วสวัตตีมาราธิราชคำกลอน(ภาคแรก) ๒
บัดนั้น พญามาร ให้พล่านจิต
เพ่งพินิจ พิศมุนี อินทรีย์ใส
ธ ยิ่งเพ่ง ยิ่งคิด หงุดหงิดใจ
เหตุไฉน หนอทำไม ไยไม่กลัว
จึงพิโรธ โกรธแสน แค้นประดัง
เนตรแดงก่ำ สั่งคำราม ข้ามเหนือหัว
ยังผองพาล มารทั้งหลาย รายรอบตัว
ย่ำให้ทั่ว อย่ามัวช้า ฆ่าเมธี
เหล่าทหาร ขุนพลมาร สันดานหยาบ
ยินประกาศ ปากตะโกน กระโจนรี่
คะนองโดด โลดไป ในทันที
หวังขยี้ พระภูมี ศรีศากยา
บางตนแผลง ปลอมแปลง สำแดงเดช
เปลี่ยนเป็นเพศ เดรัจฉาน คืบคลานหา
บ้างเป็นเสือ บ้างเป็นสิงห์ วิ่งตามมา
บ้างเป็นช้าง บ้างเป็นม้า เข้าราวี
อสุภ จตุบาท สัญชาติสัตว์
สารพัด สลับกาย ร่างคล้ายผี
ครึ่งล่างสัตว์ ครึ่งบนร้าย พรายตานี
สัตว์ครึ่งผี มีมากล้น ปะปนมาร
ทวิบาท ชาติแร้งกา ดูบ้าบิ่น
รุมฉีกกิน ล้วนแล้วสิ่ง กลิ่นเหม็นสาง
สารรูป ภูตร้าย ใจชั่วทราม
กรีดเสียงขาน ผสานร้อง ก้องพฤกษ์ไพร
มวลหมู่มาร มากมาย หลากหลายสัตว์
เปรตผียักษ์ กลาดเกลื่อน เคลื่อนพลไหล
มุ่งสู่ยัง บัลลังก์โพธิ์ เฮโลไป
อึกทึก กึกไกล ทั่วไพรวัน
เพลานั้น องค์เลิศลักษณ์ ทรงพักจิต
ไร้เรื่องคิด จิตปล่อยวาง พลางสุขสันต์
เห็นหมู่มาร พาลฉกาจ หลากร้อยพัน
ล้อมหน้าหลัง รายครอบ รอบร่มโพธิ์
พระทรงมอง ตรองคิด พิศพาลต่ำ
ทรงน้อมธรรม แผ่บัง บั่นโทโส
ค่อยลิดรอน ทอนจิตร้าย ฝ่ายพาโล
ดับโมโห โกรธาหาย มลายพลัน
เมื่อนั้น วสวัตตี ให้มีจิต
อาฆาตคิด ประชิดรี่ ไม่รีหัน
รีบไสช้าง คิริเมขล์ เข้าประจัน
หวังห้ำหั่น ฟาดฟัน ให้บรรลัย
อวดกำแหง สำแดงฤทธิ์ มหิทธิเดช
ยังอาเพศ เสกลมฝน อึงอลไหว
เสียงสนั่น ลั่นฟ้า มาแต่ไกล
เมฆดำใหญ่ ไหลคลุมครอบ รายรอบพลัน
ท้องนภา พร่ามิด ดังปิดโลก
ลมกรรโชก โบกกระหน่ำ ครั่นคร้ามขวัญ
สายวิชชุ ปะทุแตก แทรกเมฆดำ
ฟ้าเลื่อนลั่น ประดังผ่า น่าเสียวใจ
ไม้หลากพันธุ์ รอบบัลลังก์ ลั่นเกลื่อนกลาด
หักล้มฟาด ปฐพี เอียงรี่ไหว
พายุพา ถลาลิ่ว ปลิวฟ้าไป
พุ่งชนใส่ ไหล่เขาเกิด ระเบิดพลัน
มวลเศษหิน บิ่นกระดอน จากง่อนผา
กระเด็นมา มืดนภา น่าเสียขวัญ
พุ่งเข้าสู่ พระภูมี รี่เร็วพลัน
พิลึกลั่น พลันย่อยป่น หล่นใกล้องค์
ห่าฝนใหญ่ แปลกเหลือใจ ใคร่คร้ามเข็ด
เคยเห็นเล็ก เม็ดกลับใหญ่ ไม่คล้ายฝน
หยดเท่าโอ่ง หล่นนองไหล ให้ชอบกล
ทับยอดสน ดงไม้ รายราบพลัน
ก่อเป็นสาย น้ำใหญ่ ไหลใกล้อาสน์
หวังพิฆาต พรากมุนี ศรีสวรรค์
ประหลาดแปลก แผ่นดินแยก แตกออกพลัน
น้ำเชี่ยวผัน ประดังหาย ใต้ปฐพี
บัดนั้น พญามาร พลุ่งพล่านจิต
บันดาลฤทธิ์ คิดกล้ำกราย ไม่คลายหนี
เป็นเปลวไฟ ไหม้จากฟ้า เข้าราวี
เป็นอิฐหิน พุ่งรี่ เข้าบีฑา
ห่าอาวุธ ผุดนภา ซัดฆ่าเข่น
ค้อนดั้งเขน พร่างพรู ธนูถลา
พระขรรค์แข่ง หอกแทง พุ่งแรงมา
มีดขวานพร้า ประดาใส่ หวังให้ตาย
เพลานั้น อัศจรรย์ พลันบังเกิด
ทานบุญเลิศ ประเสริฐฌาณ เข้าลาญหาย
ห่าอาวุธ ที่รุกมา พากลับกลาย
เป็นดอกไม้ รายโปรย โรยบัลลังก์
หมู่พหล พลมาร ที่ตามติด
เห็นซึ่งฤทธิ์ ประสิทธิ์มี ภูมีสวรรค์
ต่างตะลึง พึงเพริด เกิดงงงัน
จึงหยุดยั้ง ลงพลัน ในทันใด
จอมสวรรค์ ชั้นมาร ให้คร้ามจิต
จึงตรองตริ พลิกแนวทาง พลางปราศรัย
เลิกกำแหง สำแดงเดช เฉกเฉไกล
แสร้งเสไส ไถลเวียน เปลี่ยนวิธี
แล้วจึงเอ่ย ภิเปรยไป ในใจหวาด
โพธิอาสน์ สะอาดเด่น ที่เห็นนี้
ช่างงามสวย ด้วยบุญญา บารมี
ของเราที่ พลีทาน บันดาลมา
เหตุไฉน ท่านเป็นใคร ไยไม่แจ้ง
เข้ายื้อแย่ง แกล้งพัก นานหนักหนา
ซ้ำทำนิ่ง ดั่งสิ้นทุกข์ สุขอุรา
หาอายหน้า ทั่วพารา พาเศร้าใจ
พระทศพล ปลงกรรม ธรรมสังเวช
ถึงกิเลส เหตุพาล มารวิสัย
จึงเอื้อนโอษฐ์ โปรดถาม ถึงความนัย
เป็นไฉน หนอทำไม ไยกีดกัน
โพธิ์บัลลังก์ เรานั่ง ดั่งเห็นนี้
บังเกิดมี ด้วยกุศล ดลเสกสรร
ของเราที่ สั่งสมมา คราปางบรรพ์
ไยมารท่าน นั้นจึงแสร้ง แกล้งเบือนไป
กุศลกรรม ที่เราทำ จำฝังจิต
เกินพ้นฤทธิ์ แห่งมาร หาญสงสัย
สี่อสง ไขยแสนกัป หากนับไป
ขออย่าได้ ใฝ่ภัย ใส่ตนเอง
มารหน้าแดง แค้นประดัง ฟังประกาศ
แสร้งเกรี้ยวกราด ปากกล้า หน้าเจื่อนเห็น
สี่อสง ไขยเท่าใด ใครเล่าเกรง
ยกตัวเด่น เก่งปากคำ น่าชังจริง
อ้างบุญทาน ไหนพยาน ประทานบอก
จะขอสอบ ปากฟัง คำผิดศีล
หญิงหรือชาย ไปอยู่ไหน ใคร่รู้จริง
ไยจึงนิ่ง ทิ้งหาย ไม่กรายมา
เราซิมาก บุญล้ำ ไม่ทำกร่าง
เปี่ยมศีลทาน นานเนา เฝ้ารักษา
จนลือลั่น เจ้าสวรรค์ ชั้นกามา
มารทั่วหล้า มากหน้าเห็น เป็นพยาน
แท่นบัลลังก์ อันสูงค่า เบื้องหน้านี้
มิได้มี ที่ไว้ขลุก สนุกสนาน
จงรีบน้อม พร้อมคืนเรา เหล่าพวกมาร
ขืนดื้อด้าน จะประหาร ผลาญให้ตาย
พระทศพล ทรงญาณ ฟังมารอวด
ยกผนวก พวกพยาน พาลมากหลาย
จึงตอบถ้อย ร้อยความ ประทานไป
เรานี้ไม่ ได้มี สักขีพยาน
แต่ครั้งเรา เฝ้าทำทาน นานนับชาติ
มีประหลาด มากล้น จนคนขาน
คราเมื่อพระ เวสสันดร ยอมอกลาญ
องค์อินทร์หาญ ตามง้อ ขอมัทรี
ธ สุดช้ำ ลำเค็ญ เข็ญใจมาก
จำบริจาค บาทบริจา มารศรี
หวังเสริมสร้าง ถากถางทาง ทานบารมี
เพื่อจักหนี ลี้ผ่าน ข้ามภพภัย
แลครั้งนั้น อัศจรรย์ พลันบังเกิด
กุศลเลิศ ประเสริฐทาน บานเบ่งใส
ผืนแผ่นดิน สิ้นกลั้น ตื้นตันใจ
สะเทือนไหว สะท้านไกล ไปทั่วกัน
เหมือนจักแจ้ง สำแดงเป็น เช่นสักขี
ให้ภูมี คลายที่ มีโศกศัลย์
ธรณี ขานรับคุณ บุญอนันต์
จึงไหวสั่น ลั่นเจ็ดครั้ง ดังก้องไกล
มาบัดนี้ นั่งเหนือที่ โพธิอาสน์
อริราช เกรี้ยวกราดมอง จ้องผลักไส
พสุธา มาสงบ เหมือนหลบไป
เหตุไฉน ไม่เอื้อนตอบ บอกออกมา
สุนธรี วนิดา เพลานั้น
ได้ยินคำ พระดำรัส ตรัสเรียกหา
จึงเผยกาย คลายจากดิน ผินหน้ามา
กราบทูลว่า บุญรักษา ฝ่าพระองค์
ข้าพระบาท ทราบมานาน ทานบุญเลิศ
อันประเสริฐ พระเลิศญาณ นานสะสม
ทักษิโณทกทุกหยด หยาดตกลง
เกศมวยผม ข้าพระองค์ สั่งสมมา
มากเพียงไหน เท่าใดนัก จักให้เห็น
ประจักษ์เป็น เช่นพยาน มารเรียกหา
ขอพระองค์ ทรงพัก ทัศนา
พลางผินพักตร์ กลับมา เบื้องหน้ามาร
บัดนั้น พระธรณี นารีรัตน์
รีบสะบัด จัดโมลี มีไพศาล
คลี่สยาย คลายออก รอบวงศ์มาร
รัดสมาน ผสานเค้น เป็นนที
เพลานั้น ให้บันดาล พล่านสับสน
เหล่ามารพล โกลาหล อึงอลหนี
เสียงสนั่น ลั่นแตก แยกปฐพี
ดุจเภรี ตีซ้ำ ย้ำทำนอง
ไหวสะเทือน กระเพื่อมฟ้า นภากาศ
อัสนีบาต ฟาดกลาง มารทั้งผอง
ธรณี เอียงรี่ทรุด ยุบเป็นคลอง
น้ำบ่าล้อม ไหลต้อนมาร ผลาญพร่าพลัน
ท่วมทะลัก พัดกระจาย มลายสิ้น
ตกแผ่นดิน หล่นกระสินธุ์ ดิ้นเหหัน
คลื่นทับโครม มารโจนหนี ลี้หลบกัน
ต่างรีหัน พรั่นผวา คิดลาไกล
บ้างโดดเลาะ เกาะไต่ ตะกายควั่ก
บ้างฉวยจับ ตะพักหยุด ยั้งหลุดไหล
บ้างร่วงหาย วายชนม์ จมน้ำไป
มารน้อยใหญ่ ต่างพล่านไป ทั่วไพรวัน
คลื่นใหญ่ซัด พัดพา ถลากลิ้ง
กลบกลืนกิน จมแดดิ้น สิ้นอาสัญ
หมู่ปลาร้าย ไล่คะนอง ซ้ำสองพลัน
เข้าฮุบหลัง ขย้ำขา น่าเสียวใจ
คชสาร คิริเมล์ ซวนเซซัด
ถูกคลื่นยักษ์ ทับทั้งยืน พลั้งลื่นไหล
ต้องเสียหลัก น้ำพัดฉุด หลุดลอยไป
ท้าวมารใหญ่ ให้ตกใจ ไหวโดดทัน
ธ สุดฝืน ยืนโต้คลื่น ครืนครืนซัด
เหลียวมองสรรพ พลมาร พลางโศกศัลย์
ต้องมลาย ล้มหาย ตายจากกัน
อย่างบ้าคลั่ง ด้วยบาปกรรม นำจากเรา
(จิตถอนคลาย)
บัดนั้น พญามาร ร้าวรานจิต
สำนึกคิด ผิดกระทำ กรรมแผดเผา
สร้างบาปใหญ่ ก่อแต่ภัย ใจมืดเมา
แล้วใครเล่า จักเฝ้าไป รับใช้เวร
กายเข้าทำ จากใจนำ ทำความผิด
หากตรองตริ จิตโดดเดี่ยว ถูกเคี่ยวเข็ญ
ตกระกำ ลำบาก ในบาปเวร
กายหลีกเร้น บ่เห็นหาย เมื่อตายพลัน
โอ้ตัวเรา ช่างโง่เขลา เมากิเลส
เห็นวิเศษ เสพแต่กรรม นำโศกศัลย์
ที่ทรงฤทธิ์ มหิทธิเดช เหตุบุญทำ
แต่ใช่ว่า จักนิรันดร์ เหมือนดั่งใจ
สิ้นบุญพา ภพข้างหน้า ช่างน่าคิด
สั่งสมผิด ติดบาป ยากแก้ไข
สรวงสวรรค์ นั้นห่างหาย อย่าหมายไป
นรกไซร้ ไม่ไกลแน่ แท้ตัวเรา
มาบัดนี้ ตาสว่าง กระจ่างแจ้ง
โกรธเคยแรง แค้นเคยลน จนมืดเขลา
เหมือนถูกพราก ลากไป ไกลจากเรา
สองเท้าก้าว เข้าฝั่ง นั่งบังคม
บัดนั้น พระทรงชัย ไตรโลกนาถ
ปราศจาก วิบากใด ใจสุขสม
เห็นท้าวมาร ร้าวรานเศร้า เฝ้าทุกข์ตรม
จึงเสริมส่ง องค์ธรรม โน้มนำใจ
ว่าดูก่อน พญามาร ปล่อยวางผิด
จงอย่าติด เรื่องผ่าน พานหวั่นไหว
อดีตลับ ไม่กลับคืน อย่าฝืนใจ
เริ่มต้นใหม่ ใฝ่กระทำ แต่กรรมดี
ภพข้างหน้า อีกนานช้า กว่าจะถึง
มัวคำนึง ถึงไป ไยใช่ที่
เสียเวลา พาเขลา ไม่เข้าที
ควรฤาที่ มีแต่เศร้า เฝ้าทำลาย
จงอยู่กับ ปัจจุบัน น้อมนำจิต
หมั่นดำริ ตริธรรม ทำไฉน
จักละโลภ โกรธหลง ปลงจิตใจ
มรรคาไหน ศีลข้อใด ใช้นำพา
ทุกข์กำเนิด เกิดเพราะใจ ไม่เคยหยุด
นิรทุกข์ แค่หยุดใจ ไยเสาะหา
เหตุเช่นไร ให้ผลนั้น นั่นธรรมดา
หมดเหตุหนา จึงจักพา ผาสุกใจ
พญามาร ฟังความ เบิกบานจิต
สิ้นทิฐิ ตริธรรม พลันผ่องใส
บรรจงกราบ บาทยุคล พระทรงชัย
แล้วถอยหลัง เหาะกลับไป ใจเพริศธรรม
เพลานั้น ยังเบื้องหลัง สันบรรพต
เหล่าเทพหลบ มารภัย ใจโศกศัลย์
บ้างผุดลุก ผุดนั่ง หวั่นหวาดทัณฑ์
บ้างชะแง้ แลหลัง ระวังภัย
ใจหนึ่งอยาก ข้ามฟาก จากไปช่วย
แต่กลัวม้วย มรณา พาผลักไส
ใจหนึ่งคิด ถึงถูกผิด จิตป่วนไป
ทำไฉน ทุกข์เหลือใจ ไปทั่วกัน
ครั้นพอทราบ ชาติพาล มารยิ่งใหญ่
เหาะกลับไป ไม่สู้หน้า พาสุขสันต์
ต่างเผยกาย คลายกลัว ทั่วหน้ากัน
สาธุการ กันพร้อมพรั่ง ดังก้องไพร
เปล่งอุโฆษ โจษจัน ทั่วกันลั่น
อัศจรรย์ พระทรงธรรม เลิศล้ำไฉน
อนันตชินราช ราพณ์พ่ายไกล
นามนี้ให้ ได้พลัน แต่นั้นมา
เหล่าปวงเทพ เทวา ต่างผาสุก
ปลดเปลื้องทุกข์ สุขฤทัย ไปทั่วหน้า
ต่างเพรียงพร้อม น้อมกราบ พระศาสดา
แล้วลับกาย หายหน้า ลากลับวัง
ได้เวลา สายัณห์ ตะวันตก
พระผ่านภพ หมดภัย ใจสุขสันต์
สงบเหลือ เหนืออาสน์ บาทบัลลังก์
แว่วสำเนียง เสียงจักจั่น ลั่นราวไพร
หมู่วิหค นกกา ลาบินกลับ
รวงรังรัก พักคอน นอนหลับใหล
เย็นระรื่น คืนค่ำ ดื่มด่ำใจ
เพลินลมไหว งามไม้ไกว.... ใต้แสงจันทร์
สืบ ธรรมไทย