"ระวังอย่าทำ สังฆเภท" (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)



"ระวังอย่าทำ สังฆเภท"

" .. ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านจะกรรมอะไรที่ท่านอดทนไม่ได้ ทำไปเถอะ ขออย่างเดียว
อย่าไปเผลอทำ "อนันตริยกรรม" ก็แล้วกัน

"อนันตริยกรรม" นั้น ถ้าทำลงไปแล้ว
เสื่อมจากมรรคผล นิพพาน ตั้งอยู่ในฐาน "ปาราชิก"
คือ ผู้พ่ายแพ้ในพระพุทธศาสนา อย่าทำมันบาปหนัก

๑. ฆ่าบิดา
๒. ฆ่ามารดา
๓. ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิตขึ้น
๔. ฆ่าพระอรหันต์
๕. ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน

ระวังนะ เวลาพระวัดใดวัดหนึ่ง ขัดผลประโยชน์กัน
แตกสามัคคีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน

ญาติโยมอย่าไปสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เดี๋ยวจะกลายเป็น "อนันตริยกรรม" ไม่รู้ตัว

เช่นอย่าง หลวงพ่อวัดใต้ หลวงพ่อวัดเหนือ ต่างก็มีหน้าที่กันเยอะแยะ
ขัดผลประโยชน์กันแล้วก็ไปทะเลาะถีบเถียงกัน

ต่างคนก็ต่างมีลูกศิษย์ ทั้งพระทั้งโยมแตกกันเป็นพรรคเป็นพวก ยกพวกขึ้นมารบกัน
ถ้าพระสงฆ์แตกสามัคคีกันเป็นกลุ่มตั้งแต่ฝ่ายละ ๔ รูปขึ้นไป นั่นเป็น "สังฆเภท"

ในเมื่อ "สังฆเภท" แล้วก็เป็น "อนันตริยกรรม"
ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน บาปนัก บาปหนา
เพราะฉะนั้นการกระทำกรรม ให้ระวัง "อนันตริยกรรม" ให้มาก ๆ

และอีกอย่างหนึ่งถ้าท่านจะเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง
ท่านอย่าไปถือพวก ถือพรรค ถือคณะ
ว่าหมู่เขา หมู่เรา อาจารย์เขา อาจารย์เรา

ขอให้ยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง
ถือพระศาสดาคือพระพุทธเจ้าองค์เดียวเป็นครู

พระสาวกที่เผยแผ่ศาสนาอยู่ในปัจจุบันนี้
ถอดแบบจากพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

พราะฉะนั้นการที่ถือพรรค ถือพวก ถือลัทธิแห่งการปฏิบัตินั้น
ย่อมยังส่อแสดงว่าเป็นผู้ยังมีกิเลส ยังมีอุปาทานในการยึดมั่นถือมั่น

ถ้าตราบใดที่เรายังยึดถือมั่นในพรรค ในพวก ในเรา ในเขา
ของเรา ของเขาอยู่ เราก็ยังไม่หมดอุปาทาน

บางทีคณะนี้ .. โจมตีคณะโน้น คณะโน้น .. โจมตีคณะนี้
ในทำนองนี้ ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์กันจริง ๆ นั้น

ขอได้โปรดทำจิตให้เป็นกลาง ให้ปล่อยวางลงไป
ว่าผู้ประพฤติผิด เข้าใจผิด เป็นบุคคลผู้ที่น่าสงสาร

ผู้ปฏิบัติถูก ทำถูกต้องและได้ผลดี เป็นบุคคลผู้ที่น่าอนุโมทนา

ผู้ที่ทำผิด ไม่ใช่ผู้ที่นักปฏิบัติธรรม
จะต้องไปกล่าวจ้วงจาบด้วยคำพูดหยาบคาย

แม้ว่าเขาจะทำผิด ก็เป็นเรื่องของเขา
แต่เราไปกล่าวจ้วงจาบ ด้วยวาจาที่หยาบคาย
เป็นการสร้างบาปกรรมขึ้นใส่ตัวเอง

อย่าไปสำคัญว่าคนทำผิด ด่าไม่เป็นไร ไม่บาป
คนทำผิด เราด่า ก็บาป คนทำผิด เราตำหนิ ก็บาป

แต่ถ้าเราติเพื่อก่อนั้นได้บุญ
แต่ตำหนิเพื่อจะให้เสียหาย เสียชื่อเสียเสียงนั้นบาป
มันบาปอยู่ที่ตรงไหน เพราะเรากล่าวคำหยาบ

ผรุสวาจา เวรมณี .. มันเป็นอกุศลกรรมบถ เป็นวจีทุจริต
ในเมื่อวจีของเรายังหยาบ ยังทุจริตอยู่ มันก็ผิดศีลข้อมุสาวาท
เพราะคำหยาบเป็นฉายาแห่งมุสาวาท

เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติพึงสังวร ระวังเรื่องนี้ไว้ให้ดี
พยายามทำความรู้แจ้งเห็นจริง
ให้มันปรากฏขึ้นภายในจิตของตัวเอง

ถ้าเรายังสำคัญว่าเรานี่ดีกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น
นั่นแสดงว่าเรายังโง่กว่าเขา

ถ้าเรามีความสำคัญว่า เราเนี่ยโง่กว่าเขา ไม่เก่งเท่าเขา
เราก็ยังโง่อยู่อีกนั่นแหล่ะ

แต่ถ้าเราสำคัญว่าเรามีความรู้สึกเป็นกลางๆ
มีความเป็นธรรมอย่างแท้จริง นั่น .. เราเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้าง

เพราะฉะนั้นขอให้สังวร ระวัง
ในเรื่องการกล่าวตำหนิ ติเตียน ซึ่งกันและกัน
หรือการถือพรรค ถือพวก ถือหมู่ ถือคณะ

พระพุทธเจ้าสอนว่า .. "สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน"

แต่เรายังจะมาถืออหังการ มมังการ
มีตัว มีตน มีเรา มีเขา มีพรรค มีพวก

มันก็ผิดต่อหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" .. "

(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

89







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย