สวัสดีครับท่าน ๆ ผู้ชื่นชอบเรื่องเวร เรื่องกรรม ทุกท่าน สัปดาห์นี้ก็เช่นเคย คิดว่าทุกท่านคงมีความสุขสบายดีตามกฎเกณฑ์แห่งกรรมของแต่ละคนกันนะครับ เพราะผมเชื่อแน่ว่าคนเราไม่ว่าจะยากดี มีจน เด็กเล็ก ชายหญิง ผู้แก่ชรา สรรพสัตว์ทุกชีวิต จะอยู่ในฐานะเช่นไร ? ล้วนมีชีวิตหมุนไปตามพลังอำนาจของกรรมทั้งนั้น

แค่ชื่อเรื่องถึงไม่บอกก็รู้แล้วว่า “กรรม” และเพื่อมิให้เสียท่าต่อกรรม จึงอยากเชิญทุกท่านให้ดูแลตัวเองให้ดีเพื่อความปลอดภัย และในวันนี้ กระผมมีของมาฝากอีกตามปกติ ซึ่งเป็นสมบัติที่ได้รับมาจากพระพุทธองค์ ๆ ก็ได้มอบให้กับทุก ๆ คนนั่นแหละ ต่างแต่ว่าใครจะน้อมรับหรือไม่ ?

นั่นก็คือ เรื่องกรรมเก่าของพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า “พระอุตตระ”

ในอดีตนานมาแล้ว พระอุตตระ ท่านทำคุณงามความดี และสั่งสมบารมีไว้เยอะมากพร้อมที่จะบรรลุอรหันต์ ต่อมาได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า “สุเมธ” เป็นคนที่สำเร็จวิทยาอาคมมีฤทธิ์มาก ไปไหน ? ใช้การเหาะอย่างเดียว

มีอยู่วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าคิดจะอนุเคราะห์เขา (พระอุตตระ) พระองค์ทรงฉายรังสีจากร่างของพระองค์มีถึง 6 สี ประจวบกับพระอุตตระกำลังเหาะอยู่ ได้เห็นพระรังสี ก็เกิดการเลื่อมใส ลงจากอากาศแล้วเก็บดอกกรรณิการ์เข้าไปกราบบูชาพระองค์ เมื่อตายจากภพนั้นแล้วท่านไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งท่านได้ตายเกิด ๆ ระหว่างเทวดาและมนุษย์ อย่างนี้เป็นเวลานาน

ในชาติสุดท้ายท่านได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่เป็นมหาเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์ มีชื่อว่า อุตตระ เมื่อเจริญวัยท่านเป็นคนมีรูปร่างหล่อ เรียนก็เก่ง เป็นคนเจ้าระเบียบเรียบร้อย ใครเห็นใครรัก

อยู่มาวันหนึ่ง มีมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ ชื่อว่า “วัสสการะ” เห็นบุคคลิกเข้า ก็ชอบใจมากจึงคิดจะยกลูกสาวให้เป็นเมีย ….แต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยจาก นายอุตตระ ทั้งนี้เพราะนายอุตตระมีใจมุ่งไปในทางบวชเพื่อมุ่งพระนิพพาน

ต่อมานายอุตตระเข้าไปฟังธรรมะที่สำนัก(วัด) ของพระสารีบุตร เมื่อฟังแล้วเกิดศรัทธาขอบวชเป็นสามเณร (อายุไม่ครบบวชพระ) …บังเอิญในวันนั้นพระอาจารย์(สารีบุตร)เกิดไม่สบายหนัก สามเณรอุตตระ ตระเตรียมจัดยาไว้ให้พระอาจารย์ตัวเองได้ฉัน แต่ด้วยพระอาจารย์ยังไม่ได้ฉันอาหาร(ไม่มีอาหารรองท้อง) สามเณรจึงหุ่มจีวร แล้วถือบาตรพร้อมเดินออกบิณฑบาตแต่เช้ามืด แต่ด้วยสามเณรยังไม่ได้ล้างหน้าจึงวางบาตรไว้ที่ริมบึงฝั่งทะเลสาบ เพื่อจะเดินไปล้างหน้า

ในลำดับนั้นเอง ได้มีโจรผู้ร้ายที่ทำลายอุโมงค์คนหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่วิ่งไล่กวดมา ได้หนีออกจากพระนคร วิ่งหน้าตั้งมาทางสามเณรวางบาตรไว้ โจรได้โอกาสเหมาะจึงเอาห่อรัตนะที่ลักขโมยมาใส่ไว้ในบาตรของสามเณร เสร็จแล้วรีบหนีต่อไป

ฝ่ายสามเณรเมื่อเสร็จจากการล้างหน้าจึงขึ้นมาที่ริมทะเลสาป เดินไปใกล้บาตร ก็พอดิบพอดีกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง(ตำรวจ) ที่วิ่งไล่ตามโจรมา เห็นห่อรัตนะอยู่ในบาตรของสามเณร จึงพูดว่า “สามเณรรูปนี้เป็นโจร มีความประพฤติเยี่ยงโจร” จึงตรงเข้าจับสามเณรมัดมือไพล่หลัง นำตัวไปส่งให้มหาอำมาตย์วัสสการพราหมณ์ตัดสินคดี

ในสมัยนั้น วัสสการพราหมณ์เป็นผู้วินิจฉัยตัดสินคดีความแทนพระราชา ส่วนมหาอำมาตย์ไม่สอบสวนทวนความเลย เพราะเคยผูกอาฆาตในครั้งก่อนเมื่อยกลูกสาวให้กลับไม่เอา ดันหนีไปบวชในลัทธินอกศาสนาดั้งเดิมของตน อำมาตย์จึงสั่งให้เอาหลาวแหลมเสียบสามเณรประจานทั้ง ๆ ที่สามเณรยังเป็น ๆ อยู่

ธรรมดาของพระพุทธเจ้าเมื่อจะเสด็จออกโปรดสัตว์โลก พระองค์จะตรวจดูสัตว์โลกว่าใครควรที่จะโปรดก่อน หลัง …แล้วเหตุการณ์ของสามเณรก็อยู่ในข่ายแห่งพระญาณของพระพุทธองค์ ๆ จึงได้เสด็จไป(โดยพระญาณ) สู่ที่สามเณรถูกเสียบ แล้วพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ ที่มีพระองคุลียาวอ่อนนุ่มแผ่พระฉัพพรรณรังสี คุลมด้วยเปลวรัศมีบนศีรษะของสามเณรอุตตระ แล้วพระองค์ตรัสว่า

“ดูก่อนอุตตระ นี้เป็นผลกรรมเก่า เกิดขึ้นแล้วแก่เธอ ๆ จงทำความอดกลั้น ด้วยกำลังแห่งความดี แล้วพิจารณาในผลของกรรมนั้น”

จากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมให้สามเณรได้ฟังตามอัธยาศัย สามเณรเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วเกิดความสุขปีติโสมนัส ที่เกิดจากการสัมผัสด้วยพระหัตถ์ของพระพุทธองค์ คล้ายกับทรงราดด้วยน้ำอมฤต ..สามเณรยกระดับขึ้นสู่ทางวิปัสสนา ตามนิสัยที่ได้สั่งสมอบรมไว้ ทำลายกิเลสอย่างหมดสิ้นด้วยความแก่กล้าแห่งญาณ

สามเณรอุตตระได้อภิญญา 6 ลุกขึ้นจากหลาวแล้วยืนอยู่กลางอากาศแสดงปาฏิหาริย์ เพื่ออนุเคราะห์แก่หาชน ๆ ต่างมหัศจรรย์ใจว่าปรากฏการณ์อย่างนี้ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนเลย

สามเณรอุตตระได้บรรลุพระอรหันต์ ณ ที่ตรงนั้น พร้อมกับกล่าวว่า…
"ภพอะไรที่เที่ยงไม่มี แม้สังขารที่เที่ยงก็ไม่มี ขันธ์(5) เหล่านั้นย่อมเวียนเกิด และเวียนตายไป เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มีความต้องการด้วยภพ เราสลัดตัวออกจากกามทั้งปวง บรรลุถึงความสิ้นอาสวะกิเลสแล้ว" (เล่ม 51 หน้า2)


สาระจากเรื่องนี้ ให้ข้อคิดต่อชาวพุทธหลายประการ ดังนี้

1. กรรมเป็นนิจจัง ผู้ทำกรรมใดไว้ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมนั้นซึ่งเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน
จะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็แต่ว่าจะให้ผลช้า หรือเร็ว หนักหรือเบา ต่างกันเท่านั้นเอง
2. บางกรรมก็ไม่ให้ผล โดยปกติกรรมที่เราทำย่อมจะให้ผลเสมอไป แต่มีบางกรรมอาจจะ
ไม่ให้ผล เพราะกรรมตามไม่ทัน หรือเพราะผู้ทำนั้นทำให้กรรมชั่วนั้นอ่อนกำลังลงด้วยกรรมดี
3.ไม่มีใครโกงกรรม กรรมทำได้ 3 ทางคือ ทางกาย ทางวาจาและใจ จะมีใครเห็นหรือไม่เห็น รู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญ ขอแต่ว่าให้มีตัวเจตนา คือตั้งใจทำ กรรมก็ย่อมจะเกิดขึ้นแล้วในทันทีทันใด

ดังนั้น ผู้ที่กำลังทำกรรมชั่วอยู่ แล้วยังไม่ได้รับผลบาป ก็อย่าเพิ่งหลงระเริงว่ากรรมชั่วไม่ผล นั่นเพราะกรรมชั่วยังตามไม่ทันแต่กำลังตามอยู่เหมือนหมาไล่เนื้อ แต่ในวันหนึ่งมันก็ต้องตามทัน อยู่ดี ยกเว้นเสียแต่ว่าเราจะบรรลุพระนิพพานเสียก่อน


ในทางตรงกันข้าม ท่านผู้ใดที่กำลังทำกรรมดีอยู่ แล้วได้รับความทุกข์ ก็ไม่ควรจะท้อแท้ใจ วันหนึ่งกรรมดีจะต้องให้ผลอย่างแน่นอน จงเชื่อในอำนาจกรรมก็แล้วเถอะ สำคัญอยู่ว่า จงทำความดีเข้าไว้เรื่อยๆ พอผลแห่งบาปจากความชั่วเบาบาง หรือหมดไป คราวนี้เป็นโอกาสความดีบ้างแล้วหล่ะ
ความดีจะได้แสดงบทบาทหน้าที่ด้วยการให้ผลอย่างเต็มที่

หน้าที่ของเราทุกคน คือ อย่าได้สงสัยเลย ขอให้เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าเถิด ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วในทันที แต่ส่วนผลของกรรมดี หรือกรรมชั่วอันเป็นรูปธรรมก็ย่อมจะขึ้นอยู่กับตัวแปรด้วยนะ

กระผมขอถามหน่อยเถอะว่า ในโลกกลม ๆ ใบนี้ มีใครน่าเคารพ น่าเชื่อถือ น่ากราบไหว้ มากกว่าพระพุทธเจ้ามีบ้างไหม? ครับ.. ถ้าไม่มีก็จงหันหน้ามาดู หูฟัง สมองคิด แล้วเร่งพิชิตความชั่วให้หมดนะครับ จึงจะถือว่ารักกันจริง


---------------------------------------------------------------------
ภัครวัฒน์ ดวงงาม   

5,185







จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย