วัฒนธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยเปลี่ยน : หลวงพ่อชา สุภัทโท

 จำปาพร  

 หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง
อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


วัฒนธรรมเมืองไทย พระสงฆ์ช่วยสั่งสอนกุลบุตรลูกหลานให้เคารพคนเฒ่าคนแก่ ให้เคารพพ่อแม่ ให้เคารพครูบาอาจารย์ตลอดมาเรื่อยๆมา อันนี้เป็นวัฒนธรรมของคนไทย แต่ในเวลานี้ก็เสื่อมไปบ้างแล้วนะ มันเสื่อมไปบ้าง เพราะว่าไฟน้ำมันสบาย ไฟมันสว่าง ใจคนก็ยิ่งมืด ไฟฟ้ายิ่งสว่างใจคนก็ยิ่งมืดไปเท่านั้น พูดถึงประชาชนเมืองไทยน่ะ เมืองนี้อาตมาเพิ่งเข้ามาอยู่ไม่กี่เดือนยังไม่ทราบน่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ คงจะเรียบร้อยดีกว่าเมืองไทยมั้งน่ะ (หลวงพ่อหัวเราะ) อันนี้พูดถึงวัฒนธรรมของเก่าแก่เมืองไทยให้ฟัง เช่นว่า การแต่งงาน ผู้หญิงต้องอายุอย่างน้อย ๒๐ ปี ผู้ชายอายุ ๒๕ ปี เป็นปกติจึงแต่งงานกันได้ เดี๋ยวนี้คงจะข้ามเขตแล้วมั้งเดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่น้อย โจรมาก คุ้มไม่ไหว เนี่ยมันเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจึงมาอบรม "อบรมพระธรรม" คำสอนของพระพุทธเจ้า


ธรรมะที่อบรมมาตั้งหลายวันแล้วนี่เป็นธรรมะที่ไม่พ้นสมัย ทุกวันนี้ก็ยังทันสมัยอยู่ เมื่อไรว่าทันสมัย คือ "ไม่มีของเก่า" มันใหม่อยู่เรื่อย เช่น คนทำดีก็ยังได้ดีอยู่ คนทำชั่วมันก็ยังได้ชั่วอยู่ตลอดเวลา เมื่อไรก็ต้องเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นของใหม่อยู่เสมอ ไม่เหมือนจิตใจของบุคคลเรา


ระยะเวลาประมาณสักหกสิบกว่าปีมานี้ ที่อาตมาเกิดมามีอายุหกสิบกว่าปีนี้ มันเปลี่ยนไปไกลลิบ เกือบจะมองไม่เห็นเสียแล้ว วัฒนธรรมนั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉะนั้นวัฒนธรรมของคนไทย ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังไม่เปลี่ยน ทำดีทุกวันนี้ก็ยังได้ดีอยู่ ทำชั่วก็ยังได้ชั่วอยู่ ฉะนั้นพวกเราจึงควรนำมาคิดมาพิจารณาให้ดีมาก สิ่งที่เป็นแก่นสารมากทีเดียว เห็นจะดีกว่าวัฒนธรรมที่เราตั้งเอาเองทุกวันนี้ วัฒนธรรมที่เราตั้งเอาเองทุกวันนี้เห็นจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่มันได้เรื่องมากเกินไป แต่มันไม่หมดเรื่อง มันไม่ใช่ว่าไม่ได้เรื่องหรอก เรื่องมันมาก ก็จะทำยังไงกันเรื่องมันมากเหลือเกินจะทำไง เรื่องมากปัญหามันก็มากก็แก้ปัญหาไม่ไหวแล้วนี่ อาตมาแก้ปัญหาทุกวัน หรือยังไงอันนี้พูดให้คิดนะ พูดให้คิดนะ ไม่ใช่สอนให้เชื่อ ไม่ใช่สอนให้เชื่อ สอนให้ไปพิจารณา ดีเอา ไม่ดีมันก็ทิ้งไป


วัฒนธรรมของคนไทย พูดถึงลูกหลานพ่อแม่คนแก่ พ่อแม่มีลูกหลายคน แก่มาแล้วลูกแย่งกันเอาไปปฏิบัติเดี๋ยวคนนั้นเอาไปปฏิบัติ ๗ วัน ๑๕ วัน เดี๋ยวคนนั้นไม่สบายใจเอาไปปฏิบัติให้อยู่สบายกัน อาตมามาเมืองนี้เห็นเอาคนแก่ไปทิ้งไว้ อย่างมากก็มีสุนัขตัวหนึ่งอยู่นั้นแหละ วิ่งไปวิ่งมาตอนเช้าน่ะ เกินตึตะๆตอนเช้า หิ้วของหนักๆก็ไม่มีใครจะช่วย ไม่รู้ว่าเป็นไง อาตมายังไม่รู้น่ะ อบรมกรรมฐานจิตใจเราก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งอะไรที่ไหนแล้ว ลูกหลานก็ไม่ค่อยไปเยี่ยม มัวสนุกกันอยู่โน้น อะไรก็ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราแก่มาเป็นอย่างนั้นเป็นไงจะสบายไหม อันนี้ประการหนึ่งอาตมาซึ่งเห็นแต่ยังไม่รู้นะ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงไม่รู้ มันแปลก มีความรู้สึกอย่างนั้น มีความรู้สึกว่า เลี้ยงลูกขึ้นมาไม่มีความหมายอะไรมาก ลูกไม่ช่วยแม่ช่วยพ่อ แล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้น วัฒนธรรมนี่น่าพิจารณาอยู่เหมือนกันนะ ถ้าเราไปถูกอย่างนั้นเป็นคนแก่จะเป็นยังไงไหม ใจระทมและทุกข์อยู่เสมอทุกเวลา อันนี้ลองให้เอาไปพิจารณา นี่วัฒนธรรมของคนไทยเป็นอย่างนั้น




ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"ปล่อยวาง ว่างสบาย"
 

5,589







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย