่ะ 4 รุ่น)
6.รับเจ้าภาพสร้างห้องพักผู้ปฏิบัติธรรมจำนวน 3 หลัง
7.รับเจ้าภาพอุปถัมภ์ห้องผลิตสื่อธรรมะ 1 หลัง



สามารถจองเป็นเจ้าภาพหลัก หรือร่วมสมทบกองทุน (ตามศรัทธา)

สอบถาม/ร่วมทำบุญ โทร.082-339-9091



---ขอเชิญญาติธรรม อุบาสก-อุบาสิกา ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมปฏิบัิตธรรม ภาวนารักษาใจ ให้ใส สะอาด ปราศจาคสิ่งเศร้าหมอง ด้วยการสมัครเข้ารับการปฏิบัิตธรรม
((( ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ )))----


*******(พุทธวจนะ)ธัมมะจารี สุขัง เสติ : ธรรมะย่อม รักษาผู้ประพฤติธรรม******

DT012060

ตะวันธรรม

3 ก.พ. 2558



((( ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ปฏิบัติธรรม ทำบุญมอบมหากุศลเเด่ตัวเรา บิดา-มารดา-เทวดาประจำตัว-เจ้ากรรมนายเวรตลอดถึง ผู้มีพระคุณ ให้ท่านมีความสุข ความเจริญ อายุยืนนาน สุขภาพเเข็งเเรง เเละทำบุญเฉลิมพระเกียรติ ในหลวง )))




**หนีความวุ่นวายจากการดำเนินชีวิตทางโลก ..เข้าสู่การเเสวงหาความสงบสุขทางใจ
เป็นการ(พักกาย-พักใจ)..หยุดเรื่องทุกข์ เเสวงหาความสุขที่เเท้จริง..ตามเเบบพระพุทธศาสนา ***

สามารถเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม ตามเเบบสติปัฏฐาน ๔ องค์บริกรรม(พองหนอ-ยุบหนอ)
-สอนการปฏิบัติธรรม ตั้งเเต่เริ่มต้น คือการเตริยมกาย วาจา ใจ, การเรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติ ,การเรียนภาคทฤษฏี เบื้องต้น สอนวิธีการ ยืนหนอ(คือยืนอย่างมีสิติ), สอนวิธีการ เดินหนอ
(เดินอย่างมีสติ), สอนวิธีนั่งหนอ
(นั่งเเบบมีสติ) เเละเรียนรู้วิธีการ ดำเนินชีวิต อย่างมีสติ อาทิ การรับประทานอาหาร,การพูด ,การทำความสะอาด, การนอนอย่างมีสติ, การพูดอย่างมีสติ ,

----ตลอดถึงเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ที่จะมากระทบจิตของเราให้เกืดความทุกข์ทางใจ.ข้อสำคัญ---


(((..การฝึกอบรมปฏิบัติธรรม ตลอด 3-5-7-9 วัน จะทำให้เราเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า วิเศษเเค่ไหน -เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทำไมถึงเผยเเผ่ธรรม-เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาต้องการให้อะไร-ทำไมต้องดำรงพระศาสนาให้ลูกหลาน-เเละจะเข้าใจความสุขอย่างเเท้จริง(สุขจากการปล่อยวาง เเละว่าง)....)))

...เหมาะทั้งผู้ที่ฝึกเรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมเป็นครั้งเเรก-เเละเสริมสร้างองค์กรรมฐานให้เพิ่มเติมของนักผู้ปฏิบัติธรรม ให้พัฒนายิ่งขึ้น......




เรียนรู้วิธีการยืนด้วยสติ อันจะเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ในโลกปัจจุบันได้ดี
(เราสามารถหาความสุขจากการยืนก็ได้) สุขจากการสร้างสติในการยืน

--เราต้องยืนอยู่ทุกวัน-เเต่การยืนของเรานั้นมักจะขาดสติเสมอ--
--ต่อไปเราจะยืนอย่างมีสติ--รู้เท่านั้นสิ่งต่างๆรอบๆตัวเรา---

---------------------ฝึกสติในการยืน------------------------------




เราต้องเดินอยู่ทุกวัน...เเต่จะเดินอย่างไรให้ถูกวิธี
(เดินอย่างมีสติ...เดินเเล้วได้ปัญญา)



อานิสงส์(ผล) ของการเดินจงกรม

1.เดินทางไกลได้สะดวก
2.ย่อยอาหารได้ง่าย
3.ร่างกายเเข็งเเรง
4.โรคภัยไม่เบียดเบียน
5.อายุยืน
6.มีติได้มากกว่าการนั่ง
7.ทำให้ทำสมาธิได้นานขึ้น
เป็นต้น







เรียนรู้วิธีการนั่งสมาธิ สร้างสติในการนั่งสมาธิเเบบเบื้องต้น ฝึกฝนสมาธิพื้นฐานที่ดี
(ประโยชน์ที่จะได้รับคือนั่งเเล้วเป็นบ่อเกิดเเห่งความสุข)
ตามเเนวทางสติปัฏฐาน ๔



**พระพุทธเจ้า ทรงตรัส การปฏิบัติ ตามทางสติปัฏฐานสูตร ไว้ในพระไตรปิฏก อย่างนี้คือ**

สติปัฏฐานสูตร หรือ มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรสำคัญในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่ชาวกุรุชนบท ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ (ปัจจุบันอยู่ในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย) สติปัฏฐานสูตรหรือมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นหนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

มหาสติปัฏฐานสูตร เมื่อพิจารณาจากพระพุทธพจน์ตอนเริ่มพระสูตร อาจกล่าวได้ว่าหลักการในพระสูตรนี้ เป็นหลักแนวปฏิบัติตรงที่เน้นเฉพาะเพื่อการรู้แจ้ง[4] คือให้มีสติพิจารณากำกับดูสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง[5] โดยไม่ให้ถูกครอบงำไว้ด้วยอำนาจกิเลสต่าง ๆ โดยมีแนวปฏิบัติเป็นขั้นตอน 4 ระดับ คือ พิจารณากาย, ความรู้สึก (เวทนา), จิต, และธรรมที่เกิดในจิต


(อวิชชาสูตร ๑๙/๑)

สติปัฏฐาน ๔ เป็นการปฏิบัติที่พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นทางสายเอก(เอกายนมรรค) เมื่อปฏิบัติอย่างดีงามย่อมเป็นเครื่องสนับสนุนให้โพชฌงค์๗องค์แห่งการตรัสรู้บริบูรณ์ ซึ่งยังให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์
จึงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังที่ตรัสแสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งในกุณฑลิยสูตร ในการศึกษาการปฏิบัติทั้งหลายไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมก็ตามที ต่างล้วนต้องเรียนรู้ให้เข้าใจจุดประสงค์เสียก่อน กล่าวคือ ต้องมีปัญญาหรือวิชชาเป็นพื้นฐานบ้างเสียก่อน จึงเริ่มลงมือปฏิบัติ จึงถูกต้องดีงาม อันจักยังผลให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องแนวทาง
ดังนั้นจึงควรมีความเข้าใจด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจจุดประสงค์อย่างถูกต้องด้วย เพราะเป็นที่นิยมปฏิบัติกันโดยไม่ศึกษาให้ดีงามเสียก่อน เริ่มต้นปฏิบัติก็มักเพราะเป็นทุกข์กำลังรุมเร้า หรือด้วยความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ได้ยินได้ฟังมาอยู่เนืองๆ ก็เริ่มปฏิบัติอานาปานสติหรือสติปัฏฐาน ๔ โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย ดังนั้นแทนที่เป็นการฝึกสติ,ใช้สติชนิดสัมมาสติ กลับกลายเป็นการฝึกการใช้มิจฉาสติจึงได้มิจฉาสมาธิแบบผิดๆอันให้โทษ
จึงเกิดขึ้นและเป็นไปตามพุทธพจน์ตามที่แสดงไว้ข้างต้น ดังเช่นการติดสุข คือสุขในวิปัสสนูปกิเลสอันให้โทษ,
จึงอุปมาเหมือนการเรียนเคมี โดยไปปฏิบัติในห้องปฏิบัติการเสียเลย ด้วยเข้าใจว่าไปเรียนไปศึกษาจากการปฏิบัติโดยตรงคงยังให้เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นเอง ด้วยเหตุดั่งนี้เอง จึงเกิดอุบัติเหตุการระเบิดขึ้นได้ด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง จึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ให้เข้าใจจุดประสงค์เป็นพื้นฐานบ้างเสียก่อน จะได้ดำเนินไปอย่างถูกต้องแนวทางสมดังพุทธประสงค์ คือสัมมาสติที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ อันเป็นสุขยิ่ง



เราต้องนั่ง..อยู่ทุกวัน..เเต่จะทำอย่างไร..เมื่อเรานั่งจะนั่งอย่างมีสติ..เเละนั่งด้วยความสุข
(ต่อไปความสุขจะเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน..อยู่ในชีวิตประจำวันของเราเสมอ..เมื่อเรามีสติ)



(( ธรรมคม ))


เกิดมาในยุคที่มีพระพุทธศาสนาเเล้ว
เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาเเล้ว
เกิดมาพบพระธรรมของพระพุทธเจ้าเเล้ว
เกิดมาได้ศึกษาธรรมเเล้ว
เกิดมาได้เจอพระสงฆ์ผู้สอนธรรมเล้ว
เกิดมาได้รู้วิธีการปฏิบัติธรรมเเล้ว
เกิดมามีเเขน มีขา มีความบริบุรณ์เเล้ว
เกิดมามีสติปัญญาเเล้ว
เกิดมาเจอผู้เเนะนำบอกกล่าวเเล้ว...

เเล้วตอนนี้เราจะหาอะไรอีก
....อย่าเกิดมาโดนไม่ได้อะไรติดตัวกลับไปในภพหน้าเลย...
....อย่าใช้ร่ายกายนี้ไปโดยไม่มีประโยชน์อีกเลย.........
....อย่าเสียเวลาให้ทิ้งไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเลย............



ชีวิตหรือร่างกาย ที่เราเกิดมา ในโลกใบนี้ ก็เพื่อทำหน้าที่ 2 อย่างนี้ คือ

1.ทำหน้าที่ในทางโลก
คือ เลี้ยงดูช่วยเหลือ พ่อเเม่ - ลูกหลาน-ภรรยา- ญาติมิตร-ลูกน้อง- ผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์

2.สร้างบารมี เพื่อการเข้าถึงธรรม ในอนาคตเเละปัจจุบัน

คือทำความดี หรือบุญ (สร้างทาน-รักษาศีล-เจริญภาวนา)
สร้างบารมี 10 ประการ อย่างพระโพธิสัตย์

---ลองพิจารณาให้เข้าใจว่า เราได้ทำอะไรไปบ้างเเล้ว หรือจะรอเวลาให้หมดไปพร้อมร่างกายที่จะต้องชราหมดเรงเเละจากโลกใบนี้ไปดดยไม่ได้อะไรติดตัวไปเลยเเละยังทำหน้าที่ไม่ครบเลย---

ภูริญาโณ ภิกขุ(ธรรมบุตร..ที่สุดคือธรรมะ)



















ผู้เข้าอบรมปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน ๔ เเละได้สรา้งบารมีธรรม 10 ประการ ทุกวัน ทำให้สม่ำเสมอ ดังนี้


ทานบารมีี / จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
ศีลบารมี / จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
เนกขัมมบารมี / จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
ปัญญาบารมี / จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
วิริยบารมี / วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
ขันติบารมี ขันติ / มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
สัจจะบารมี สัจจะ / ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
อธิษฐานบารมี / ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
เมตตาบารมี / สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
อุเบกขาบารมี / วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ



บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์


บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี
เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี
และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี

หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน

ทาน / การให้ เป็นการตัดความโลภ
ศีล / เรามีก็ตัดความโกรธ
เนกขัมมะ / เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
ปัญญา / ตัดความโง่
วิริยะ / ตัดความขี้เกียจ
ขันติ / ตัดความไม่รู้จักอดทน
สัจจะ / ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
อธิษฐาน / ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
เมตตา / สร้างความเยือกเย็นของใจ
อุเบกขา / วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา



**เวลาการปฏิบัติธรรมนั้น เราสามารถสั่งสมบารมี ได้ดังนี้ คือ



1.ตักบาตรทุกวันเวลา 08.00 น. - ได้ทานบารมี
2.เรารักษาศีล 8 ตลอดการเข้าอบรมสมัคร - ได้ศีลบารมี
3.เราสละการครองเรือน ไม่นึกถึงชีวิตการครองเรือน(ชีวิตทางโลก)- ได้เนกขัมมะบารมี(บวชใจ)
4.เราไม่หลวงผิด เดินทางด้วยความไม่ประมาท -ปัญญาบารมี
5.ผู้ปฏิบัติหมั่นปฏิบัติธรรม เดิน จงกรม นั่งสมาธิ ตลอดที่ครูบาอาจารยืควบคุม ตามกำหนดเวลา
-ได้วิริยะบารมี
6.ผู้ปฏิบัติธรรมอดทน ต่อเวทนา อุปสรรค์ในขณะเข้าอบรมโดยไม่ย่อท้อ ต่อการปฏิบัติธรรม
-ได้ขันติบารมี
7.ผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมตามเวลา-ตามวัน ที่ตัวเองได้ให้สัจจะต่อตัวเอง เเละต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้ เเล้วทำได้ด้วยความตั้งใจ ตามใจคิด -ได้สัจจะบารมี

8.ผู้ปฏิบัติธรรม จะอธิษฐานจิตหลังการอบรมทุกครั้ง หลังฝึกเสร็จ - ได้อธิฐานบารมี
9.ผู้ปฏิบัติธรรม หมั่นฝึกจิตใจให้อ่อนโยน ให้ละการความร้อนจากกิเลส เเละเเผ่เมตตาจิต ความปรารถนาดี ต่อเทวดา-สัพสัตว์-เปรต-อสุรกาย-เจ้ากรรมนายเวร -ได้สร้างเมตตาบารมี

10ผู้ปฏิบัติธรรม ทำจิตให้สงบ ว่าง วางจากความยึดมั่น ถือมั่น ในกิเลสตัณหา ทำใจเป็นกลาง ในกายในปัจจุบัน -ได้สร้างอุเบกขาบารมี


***สามารถเตรียมอาหารเเห้ง น้ำปาน่ะ น้ำดื่ม หรือของตักบาตรมาทำบุญตักบาตรได้ตอนเช้า ของทุกวัน ***



......บารมีคือการสั่งสม สั่งสมไปเรื่อย จนกว่าจะไม่มีโอกาสได้สร้างบารมี..........
..................ชีวิตนี้น้อยนัก ไม่เกิน 100 ปี ..........................




บริเวณสถานที่ภายในสถานที่ปฏิบัติธรรม สวนป่าพุทธอุทยานวิปัสสนา จ.พิจิตร




ศาลาปฏิบัติธรรม




ห้องพักผู้ปฏิบัติธรรม







ห้องสุขา
สะอาด-สะดวก-สะบาย




การเทียบบารมี
บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ


บารมีต้น
อุปบารมี
ปรมัตถบารมี

บารมีต้นในขั้นเต็ม
ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี

อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง
พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ

ปรมัตถบารมี
ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ



พักกาย-พักใจ-เข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม--
(ฟรี)ไม่เสียค่าใช้จ่าย



หากทุกวันนี้เราต้องเหนื่อยจากการทำงาน
ปวดหัวกับเรื่องทางบ้าน
เรียนหนังสือไม่เก่ง
โรคภัยรุมเร้า
ชีวิตของคุณต้องมีเเต่อุปสรรค์ อยู่ทุกวัน

---หากชีวิตคุณต้องทุกข์ร้อน อยู่ร่ำไป-----

ลองสมัครเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม ..เพื่อเเสวงหาความสุขทางใจ ...


ชีวิตที่เราปรารถนา คือความสุข ดังนั้น เรามาสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจ เเละตลอดไป ด้วยการสมัครเข้าอบรมฝึกพระกรรมฐาน ณ บัดนี้
...........สร้างความสุขตอนเวลาที่เรามีลมหายใจ ดีกว่ารอเวลาที่หมดลมหายใจ........







นิพพานัง ปรมัง สุขัง / นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นความสุขที่ประเสริฐที่สุดในโลก


(( ความสุขใดจะเท่านิพพาน นั้นย่อมไม่มี ))

นิพพานนั้น เป็นความสุข ที่ละเกิดจากการละ กิเลส ตัณหา อันเป็นความทุกข์ในใจ
ให้หายได้อย่างเด็ดขาด เเละไม่มาเวียนว่ายตายเกิด อีกเเล้ว



** ด่วนรับสมัคร เเค่ 50 ท่าน เข้ารับการอบรม เท่านั้น **

รับตั้งเเต่อายุ 9 ปี ขึ้นไป
(อายุน้อยกว่า 15 มีผู้ปกครองมาด้วย)
สมัครได้ ตั้งเเต่ 3-5-7-9 วัน



(( ปฏิบัติธรรมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ใดใด ))
ขอให้มีความตั้งใจ ใฝ่ปฏิบัติ หวังหลุดพ้นความทุกข์ในใจ



-โทร ถ้ามาเป็นหมู่คณะขึ้นรถตู้ฟรีของศูนย์ได้ที่ 082-339-9091
(เเล้วเเต่จะทำบุญ ที่ศูนย์) รับฟรีเฉพาะ กรุงเทพ -ปริมณฑล

-ไม่มีชุดขาว หรืออื่น ขอยืมหรือซื้อได้ที่ศูนย์




 เปิดอ่านหน้านี้  5219 

  แสดงความคิดเห็น


RELATED STORIES



จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย