ถ้าจะให้โลกนี้มีความสุข ต้องกำจัดความเห็นแก่ตัว


ถ้าจะให้โลกนี้มีความสุข ต้องกำจัดความเห็นแก่ "ตัว"

ฉะนั้นขอให้ไปสำรวจดู ในคำสอนของลัทธิศาสนาไหน : พุทธ ศริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ซิกซ์ ฮินดู จีน กรีก อะไรก็ตาม จะมีใจความสำคัญอยู่ข้อหนึ่งว่า ต้องไม่เห็นแก่ตัว, เราต้องอยู่กันอย่างไม่เห็นแก่ตัว. นี่เรียกว่า ปากทุกปากพูดเหมือนกันหมด พูดว่าไม่เห็นแก่ตัว.

พอมาถึงขั้นที่ว่า ไม่เห็นแก่ตัวนั้นทำอย่างไร ตอนนี้ปากจะพูดไม่เหมือนกันแล้ว อย่างพุทธศาสนาก็จะพูดอย่าง, ศาสนาคริสเตียนอิสลามก็จะพูดไปอย่าง, แต่ละอย่าง ละอย่างเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว

ทำไมพูดไม่เหมือนกันเล่า ? เพราะว่าผู้ฟังมันไม่เหมือนกัน, เวลาก็ไม่เหมือนกัน, สถานที่ก็ไม่เหมือนกัน; เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามนี้ เกิดคนละถิ่นคนละที่. ที่นั้น ๆ ประชาชนเขาเป็นอย่างนั้น, มีวัฒนธรรมอย่างนั้น, มีนิสัยใจคออย่างนั้น มันก็ต่างกันซิ, แล้วเวลาก็ห่างกันตั้ง ๕๐๐ ปี –๕๐๐ ปี –๕๐๐ ปี โดยประมาณนี้ จะพูดเหมือนกันได้อย่างไร; แต่พูดให้เหมาะกับเวลา, ให้เหมาะกับสถานที่ ที่ในหมู่ชนที่ยึดถือวัฒนธรรมอย่างหนึ่งก็ต้องพูดให้เข้ากับวัฒนธรรมอย่างนั้น. หรือว่าในประเทศหนึ่งก็มีวัฒนธรรมหลายสายหลายสาขา ก็ต้องพูดให้เหมาะแก่วัฒนธรรมแต่ละสาขา

อย่างพระเยซูพูดกับผู้ที่เชื่อถือในพระเจ้ามาแต่ก่อน ก่อนพระเยซู, พระเยซูก็พูดอย่างมีพระเจ้าเชื่อพระเจ้า เคารพพระเจ้า ฟังพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า ทำตามพระเจ้าแล้วก็ทำลายความเห็นแก่ตัวได้. นี่เอาความเชื่อขึ้นมาเป็นสรณะ เชื่อพระเจ้าจนไม่ต้องเห็นแก่ตัว จนไม่อาจจะเห็นแก่ตัว ฉะนั้นวิธีทำลายความเห็นแก่ตัวมันก็ต่างออกไป.

สำหรับศาสนาที่เขามีพระเจ้า จะเป็นศาสนาคริสเตียน อิสลาม ศาสนาซิกซ์ ศาสนาฮินดูบางแขนง, เขามีพระเจ้า ทำตามพระเจ้า, แล้วก็หมดความเห็นแก่ตัวบางทีก็แบ่งแยกไปว่า หมดความเห็นแก่ตัวอย่างนี้, แล้วไปมี "ตัว" อย่างอื่นที่สูงสุด ที่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างนั้นก็มี, แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ. เรื่องสำคัญตรงที่ว่า คนอย่าเห็นแก่ตัว, แล้วคนก็จะไม่เบียดเบียนกัน, แล้วคนก็จะอยู่กันเป็นผาสุก

ทีนี้พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น, ถ้าจะไม่ให้เห็นแก่ตัวจะต้องทำอย่างไร ? พวกนี้ใช้ปัญญา : ใช้ปัญญามองดู, มองดู พิจารณาดู; เห็นโทษว่าโอ้, ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วมันฆ่าฟันกันตายหมด, เราเกลียดกลัวความเห็นแก่ตัว, อย่ามีความเห็นแก่ตัว, นี้ก็ระดับหนึ่ง.

ทีนี้อีกระดับหนึ่งสูงไปกว่านั้นก็ว่า โอ้, ที่จริงมันไม่มี "ตัว" โดยแท้จริงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัว, หรือเป็นตัว, มีแต่สิ่งที่เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาเท่านั้นแหละ, เป็นไปตามกฎของ อิทัปปัจจยตา, เป็นการปรุงแต่ง, เป็นตัวการปรุงแต่ง, เป็นกระแสแห่งการปรุงแต่ง, ที่เราเรียกว่า สังขาร–สังขาร–สังขาร นั่นแหละ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่มีตัว. เป็นไปตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา.

พวกนี้ใช้ปัญญามองเห็นว่า อ้าว, มันไม่มีตัวนี่! มันก็หมดความเห็นแก่ตัว

ถ้ายังไม่ขึ้นมาถึงขั้นนี้ ยังอยู่ในขั้นศีลธรรม, เขาก็มองเห็นว่า เห็นแก่ตัวมันทำลายล้างกัน; ฉะนั้นอย่าเห็นแก่ตัวกันเลย. ในขั้นศีลธรรมก็ไม่เห็นแก่ตัวเพราะมีศีล, ในขั้นปรมัตถธรรมก็ไม่เห็นแก่ตัวเพราะมีปัญญา; เห็นว่ามันไม่มีตัว.

ดังนั้น พุทธศาสนาของเราจึงแปลกจากศาสนาอื่นที่เขามีตัว, หรือมีแบบพระเจ้า, อาศัยอำนาจพระเจ้ามากำจัดความเห็นแก่ตัว. นี่เราอาศัยความจริง #เห็นว่าไม่มีตัวมายกเลิกความเห็นแก่ตัวเสีย.

ฉะนั้นขอให้จำคำนี้ไว้เป็นหลักว่า พุทธศาสนานั้นไม่มี "ตัว" ไม่มีตัวที่จะเกิดความเห็นแก่ตัว, ถ้ารู้จริง! ถ้าไม่รู้จริงก็มีตัวไปก่อน ก็ควบคุมตัวไว้ให้ดี ๆ อย่าให้เกิดอันตรายขึ้นมา

พุทธทาสภิกขุ

3,154







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย