ก่อนที่เราจะมาสนใจธรรม มาปฏิบัติธรรมหรือมาเดินบนเส้นทางธรรม ทุกคนก็เคยมีจุดหมายทางโลก
ก่อนที่เราจะมาสนใจธรรม มาปฏิบัติธรรมหรือมาเดินบนเส้นทางธรรม ทุกคนก็เคยมีจุดหมายทางโลก
จุดหมายทางโลกได้แก่อะไร
ความมั่งคั่งร่ำรวย การมีชื่อเสียง การมีฐานะ ตำแหน่ง การมีครอบครัวที่อบอุ่น เหล่านี้เป็นจุดหมายทางโลก
พอเรามาปฏิบัติธรรม หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะเอาจุดหมายทางโลกมาใช้กับจุดหมายทางธรรม เพราะความคุ้นเคยใช้ชีวิตทางโลกมา 20-30 ปี หรือบางคนนานกว่านั้น
พอหันมาสนใจธรรม จนถึงขั้นมีศรัทธาจะมาก้าวเดินบนเส้นทางธรรม ก็อดไม่ได้ที่จะเอาวิธีคิดที่มุ่งความสำเร็จทางโลกมาใช้กับการดำเนินชีวิตบนเส้นทางธรรม เช่น
เวลาเรามีจุดมุ่งหมายทางโลก เรามุ่งความสำเร็จทางโลก อดไม่ได้ที่จะต้องมีความยึดติด
ยึดติดด้วยความหมายมั่นปั้นมือว่าจะบรรลุให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ฐานะ ตำแหน่ง ความสำเร็จ ชื่อเสียง อำนาจ บารมี
ความยึดติดมันก็มีประโยชน์ในการทำให้เรามีแรงขับเคลื่อน ในการก้าวไปข้างหน้า เพื่อที่จะได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายทางโลก แต่พอพูดถึงยึดติด มันไม่ได้แค่ยึดติดในจุดมุ่งหมาย แต่รวมถึงยึดติดในหลายอย่าง เช่น ยึดติดในวิธีการ
พอเรามาปฏิบัติธรรม พอเรามาดำเนินชีวิตทางโลก เราก็เอานิสัยหรือท่าทีนี้มาใช้กับการปฏิบัติธรรมด้วย เช่น พอเรามาปฏิบัติธรรม มุ่งหวังความสงบ หวังความพ้นทุกข์ หวังให้ความเห็นแก่ตัวลดลง เราก็อดไม่ได้ที่จะเอาเป้าหมายเหล่านั้นมาเป็นเครื่องยึดติด มีความยึดติดในเป้าหมายนั้น
แล้วพอยึดติดแล้ว ก็ย่อมมีความพอใจ ไม่พอใจเกิดขึ้น อะไรที่มันสอดคล้องกับสิ่งที่เรามุ่งหวัง สิ่งที่เรายึดติด เราก็พอใจ ให้ค่าว่าดี อะไรที่มันไม่สอดคล้อง หรือสวนทางกับสิ่งที่เรามุ่งหวัง เราก็ว่ามันไม่ดี ไม่ถูกใจ
เช่น คนที่ต้องการความสงบ พอมาปฏิบัติแล้วก็หวังความสงบ มุ่งมั่นให้ได้ความสงบ ก็เลยรู้สึกไม่ชอบความฟุ้งซ่าน ไม่ชอบความหงุดหงิด มันมีการเลือกที่รักมักที่ชัง
การที่เรามีความชอบ ไม่ชอบ อาจจะมีประโยชน์สำหรับการดำเนินชีวิตในทางโลก หรือการมุ่งความสำเร็จในทางโลก แต่ถ้าเราเอาท่าที นิสัยนี้ มาใช้กับการปฏิบัติธรรม บางทีมันเกิดปัญหา
เพราะเวลาปฏิบัติธรรมให้จิตเกิดความสงบ แต่ว่ามันไม่สงบ มีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมาในใจ ก็ทนไม่ได้ ยอมรับไม่ได้ เพราะว่ามันสวนทางกับสิ่งที่ยึดติด สวนทางกับสิ่งที่คาดหวัง
หลายคนปฏิบัติไป เจริญภาวนาไป ปรากฏว่ายิ่งทำยิ่งเครียด เพราะว่าความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นไม่หยุด ที่จริงเป็นธรรมดาของการปฏิบัติ ของการฝึกจิต แต่ว่าพอไปยึดติดความสงบแล้ว ก็เกิดความรู้สึกลบต่อความฟุ้งซ่าน พอมีความฟุ้งซ่าน มีความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น ก็ไปผลักไส กดข่มมัน
แล้วยิ่งทำเช่นนั้น ก็หารู้ไม่ว่ามันเป็นการเพิ่มกำลังให้กับความฟุ้งซ่าน เป็นการต่ออายุให้กับความหงุดหงิด ยิ่งผลักไสมันยิ่งคงอยู่ เหมือนกับว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อย่างวัยรุ่นนี่ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ จิตเราก็เหมือนกัน
มันมีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น มีความหงุดหงิดเกิดขึ้น
พอเราไปห้าม พยายามกดข่ม มันก็ยิ่งพยศ ยิ่งต่อต้าน ยิ่งเป็นการต่ออายุให้มัน ก็เลยกลายเป็นการสู้รบตบมือกับความคิดฟุ้งซ่าน แทนที่จะพบความสงบ กลับเกิดความว้าวุ่นในจิตใจ
บางคนทำไป ทำไป ก็ทนไม่ไหว ลืมตัว โมโหตัวเอง ทุบอกตัวเองบ้าง หรือไม่ก็เอารองเท้าแตะฟาดหัว ทําไมมันคิดมากเหลือเกิน บางคนกรีดร้อง เพราะว่าพยายามกดข่มความคิด พยายามกดข่มความฟุ้งซ่าน แต่ว่ามันไม่สําเร็จ เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเอาวิธีคิด เอาวิธีการที่ใช้ในทางโลกมาใช้กับการปฏิบัติธรรม
วิธีการทางโลกบางอย่างมีประโยชน์สําหรับการปฏิบัติธรรม หรือการเข้าถึงความสําเร็จทางธรรม เช่น การที่เราจะพบความสําเร็จทางโลกได้ต้องมีความขยัน ความอดทน ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นประโยชน์สําหรับการปฏิบัติธรรม แต่ว่าท่าทีบางอย่าง มันสวนทางกัน ความสําเร็จทางโลกต้องมีความยึดติด เวลาทําอะไรก็คิดถึงความสําเร็จอยู่ข้างหน้า
แต่เวลาเราปฏิบัติธรรม ถ้ามุ่งหวังความสําเร็จข้างหน้า มุ่งหวังความสงบ มุ่งหวังความพ้นทุกข์ หรือแม้แต่มุ่งหวังความรู้สึกตัว มันก็ทําให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ เพราะว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน
เวลาปฏิบัติ เวลาเดินจงกรม เวลาสร้างจังหวะ ก็นึก ก็ชะเง้อคอ เหมือนกับมองสอดส่ายว่าเมื่อไหร่จะสงบ
แล้วทางโลกนี้ ก็ย่อมมีความคาดหวังว่าจะต้องบรรลุความสําเร็จ จะต้องประสบความสําเร็จ มันก็เลยบ่มเพาะความอยากได้ อยากได้ แต่ถ้าเราเอามาปฏิบัติธรรมแล้วมันมีความอยากได้นี้ มันยิ่งทําให้เนิ่นช้า หรือบางทีก็เข้ารกเข้าพงไปเลย
พระไพศาล วิสาโล
#สร้างสรรค์สังคมรมณีย์ #สวนโมกข์กรุงเทพ