พระบรมสารีริกธาตุ : ท่านพ่อลี ธัมมธโร

 จำปาพร  

พระอาจารย์ลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม
อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

...


อีกอย่างหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานครบ ๗ วันแล้ว
เมื่อเวลาที่พวกมัลลกษัตริย์ได้เชิญพระพุทธสรีระไปถวายพระเพลิงนั้น
รู้สึกว่า "พระเกสา" (ผม) ของพระองค์สักเส้นหนึ่ง หรือ "พระโลมา" (ขน)
ของพระองค์สักเส้นหนึ่งก็ดีซึ่งกำลังถูกไฟเผาอยู่นั้น
มิได้มีรอยไหม้เกรียมหรือเศร้าหมองไปจากเดิมเลย
"พระนขา" (เล็บ) ของพระองค์ก็ยังขาวสะอาดสดใส
ไม่แสดงความเหี่ยวแห้งอะไรสักอย่างเดียวตลอดจนพระสรีระ
ส่วนอื่นๆบางส่วน เช่น กระดูกก็กลายเป็น "แร่ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์"
ซ้ำยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเก่าเสียอีกและยังสามารถทรงตัวมา
ได้ถึงถึง ๒๔๙๙ ปี* โดยยังมี "พระบรมสารีริกธาตุ" ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
"พระเขี้ยวแก้ว" ของพระองค์นั้นถึงกับเทวดาเสด็จลงมา
เก็บเอาไปประดิษฐานไว้ในดาวดึงส์ก็มีองค์หนึ่ง
ส่วนที่เหลือนอกนั้น พวกกษัตริย์ในแคว้นต่างๆก็มาขอ
แบ่งตวงไปด้วยทะนานทองถึง ๑๖ ทะนาน

นี่แหละ.."อำนาจของสมาธิ" เป็นอย่างนี้
"พระอัฏฐิ" ของพระองค์ก็เป็นของวิเศษ
แม้แต่เทวดาก็ไม่รังเกียจ มนุษย์ก็มีแต่จะแย่งกัน
ถ้าในครั้งนั้นไม่มีคนคอยปกปักรักษาแล้วก็คงจะแย่งกัน
ถึงรบราฆ่าฟันเป็นแน่ เมื่อคนมาก่อนได้แย่งส่วนที่ดีๆไปหมดแล้ว
ส่วนคนที่มาไม่ทันก็โกยเอาขี้เถ้าซึ่งเรียกว่า "พระอังคารธาตุ"ไปบูชาก็มี

นี่แหละ..ธรรมดาของ "มนุษย์ที่ดีแล้ว" ก็ย่อมเป็นอย่างนี้
ไม่ว่าอะไรๆใครๆก็อยากได้ แล้วก็น่าจะคิดว่า
"คนดีๆอย่างนี้นั้นมาจากไหน? " ถ้าจะตอบ..
ก็ตอบว่า "ก็มาจากการปฏิบัตินี่เอง"
เพราะท่านได้ซักฟอกธาตุขันธ์อายตนะของพระองค์
ให้ดีขึ้นด้วย "ศีล สมาธิ ปัญญา" จนบริสุทธิ์แล้ว
ธาตุของพระองค์จึงกลายเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์
ดวงจิตก็บริสุทธิ์ มีคนอยากได้ไปกราบไหว้บูชา

ส่วนคนเราที่ไม่มีคุณงามความดี ไม่ได้ทำบุญกุศล
ไว้แจกจ่ายให้ใครๆเลยนั้น พอตายหมดลมหายใจ
ก็อ้าปากค้างแห้ง ไม่มีใครเหลียวแล ทั้งพากันเกลียดกลัว
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นคนที่มีความชั่วร้ายมากๆแล้ว
เขาก็แทบจะให้เอาศพลงจากเรือนไม่ทันเสียอีก


*พระธรรมเทศนานี้แสดงในปี พ.ศ ๒๔๙๙

...

คัดลอกจาก
หนังสือแนวทางปฏิบัติ วิปัสสนา-กัมมัฏฐาน เล่ม ๒
พระอาจารย์ลี ธัมมธโร. มกราคม, ๒๕๕๓.หน้า ๒๗๐-๒๗๒

5,694







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย