"โลกธรรม ธรรมคู่โลก" (สมเด็จพระญาณสังวร)

 วิริยะ12  

.
 "โลกธรรม ธรรมคู่โลก"

" .. "โลกธรรมเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนาก็มี ไม่น่าปรารถนาก็มี" แต่ทุก ๆ คนก็ต้องประสบมาโดยลำดับ แม้ในชีวิตปัจจุบันทุกคนกำลังประสบอยู่ "คือกำลังประสบในส่วนได้ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข)บ้าง ในส่วนเสีย (ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์)บ้าง" ในชีวิตอนาคตก็ต้องประสบเช่นเดียวกัน

ฉะนั้น "ทุก ๆ คนจึงยิ้มย่องผ่องใสบ้าง เศร้าหมองบ้าง" อยู่ตลอดไป "บางคนเมื่อได้หรือเมื่อขึ้นก็มัวเมาโลกขึ้นไปอย่าลืมตัว เมื่อเสียหรือเมื่อตกก็เหมือนตกเหว คือรู้สึกว่าตกเอาจริง ๆ ถึงตายหรือเกือบตาย"

นึกถึงคนไข้ "ปรอทฉูดขึ้นฉูดลง แสดงว่าไข้หนัก น่าอันตราย คนที่มีจิตใจขึ้นลงเพราะโลกธรรมก็เช่นเดียวกัน" เว้นไว้แต่ "ผู้ที่ได้สดับธรรมของพระพุทธเจ้าและรักษาจิตใจไว้ได้ไม่ให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรมจนเกินสมควร" ถึงจะหวั่นไหวไปบ้างเหมือนอย่างเป็นไข้ธรรมดาก็ยังไม่เป็นไร

"พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลกธรรม" คือเรื่องของโลกตามเป็นจริงว่า "เป็นสิ่งที่พึงเกิดแก่บุคคลทุกทั่วหน้า แม้พระอรหันต์ก็ไม่พ้นไปจากโลกธรรม" ดังเช่นพระพุทธองค์เอง บางคราวก็ถูกพวกมิจฉาทิฏฐิด่าว่า กล่าวหาต่าง ๆ

แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเห็นตระหนักในความเป็นจริงของโลกธรรมว่า "ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา" จึงไม่ทรงข้องติดอยู่ในโลกธรรมทุกอย่างและโลกธรรมทุกอย่างก็ไม่ครอบงำ พระทัยพระองค์ได้

พระอรหันต์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ทั้งทรงสั่งสอนให้ทุก ๆ คนทราบตระหนักว่า "เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ทั้งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็นโลกธรรม ซึ่งอาจครอบงำใจของคนเขลา" เพราะทำให้ฉูดขึ้นฉูดลง ผลก็คือต้องเสียหายเพราะโลกธรรมทั้งขึ้นทั้งลง "แต่ไม่อาจครอบงำใจของผู้มีสติรู้เห็นตามเป็นจริงได้" .. "

"สิริมงคลของชีวิต"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙
 

5,587







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย