เหตุใดชาวโลกจึงควรทำบุญวันสารท(แรม1-15ค่ำ เดือน10)?



ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารในกรุงรชคฤห์ พระทรงตรัสปรารภพระเจ้าพิมพิสารให้เป็นต้นเหตุ กล่าวคือ ในครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงราชคฤห์วันนั้นท้าวเธอทรงดำริว่า
"มารดาบิดา และญาติทั้งหลายของเราตายไปแล้วจักได้เสวยสุขหรือทุกข์หนอ ? แท้จริงบุคคลที่มีใจบาปกระทำแต่กรรมอันหยาบช้า อกุศลก็ชักนำไปสู่อบาย ส่วนบุคคลที่ขวนขวายในกรรมดีมีสุจริต ครั้นดับจิตลงแล้วก็จะได้ไปสู่สุคติ ส่วนญาติๆของเราพึงมีทุกข์เป็นเบื้องหน้า อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้เราจักไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า"

ครั้นรุ่งเช้า ท้าวเธอก็ได้จัดแจงเครื่องสักการะแล้วเสด็จไปยังสำนักพระบรมศาสดา ครั้นไปถึงก็บูชาด้วยเครื่องสักการะถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงทูลถามว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มีความปริวิตกว่า มารดาบิดาและหมู่ญาติของข้าพระองค์ผู้ตายไปยังปรโลกแล้วนั้น บางคนก็ ไปสู่ทุคติ บางคนก็ไปสู่สุคติ หากบรรดาญาติของข้าพระองค์ไปทนทุกข์เวทนาอยู่ในทุคติเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทำกุศลอะไรอุทิศผลไปให้ พวกญาติจึงจะได้รับ
ผลแห่งบุญนั้นแล้วเสวยสุขสมบัติในโลกสวรรค์’’ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับพระดำรัสของพระเจ้าพิมพิสารดังนั้นแล้วทรงตรัสว่า

“มหาบพิธ ตามที่มหาบพิธรับสั่งมานั้นเป็นคุณประโยชน์มาก คือการที่มหาบพิธจะทำบุญให้ทานแล้วอุทิศผลแก่มารดาบิดาและญาติทั้งหลายนั้น นับว่าเป็นผู้มีน้ำพระทัยประกอบด้วยกตัญญูกตเวทิตาคุณ จัดว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอริยทรัพย์ในบวรพุทธศาสนา หากคนทั้งหลายผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกได้พากันขวนขวาย ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาและสดับฟังพระธรรมเทศนา แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ไปให้ผู้ดับชีพวายชนม์ไปสู่ปรโลก มีบิดามารดาเป็นต้น คนทั้งหลายนั้นจะได้รับส่วนบุญกุศลโดยพลัน เพราะสัตว์ทั้งหลายที่ไปเสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกจะเป็นกี่ชาติกี่ปีก็ตาม คั้นถึงวันสารท คือเดือนสิบตั้งแต่ แรม1ค่ำ ถึงแรม15ค่ำ นายนิรยบาลทั้งหลายจะปล่อยสัตว์นรกขึ้นมายังมนุษย์โลก เพื่อจะได้รับโมทนาสาธุการ รับเอาส่วนกุศลที่ญาติของตนอุทิศไปให้ ซึ่งสามารถช่วยให้พ้นทุกข์ ได้ไปเสวยสุขในสวรรค์เทวโลก เพราะฉะนั้นเปรตทั้งหลายที่เป็นบิดามารดาและญาติก็จะแล่นมาหาญาติพี่น้องลูกหลานของตนทุกแห่งหนในมนุษย์โลก ครั้นมิได้เห็นญาติพี่น้องลูกหลานของตนทำบุญ ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนาและฟังธรรมเทศนาตลอดจนมิได้เห็นลูกหลานบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ต่างก็พากันเดือดร้อน ร้องไห้รำพันด้วยประการต่างๆมีคำว่า “ พี่น้องลูกหลานของเราช่างไม่มีความเมตตากรุณาเสียเลย เราอุตส่าห์พยายามเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ ถึงเดือนสารทแต่ละทีๆ พวกเขาก็มิได้มาทำบุญให้ทานฯลฯ... แผ่ส่วนกุศลไปให้เราเลย เราต้องทนทุกข์เวทนาดังเก่า” ดังนี้เป็นต้น.

ส่วนเหล่าสัตว์นรกที่ได้เห็นพี่น้องลูกหลานของตน ทำบุญให้ทานรักษาศีลห้า ศีลแปด ตลอดจนได้บวชลูกหลานไว้ในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ต่างก็พากันยินดีชื่นชมโสมนัสว่า “ คราวนี้เราพ้นจากความเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานแล้ว จะไดไปเสวยสุขสมบัติในโลกสวรรค์ ด้วยเหตุที่ญาติพี่น้องลูกหลานของเราได้ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้เรา” ดังนี้ ครั้นแล้วต่างพากันแซ่ซ้องสาธุการและประสาทพรแก่ลูกหลาน ขอให้มีความสุขความเจริญทั้งโลกนี้และโลกหน้า
พวกที่มิได้เห็นลูกหลานทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ ต่างพากันแช่งด่าด้วยถ้อยคำมีประการต่างๆ เป็นต้นว่า “ สูเจ้าทั้งหลายจงประสบภยันตรายต่างๆ เช่น ทรัพย์สินที่หามาได้จงอันตรธานสูญหายไป ครั้นตายแล้วขอให้พวกสูเจ้าไปตกมหานรก ทนทุกขเวทนาตลอดกาลนาน เพราะการที่เจ้าทั้งหลายมิได้สนใจทำบุญให้ทาน รักษาศีลห้า ศีลแปด เจริญเมตตาภาวนาแต่อย่างใด เป็นคนประมาทมัวเมา มิได้นำพาเอาใจใส่ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ดังนี้เป็นต้น

ครั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงสดับพระธรรมเทศนาดังนี้แล้วก็มีพระทัยโสมนัสยินดีเสด็จนิวัติสู่พระราชวัง มีรับสั่งให้จัดแจงวัตถุไทยทานและให้ป่าวประกาศไปยังชาวเมืองให้พากันทำบุญให้ทาน ชาวเมืองต่างจัดแจงไทยทานอันปราณีต แล้วพระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์ข้าราชบริพารเสด็จไปยังพระเวฬุวันมหาวิหาร ถวายอาหารบิณฑบาต อังคาสพระสงฆ์มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน เสร็จแล้วได้ทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาแสดงพระธรรมเทศนา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสพระคาถามีใจความว่า
“ ให้ประชาชนทั้งหลายพากันทำบุญ ให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา แล้วอุทิศส่วนกุศลผลบุญส่งไปให้แก่เปรตชน เมื่อเปรตชนเหล่านั้นได้รับส่วนกุศลและอนุโมทนาด้วยความปลื้มปีติแล้ว จะได้เสวยสุขสมบัติในวิมานทองในแดนสวรรค์เทวโลกสืบต่อไป ส่วนผู้ที่ญาติมิได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ก็จะต้องกลับไปเสวยทุกขเวทนาในนรกด้วยอำนาจผลแห่งกรรมชั่วในขณะที่เป็นมนุษย์ นับว่าเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก”

ส่วนผู้ที่มีศรัทธาอันแรงกล้า ได้จัดไทยทานมาถวายแก่พระสงฆ์ผู้ทรงศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา อุตสาหะบำเพ็ญทานบารมี ก่อสร้างกองกุศลโดยไม่ประมาทในชีวิตความเป็นอยู่ของตน แม้ว่าได้ดับชีพวายชนม์จากมนุษย์โลก ก็จะได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดาในสวรรค์ จะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติในวิมานทองคำด้วยอำนาจกุศลบุญราศรีที่ตนได้บำเพ็ญในเดือนสารทแล้วอุทิศไปให้แก่บิดามารดาและญาติทั้งหลายของตน โดยเป็นผู้ประกอบด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรม ย่อมอำนวยประโยชน์โสตถิผลแก่ตนและเปรตชนผู้ล่วงลับไปเป็นอันดี ดังที่พระเจ้าพิมพิสารทรงกระทำเป็นตัวอย่าง

วันสาร์ทไทย ปีนี้ 1-15 ตุลาคม 2555 ---> อย่าลืมไปทำบุญให้บรรพบุรุษนะจ๊ะ
   

5,457







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย