กุสราชมหาสัตว์(ภาค ๒) เขียนโดย สืบ ธรรมไทย

 pt  



กุสราชมหาสัตว์ ๒

กล่าวถึงพระนางประภาวดี ถึงจักทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีแล้ว แต่องค์เทวีก็ยังไม่เคยทรงเห็นหน้าพระสวามีในยามกลางวันเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว! ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือนกัน ตั้งแต่ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางประภาวดีมา พระองค์ก็ยังไม่เคยทรงเห็นพระพักตร์ของพระชายาในยามกลางวันเลยเช่นกัน จนวันหนึ่งราชาโพธิสัตว์ก็มิอาจทรงทนต่อความอยากเห็นหน้าภรรยาต่อไปได้อีก จึงเสด็จไปเฝ้าพระมารดาเพื่ออ้อนวอนให้ทรงพาพระองค์ไปพบพระชายาในยามกลางวันบ้าง แต่มเหสีสีลวดีได้ทรงทัดทานไว้ ว่าอย่าทำตามอำเภอใจ รอจนพระชายาทรงตั้งพระครรภ์เสียก่อนจึงค่อยพบกัน แต่ความอยากเห็นหน้าภรรยานั้นมันช่างมีกำลังมากเสียเหลือเกิน เกินกว่าที่ราชาหนุ่มจักทรงหักห้ามพระทัยได้ ดังนั้นผ่านไปแค่สองวันพระองค์ก็ทรงเข้าไปรบเร้าพระมารดาใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา

ในที่สุดพระมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้พระมหาสัตว์ทรงไปคอยอยู่ที่โรงช้างก่อน เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระนางประภาวดีไปดูช้างศึก แต่มีข้อแม้ ต้องอย่าทำให้พระนางประภาวดีทรงรู้พระองค์เป็นอันขาด ราชากุสราชครั้นทรงสดับคำพระมารดาก็ให้แสนลิงโลดพระทัย รีบตรัสให้ทหารไปนำชุดตะพุ่นหญ้าช้าง (คนเลี้ยงช้าง) มาให้พระองค์เป็นการด่วน จากนั้นก็รีบทูลลาพระมารดาเสด็จกลับตำหนักเพื่อทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นคนเลี้ยงช้างทันที ฝ่ายจอมเทวีพอลับหลังราชบุตรก็ทรงบัญชาให้ทหารไปทำความสะอาดโรงช้างไว้ก่อน จากนั้นก็เสด็จไปยังตำหนักพระสุณิสาเพื่อชวนนางมาทอดพระเนตรโรงช้างหลวง

กล่าวถึงพระเจ้ากุสราช หลังทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นตะพุ่นหญ้าช้างได้ก็รีบเสด็จมารอ พระมารดาแลพระชายาอยู่ที่โรงช้างด้วยพระทัยอันลิงโลด ผ่านไปสักครู่ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นทั้งสองพระองค์กำลังเสด็จมาที่โรงช้าง พอทรงเห็นพระองค์ก็ทรงเกิดนึกสนุก คิดจักทรงแกล้งหยอกพระชายา จึงทรงเก็บเอามูลช้างที่แห้งติดพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง พอพระนางประภาวดีเสด็จเข้ามาใกล้ได้ระยะ จอมราชาก็ทรงขว้างมูลช้างไปที่พระกรนาง ขณะนั้นพระธิดาแคว้นมัททะกำลังทรงตื่นเต้นพระทัยกับช้างศึกแคว้นมัลละที่มีขนาดใหญ่กว่าแคว้นนางอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ พอจู่ๆถูกคนเลี้ยงช้างปามูลช้างใส่ก็ทรงเกิดมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด ทรงเผลอพระองค์ตวาดใส่เจ้าตะพุ่นหญ้าช้าง“ เหม่! เจ้าผู้บังอาจ เราจักให้พระราชาทรงลงโทษตัดมือเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ คอยดูเถอะ! ” ตรัสบริภาษแล้วก็ทรงหันมาทูลพระสัสสุให้ลงโทษเจ้าคนเลี้ยงช้างสามหาวคนนี้ทันที พระมเหสีสีลวดีทรงเกรงว่าความจักแตก จึงทรงโผเข้าไปกอดพระสุณิสาเอาไว้พร้อมกับทรงปลอบโยน “ โถ..คนดีของแม่ อย่าขุ่นเคืองไปเลยลูก ไฉนจึงจักเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเล่า ” ตรัสพลางก็ทรงลูบพระปฤษฎางค์ (หลัง) ของพระสุณิสาไปพลาง ขณะเดียวกันก็ทรงถลึงพระเนตรไปที่พระมหาสัตว์ ด้านพระนางประภาวดีเมื่อทรงเห็นผู้เป็นแม่สามีให้ความรักความห่วงใยในพระองค์ถึงเพียงนี้ หากจักทรงถือโทษเอาความกับเจ้าคนชั้นต่ำอีก ก็เกรงจะทำให้พระมเหสีลวดีทรงไม่พอพระทัย จึงทรงยอมเลิกราไป

กล่าวถึงราชากุสราชนั้น หลังจากทรงเห็นพระพักตร์ของพระชายาแล้วก็ถึงกับทรงเก็บเอาภาพนางไปฝันจนถึงกับเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับทรงอยากจะเห็นพระพักตร์ของนางอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผ่านไปสองวันจึงเสด็จเข้าไปรบเร้าพระมารดาใหม่ และก็เหมือนเคย จอมเทวีมิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้ไปคอยอยู่ที่โรงม้า สักพักพระสัสสุก็ทรงพาพระสุณิสาเสด็จมาที่โรงม้าหลวง พอมาถึงโรงม้าพระมหาสัตว์ก็ทรงแกล้งพระชายาด้วยการเอามูลม้าปาใส่เหมือนคราเสด็จไปที่โรงช้าง เดือดร้อนถึงจอมเทวีต้องทรงทำหน้าที่ปลอบประโลมกันเป็นการใหญ่อีก

อยู่มาวันหนึ่งพระนางประภาวดีก็ทรงอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระสวามีในยามกลางวันบ้าง จึงเสด็จไปเฝ้ามเหสีสีลวดีเพื่อจักทรงขอให้พระนางพาตนไปพบราชากุสราชบ้าง แต่จอมเทวีทรงห้ามว่าอย่าได้ทำผิดจารีตเลย ขอให้อดทนรอไปก่อน ดังนั้นจึงสงบไปได้พักหนึ่ง แต่ผ่านไปสองวันนางก็เสด็จเข้าไปรบเร้าจอมเทวีใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา ในที่สุดมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของพระสุณิสาได้ จึงตรัสว่า “ ดูก่อนลูกแม่ หากเจ้าปรารถนาจักเห็นสามีเจ้าจริงๆ อย่างนั้นพรุ่งนี้เจ้าจงเปิดสีหบัญชรคอยดูก็แล้วกัน ราชากุสราชพระสวามีเจ้าพร้อมเหล่าทหารองครักษ์ จักกระทำประทักษิณพระนครในเช้าวันพรุ่งนี้ ขอจงตั้งตาดูเถิด ”

พระชายาประภาวดีพอทรงสดับก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบเสด็จกลับตำหนักเพื่อจัดเตรียมฉลองพระองค์สำหรับวันพรุ่งนี้ทันที พอพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับ พระมเหสีสีลวดีก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร เช้าพรุ่งนี้ราชากุสราชจะเสด็จเยี่ยมเยี่ยนประชาชน ขอให้ทุกครัวเรือนตกแต่งบ้านเรือนตนให้งดงามเพื่อรอรับเสด็จ จากนั้นก็ตรัสให้นางกำนัลไปแจ้งต่อพระชยัมบดีว่า เช้าพรุ่งนี้ในพิธีเสด็จประทักษิณเลียบพระนคร ให้พระชยัมบดีทรงเครื่องต้นของกษัตริย์แทนพระเชษฐา และให้ประทับที่อาสน์ด้านหน้าช้าง ส่วนราชากุสราชให้ประทับที่อาสน์หลัง

ครั้นถึงรุ่งเช้ายังมิทันที่พระอาทิตย์จะเริ่มฉายแสง พระสัสสุและพระสุณิสาทั้งสองพระองค์ก็ทรงพากันเสด็จไปประทับรออยู่ที่สีหบัญชรตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพื่อรอชมขบวนเสด็จพยุหยาตราทางสถลมารค เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนมาถึงด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง พระมเหสีสีลวดีได้ตรัสให้พระนางประภาวดีทรงทอดพระเนตรดูพระชยัมบดีที่ประทับอยู่ที่อาสน์หน้า “ ดูก่อนลูกแม่ เจ้าจงดูความสง่างามของพระสวามีเจ้าเถิด ” พระนางประภาวดีพอทรงเห็นพระชยัมบดีซึ่งทรงมีพระรูปโฉมงดงามราวเทพบุตรประทับอย่างสง่าอยู่บนอาสน์ด้านหน้าช้าง ก็ทรงสำคัญผิดคิดว่าเป็นราชากุสราชพระสวามี จึงทรงรู้สึกโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงเหลือบไปเห็นทหารที่นั่งอยู่อาสน์หลังซึ่งมีใบหน้าขี้ริ้ว ความสุขเมื่อครู่ก็พลันเหือดหายลงไปจนสิ้น

เนื่องจากทรงจำได้ว่าเจ้าผู้นี้ก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างผู้สามหาวนั่นเอง และยิ่งทรงเห็นเขาโบกไม้โบกมือแสดงอาการยั่วเย้ามาให้ พระนางก็ยิ่งทรงขัดเคืองพระทัยมากยิ่งขึ้นไปอีก จนสุดจักทรงข่มได้ จึงทรงหันไปถามพระสัสสุ “ เสด็จแม่เพคะ! ไฉนควาญช้างที่นั่งด้านหลังเสด็จพี่กุสราช จึงเป็นผู้ดื้อด้านเสียเหลือเกิน มิได้ยำเกรงพระราชอำนาจแห่งกษัตริย์แม้แต่น้อย บังอาจแสดงกิริยาสามหาวในงานพระราชพิธีเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ผู้ใดฤาเป็นคนจัดให้เจ้าผู้ไม่มีสง่าราศีขึ้นไปนั่งด้านหลังพระเจ้าแผ่นดิน? ”

จอมเทวีพอทรงสดับก็ถึงกับทรงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใด แต่เพื่อจะทรงปิดบังฐานะของบุตรรักจึงเสตรัสว่า “ ดูก่อนลูกแม่ ธรรมดาการระวังหลังพระราชานั้นเป็นเรื่องที่มิอาจละเลยได้ เจ้าผู้นี้ถึงจะมีหน้าตาขี้ริ้วก็จริง แต่ฝีมือหาจักมีผู้ใดในแผ่นดินเทียบได้! ” พระสุณิสาครั้นทรงสดับพระสัสสุตรัสปกป้องเจ้าคนชั้นต่ำอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ทรงรู้สึกคลางแคลงพระทัยขึ้นมา “ เหตุไฉนเจ้าตะพุ่นผู้นี้จึงได้รับความเมตตาจากเสด็จแม่เสียเหลือเกิน ขนาดแสดงกิริยาหยาบช้าต่อเราก็ยังไม่ถูกลงโทษ หรือเขาจะเป็นราชากุสราช! ก็พระเจ้ากุสราชพระองค์นี้คงจักมีพระพักตร์ที่แสนน่าเกลียดเสียเป็นแน่ มิฉะนั้นเหตุใดจึงไม่ยอมแสดงพระองค์ให้เราเห็น! ”

พอทรงคิดดังนี้พระธิดาแคว้นมัททะก็ทรงก้มพระพักตร์ลงกระซิบกับนางค่อมที่หมอบข้างๆ “ พี่ค่อมเอ๋ย ขอพี่จงรีบไปดักรออยู่ที่โรงช้างก่อนที่ขบวนเสด็จจักกลับถึงเถิด แหละจงดูว่าระหว่างพระเจ้ากุสราชที่ประทับอยู่อาสน์หน้า กับเจ้าตะพุ่นสามหาวที่นั่งอยู่อาสน์หลัง ผู้ใดลงจากหลังช้างก่อน หากผู้ใดลงก่อนผู้นั้นก็คือราชากุสราช! ” นางค่อมพอรับบัญชาก็ไม่รอช้า รีบลุกปลีกกายไปซุ่มอยู่ข้างโรงช้างทันที

หลังขบวนเสด็จได้วนจนรอบพระนครแล้วก็วกกลับไปยังโรงช้างหลวง พอไปถึงพระชยัมบดีซึ่งประทับอยู่อาสน์หน้าแทนที่จักเสด็จลงจากหลังช้างก่อน ที่ไหนได้เจ้าตะพุ่นขี้ริ้วผู้มีกิริยาสามหาวกลับชิงตัดหน้าลงเป็นคนแรกเสียยังงั้น จากนั้นพระชยัมบดีจึงค่อยเสด็จตามลงมา พระมหาสัตว์เมื่อทรงลงจากหลังช้างแล้วด้วยพระอุปนิสัยที่ทรงเป็นผู้รอบครอบ จึงทรงหันไปทอดพระเนตรรอบๆตามความเคยชิน ทันใดก็ทรงเห็นนางค่อมที่แอบอยู่มองมาพอดี จึงทรงรับสั่งให้ทหารไปพาตัวนางเข้ามา เมื่อทหารพานางถึงจอมราชันได้ตรัสกับนางว่าห้ามนำเรื่องที่เห็นนี้ไปทูลให้พระนางประภาวดีรับทราบเป็นอันขาด มิฉะนั้นศีรษะของนางอาจไม่อยู่บนบ่า นางค่อมด้วยความเกรงพระอาญาจึงรีบรับปากอย่างปากคอสั่น พอกลับถึงตำหนักก็ทูลผู้เป็นนายว่าพระเจ้ากุสราชที่ประทับอยู่อาสน์หน้าเสด็จลงจากหลังช้างก่อน พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ทรงคลายพระกังวล

หลายวันต่อมาพระมหาสัตว์ก็ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระชายาอีก จึงเสด็จเข้าไปรบเร้าพระมารดาเหมือนเคย พระมเหสีสีลวดีย่อมมิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้จอมราชันไปซ่อนตัวอยู่ในสระนิลุบล เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระชายาอันเป็นที่รักไปชมสระบัว พอคล้อยหลังพระมหาสัตว์จอมเทวีก็เสด็จไปยังตำหนักของพระสุณิสาเพื่อจักทรงชวนนางมาชมดอกไม้ในสวนอุทยานด้วยกัน หลังจากทั้งสองพระองค์ทรงเดินดูสิ่งสวยๆงามๆจนทั่วอุทยานหลวงแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ทรงรู้สึกเมื่อยล้าพระวรกายขึ้นมา พระนางสีลวดีจึงตรัสกับลูกสะใภ้ให้ไปนั่งพักเหนื่อยใต้ร่มไม้ริมสระบัวด้วยกัน

เมื่อทั้งคู่เสด็จไปถึงยังมิทันที่จอมเทวีจะทรงทรุดพระองค์ลงประทับ พระนางประภาวดีก็ทรงทอดพระเนตรไปเห็นสระโบกขรณีเข้าก่อน ขณะนั้นมวลโกมุทชาติหลากสีสันต่างถูกแรงลมพัดจึงส่ายก้านเอนไกวไปตามลม บวกกับระลอกน้ำที่พลิ้วเป็นประกายยามต้องแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ เกิดเป็นภาพที่งดงามจับตาจับใจจนยากที่จักละสายตาได้ พระธิดาแคว้นมัททะเมื่อทรงเห็นเข้าความล้าที่มีก็พลันมลายหายไปจนสิ้น ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะสรงน้ำขึ้นมาทันใด จึงตรัสชวนเหล่าพระพี่เลี้ยงให้ลงเล่นน้ำด้วยกัน

ขณะทรงสรงน้ำอย่างสนุกสนานสายพระเนตรก็ทรงเหลือบไปเห็นดอกจงกลนีดอกหนึ่งเข้า ซึ่งมีสีสันสวยงามเกินดอกใด จึงทรงอยากจักเก็บเอามาเชยชม ดังนั้นจึงทรงค่อยๆแวกว่ายเข้าไป พอถึงก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหมายจักเด็ดเจ้าดอกอุบลนี้ เวลานั้นราชากุสราชซึ่งทรงแอบอยู่หลังใบบัวใกล้กับดอกที่เทวีทรงหมายพระเนตร จอมราชันพอทรงเห็นพระชายาเอื้อมพระหัตถ์มาก็ทรงเกิดเผลอพระองค์คิดจักทรงหยอกล้อพระชายาเล่นจึงทรงโผล่พระพักตร์ออกไปคว้าเอาข้อพระหัตถ์ของนางไว้ ไม่เพียงเท่านั้น แถมยังทรงเปล่งพระสุรเสียงออกไปหมายจักทำให้นางตกใจ “ เราคือราชากุสราช! ”

โฉมงามซึ่งกำลังทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปเด็ดดอกโกเมศมิได้ทรงคาดคิดมาก่อนว่าสระหลวงที่มีทหารอารักขาจะมีคนแอบอยู่ พอมีคนโผล่พรวดออกมาจับข้อพระกรไว้ ซ้ำยังตะโกนเสียจนพระกรรณนางอื้อ ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง และยิ่งพอทรงเห็นพระพักตร์คนจับเข้าอีกก็ทรงถึงซึ่งวิสัญญีภาพหมดสติไปทันใด เพราะทรงคิดไปว่าเป็นยักษ์จำแลงกายมาจับพระองค์ เกิดเป็นความโกลาหลจนพระมเหสีสีลวดีต้องทรงให้เหล่าพระพี่เลี้ยงอุ้มนางกลับตำหนักทันที หลังทรงฟื้นพระสติและทรงได้คิดทบทวน องค์เทวีก็ทรงทราบว่าผู้ที่จับนางก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างที่มีใบหน้าขี้ริ้วนั่นเอง เห็นทีเขาคงต้องเป็นราชากุสราชเสียเป็นแน่ มิฉะนั้นจักกล้าทำตามอำเภอใจได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ นางไม่ปรารถนาจะมีพระสวามีที่มีพระพักตร์ที่แสนจะน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ ดังนั้นจึงทรงคิดจักหนีไปจากแคว้นมัลละทันที หลังจากทรงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงตรัสให้เหล่าพระพี่เลี้ยงไปเตรียมรถม้าแลข้าวของให้พร้อม สองยามคืนนี้นางจะหนีไปจากเมืองนี้!

การเตรียมการเพื่อหนีของพระนางประภาวดีหาได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของทหารคนสนิทที่พระเจ้ากุสราชทรงส่งไปอารักขาองค์เทวีไม่ พอเขาเห็นเหล่าพระพี่เลี้ยงจัดเตรียมข้าวของก็ทราบว่าเป็นเรื่องผิดปกติ จึงนำความเข้ากราบทูลให้จอมราชันได้ทรงรับทราบทันที พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับก็ทรงดำริ “ ครั้งนี้หากเราไม่ให้นางกลับแคว้นมัททะ เห็นทีนางคงต้องอกแตกตายเสียเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราควรปล่อยให้นางกลับบ้านเมืองนางไปก่อน จากนั้นค่อยไปพากลับ ทีหลัง วิธีนี้น่าจักดีที่สุด ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสให้ทหารคนสนิทไปสั่งยามเฝ้าประตูวังว่าอย่าได้ขัดขวางขบวนเสด็จของพระชายาเป็นอันขาด ปล่อยให้นางเสด็จไป สองยามคืนนั้นขบวนเสด็จพระนางประภาวดีจึงออกจากกรุงกุสาวดีไปได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีอุปสรรคใด!

เหตุอันใดจึงทำให้พระนางประภาวดีมิได้ทรงรักใคร่ในพระเจ้ากุสราช ทั้งๆที่ทรงเป็นพระชายา ทั้งนี้ก็เพราะชาติที่ผ่านมานางเคยตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ ฉะนั้นมาชาตินี้กรรมจึงให้ผล ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือกัน ที่ทรงเกิดมามีพระพักตร์ไม่งดงามก็เพราะอำนาจแห่งวิบาก(การให้ผลของกรรม)ที่เคยทรงทำไว้ให้ผลเช่นกัน หากจะเท้าความ เรื่องก็มีอยู่ว่า

ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตอันเนิ่นนานยังมีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองพาราณสีสักเท่าไหร่หมู่บ้านนี้มีตระกูลอยู่สองตระกูลที่รักใคร่สนิทสนมกัน ตระกูลหนึ่งมีบุตรชาย ๒ คน อีกตระกูลหนึ่งมีบุตรสาว ๑ คน พระโพธิสัตว์ในชาตินั้นทรงถือกำเนิดเกิดเป็นคนน้องของตระกูลที่มีบุตรชาย สองตระกูลนี้ต่างไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ วันหนึ่งเมื่อถึงวัยที่บุตรของทั้งสองตระกูลจักต้องมีคู่ ตระกูลฝ่ายชายจึงไปขอบุตรสาวของอีกฝ่ายให้มาเป็นภรรยาลูกชายคนโต ซึ่งฝ่ายหญิงก็มิได้ปฏิเสธอันใด

หลังแต่งมาอยู่บ้านฝ่ายชาย ผู้เป็นสะใภ้ก็ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสม มิได้มีความขี้เกียจขี้คร้านแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งลูกสะใภ้ได้ทำขนมที่มีรสชาติอร่อยให้กับครอบครัวสามีรับประทาน ซึ่งขณะนั้นพระโพธิสัตว์ไม่อยู่บ้าน เขาออกไปหาของป่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พี่สะใภ้เมื่อเห็นน้องสามีไม่อยู่จึงแบ่งขนมส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้เขา ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายกันบริโภคในครัวเรือนจนสิ้น บังเอิญสายวันนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งท่านบิณฑบาตผ่านมาพอดี พี่สะใภ้พอเห็นก็เกิดศรัทธา จึงนำขนมส่วนของน้องสามีถวายให้ท่านไป ในใจคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้เขาใหม่ก็แล้วกัน

พอพระคุณเจ้าจากไปนางก็เดินถือภาชนะที่ใส่ขนมเตรียมจักนำไปล้าง แต่ช่างประจวบนัก เวลานั้นพระมหาสัตว์กลับมาจากป่าพอดี เลยทันเห็นหลังพระคุณเจ้าอยู่ไวๆ ดังนั้นเขาจึงถามพี่สะใภ้ว่ามีใครมาบ้านรึ พี่สะใภ้บอกว่าไม่มีใครมาดอก เป็นสมณะรูปหนึ่งบิณฑบาตผ่านมา นางเห็นท่านมีกิริยาน่าเลื่อมใส จึงนำขนมส่วนของเขาถวายให้ไป ขอเขาจงทำใจให้ผ่องใสเถิด เดี๋ยวนางจะรีบทำให้ใหม่ แต่เวลานั้นพระมหาสัตว์กำลังถูกความหิวเข้าครอบงำ จึงไม่ฟังอีร้าค่าอีรม หันหลังได้ก็วิ่งตามพระคุณเจ้าไปทันใด ฝ่ายพี่สะใภ้เมื่อเห็นน้องสามีพรวดพราดออกไปก็รู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงรีบออกจากเรือนสามีกลับไปยังเรือนตน

พอถึงก็ไปตักเอาก้อนมันเนยที่มารดานางเพิ่งจักทำเสร็จใหม่ๆมีสีประดุจดอกจำปาใส่ลงในภาชนะที่เตรียมจักนำไปล้างนั่นเอง จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งตามน้องสามีไปทันใด จนทันกัน เมื่อไปถึงนางเห็นเขาถือห่อขนมที่นางเพิ่งจะถวายพระคุณเจ้าไปอยู่ในมือ ส่วนพระเถระท่านก็กำลังหันหลังเตรียมจะจากไป ดังนั้นนางจึงร้องบอกให้ท่านหยุดก่อน จากนั้นก็เข้าไปเอาก้อนมันเนยที่ตักมาจากเรือนมารดาใส่ลงในบาตรท่าน ก้อนมันเนยพออยู่ในบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า บัดนั้นมันก็เปล่งรัศมีเหลืองอร่ามแผ่ออกไปโดยรอบจนเป็นที่อัศจรรย์ พี่สะใภ้พอเห็นก็ให้ปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบคุกเข่าพนมมืออธิษฐาน

หากแม้นชาติหน้าฉันใดนางตายจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ขอให้นางจงมีร่างกายที่ผ่องใสงดงาม มีรัศมีเรืองรองตระการ เกินกว่าหญิงใดในหล้าจักเทียบได้ แหละขอให้นางอย่าได้อยู่ร่วมกับคนที่เป็นอสัตบุรุษเยี่ยงน้องสามีผู้นี้ในที่แห่งเดียวกันเลย! ฝ่ายพระโพธิสัตว์ซึ่งยังมิได้จากไปไหนพอได้ยินพี่สะใภ้อธิษฐานเยี่ยงนั้นเขาก็ให้นึกโกรธนางขึ้นมา จึงนำขนมที่หยิบออกมาเมื่อครู่ใส่กลับไปในบาตรพระคุณเจ้าใหม่ พร้อมกันนั้นก็เปล่งวาจาอธิษฐานบ้างว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้า ไม่ว่าพี่สะใภ้ของข้าพเจ้านางนี้จะไปเกิดในภพภูมิใด ใกล้ไกลเพียงไหน ก็ขอให้ข้าพเจ้าพึงมีความสามารถไปนำนางมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้ด้วยเถิด! ”

แลด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมที่ทั้งคู่ได้ทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้า มาชาตินี้พระนางประภาวดีจึงทรงมีพระวรกายที่เปล่งปลั่งงดงามเกินกว่าหญิงใดในแผ่นดินจักเทียบได้ ส่วนพระมหาสัตว์เนื่องจากทรงทำกุศลในขณะที่จิตมีโทสะ ดังนั้นพอมาชาตินี้พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่มีรูปโฉมขี้ริ้วไม่งดงาม ทั้งนี้ก็เพราะกรรมเก่าในอดีตชาติให้ผลนั่นเอง!

ย้อนมาเข้าเรื่อง หลังขบวนเสด็จพระนางประภาวดีออกจากเมืองกุสาวดีแล้ว ก็มุ่งตรงสู่แคว้นมัททะโดยมิได้แวะพักที่ใด จนล่วงครึ่งเดือนจึงถึงกรุงสาคละ ฝ่ายราชากุสราชหลังจากพระชายาเสด็จไปพระองค์ก็ทรงโศกเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แม้เหล่านางรำจะบำรุงบำเรอด้วยวิธีต่างๆนานาก็หาทำให้ทรงคลายจากความคิดถึงชายาได้ จนรุ่งสางวันหนึ่งเมื่อความอดทนได้ถึงที่สุด จอมราชาจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อทูลขอพระราชอนุญาตออกตามพระชายากลับคืนยังกรุงกุสาวดี มเหสีสีลวดีทรงเข้าพระทัยถึงความรู้สึกบุตรชาย จึงตรัสเตือนสติ “ ลูกเอ๋ย! หากเจ้าปรารถนาเยี่ยงนั้นแม่ก็มิขัดดอก แต่จงจำไว้ขึ้นชื่อมาตุคามย่อมเป็นผู้มีใจไม่บริสุทธิ์ ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจักทำการใดหากเกี่ยวด้วยสตรีขอจงพิจารณาให้รอบครอบก่อน ขอลูกแม่จงเป็นผู้ไม่ประมาท เถิด ” หลังตรัสเตือนสติองค์เทวีก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลนำไปจัดเตรียมของบริโภคเลิศรสชนิดต่างๆใส่ในโหลทองคำเพื่อให้บุตรชายนำไปบริโภคระหว่างทาง ราชากุสราชครั้นทรงรับของเสวยจากพระมารดาก็ทรงกระทำประทักษิณ ๓ รอบเพื่อแสดงถึงความเคารพที่ทรงมีให้ต่อจอมเทวี จากนั้นจึงเสด็จกลับตำหนักเพื่อทรงจัดเตรียมข้าวของ

พระองค์ทรงนำพระแสงเบญจาวุธห้าชนิดเหน็บไว้ที่พระกฤษฎี (สะเอว) จากนั้นก็ทรงหยิบกหาปณะหนึ่งพันใส่ย่าม และที่มิอาจลืมได้นั่นก็คือพิณโกกนุท ทรงยกถุงพิณโกกนุทขึ้นสะพายบนพระอังสา (ไหล่) เสร็จแล้วจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็มิได้ทรงรั้งรอแต่อย่างใด ทรงย่างพระบาทเสด็จออกจากกรุงกุสาวดีมุ่งตรงสู่แคว้น มัททะทันที เนื่องจากทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลมาตั้งแต่ประสูติ ดังนั้นเพียงชั่วเวลาจากเช้าถึงเที่ยงพระองค์ก็ทรงเดินทางได้ถึง ๕๐ โยชน์ แหละพอเสวยพระกระยาหารมื้อกลางวันเสร็จก็เสด็จต่อได้อีก ๕๐ โยชน์ ฉะนั้นเวลาเพียงหนึ่งวันพระองค์ก็ทรงเดินทางมาถึงชายแดนแคว้นมัททะได้อย่างเป็นที่อัศจรรย์!

เมื่อทรงมาถึงเขตแดนแคว้นมัททะขณะนั้นก็เย็นมากแล้ว ดังนั้นจอมราชันจึงทรงสรงน้ำในลำธารข้างทางเพื่อชำระพระวรกายให้สดชื่น จากนั้นจึงเสด็จเข้าเมือง แลด้วยเดชะแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า ทันทีที่ราชากุสราชทรงเหยียบแผ่นดินกรุงสาคละพระนางประภาวดีที่กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมอย่างเป็นสุข บัดนั้นก็ทรงรู้สึกร้อนรุ่มพระวรกายขึ้นมาโดยมิทราบสาเหตุ จนมิอาจทรงฝืนบรรทมต่อไปได้ จำต้องเสด็จมานอนอยู่ที่พื้นแทน!

พระมหาสัตว์เมื่อทรงเข้าเมืองแล้วก็ทรงย่างพระบาทไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย ขณะเสด็จพระราชดำเนินสายพระเนตรก็ทรงมองดูสภาพบ้านเมืองกรุงสาคคะยามค่ำไปในตัว เวลานั้นมีหญิงชาวบ้านนางหนึ่งออกมานั่งรับลมอยู่หน้าบ้าน นางพอเห็นจอมราชาซึ่งเป็นคนต่างถิ่นเดินบนถนนยามนี้ จึงเรียกพระองค์ให้ทรงมาพักที่บ้านนางก่อน พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับจึงเสด็จเข้าไป เมื่อทรงไปถึงแลได้สบตากับนางก็ทรงรู้ว่าหญิงนางนี้เป็นผู้มีใจอารี หาได้มีจิตใจคิดร้ายแต่อย่างใด จึงทรงแสดงการคราวะนาง หญิงชาวบ้านพอเห็นกิริยาท่าทางของจอมกษัตริย์แตกต่างจากคนทั่วไป จึงรีบไปตักน้ำมาให้พระองค์ทรงใช้ล้างพระบาท จากนั้นก็เข้าเรือนไปจัดที่บรรทมถวาย

จอมราชันหลังจากทรงเร่งเดินทางมาอย่างแทบจักเรียกได้ว่ามิได้ทรงหายใจหายคอ พอทรงล้มพระวรกายลงบนที่นอนที่หญิงชาวบ้านจัดให้ ก็ทรงหลับใหลไปทันที ด้านหญิงมีน้ำใจพอเห็นพระ องค์ทรงหลับก็เข้าครัวไปสำรวจอาหารที่จักทำถวายในเพลาเช้า รุ่งขึ้นพอพระมหาสัตว์ทรงตื่นแลได้เสวยพระกายาหารที่หญิงชาวบ้านจัดให้ ก็ทรงรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของนางเป็นอย่างยิ่งจึงทรงพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะให้ไป ไม่เพียงเท่านั้น แถมยังทรงมอบโหลทองคำที่พระมารดาทรงใช้ใส่ของเสวยระหว่างทางให้ไปอีก จากนั้นก็ทรงฝากพระแสงเบญจาวุธไว้กับนาง แล้วพระองค์ก็ทรงหยิบถุงพิณโกกนุทขึ้นสะพายบนพระอังสาเสด็จจากไป

เมื่อทรงออกจากเรือนของหญิงชาวบ้านราชาพลัดถิ่นก็ทรงถามผู้คนถึงที่ตั้งของโรงช้างหลวง ว่าอยู่ ณ ที่ใด จากนั้นก็เสด็จไปยังสถานที่นั้นทันที พอไปถึงก็ตรัสกับหัวหน้าโรงช้างว่าพระองค์จักทรงขอพักอยู่ที่นี่สักเวลาหนึ่ง แต่จะไม่ทรงอยู่เฉยๆ จะทรงช่วยเขาทำงานโดยไม่คิดค่าแรง นอกจากนั้นยังจักทำการขับร้องให้พวกเขาได้รื่นเริงบันเทิงใจเป็นการตอบแทนอีก หัวหน้าโรงช้างพอฟังว่าไม่ต้องจ่ายค่าจ้างจึงอนุญาตให้พักได้ ค่ำวันนั้นหลังจากเสร็จงานพระมหาสัตว์ก็ทรงหยิบพิณโกกนุทขึ้นมาพร้อมกับคำนึงในพระทัย “ ชาวสาคละเอ๋ย ขอพวกท่านจงดื่มด่ำกับเสียงพิณเถิด ” จากนั้นก็ทรงดีดพิณแลทรงขับร้องคลอไปด้วย ขณะนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังบรรทมอยู่ที่พื้นข้างๆพระแท่นบรรทม พอทรงสดับเสียงพิณของจอมราชันพระนางก็ทรงทราบทันทีว่าบัดนี้พระเจ้ากุสราชได้เสด็จตามนางมาถึงกรุงสาคละแล้ว!

เสียงพิณผสานเสียงร้องที่พระโพธิสัตว์เจ้าทรงร้องนั้น ได้กังวานแผ่ไปทั่วนครสาคละ จนพระเจ้ามัททราชที่กำลังบรรทมอยู่พอทรงสดับก็ถึงกับทรงรำพึงรำพันขึ้น “ ใครหนอช่างร้องเพลงได้ไพเราะนัก อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้เราควรให้มหาดเล็กไปตามคนผู้นี้มาขับร้องให้เราฟัง ท่าจักดี ” จอมราชาหลังจากทรงขับร้องได้สักพักก็ทรงหยุด ด้วยทรงเกิดความคิดว่าการที่พระองค์ทรงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้คงยากจักมีโอกาสได้พบพระชายา หากยังทรงฝืนอยู่ต่อก็คงมิเกิดประโยชน์อันใด รังแต่จักเสียเวลาไปเปล่าๆ ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นจึงเสด็จออกจากโรงช้างกลับไปยังเรือนของหญิงชาวบ้านเสวยพระกระยาหารเช้า พอเสวยเสร็จก็ทรงฝากพิณโกกนุทไว้กับนาง แล้วพระองค์ก็เสด็จไปยังโรงปั้นหม้อหลวงเป็นลำดับต่อไป

เมื่อทรงไปถึงพอช่างปั้นหม้อได้เห็นพระวรกายอันสูงใหญ่กำยำของพระองค์ก็รับเข้าทำงานทันที โดยวันแรกก็ประเดิมให้ทรงไปขนดินสำหรับปั้นภาชนะมาเก็บไว้ที่โรงปั้นเลย พอสั่งเสร็จเขาก็เดินออกไปอ้างว่ามีธุระจักต้องทำ เย็นวันนั้นพอช่างปั้นหม้อกลับมาถึงโรงปั้นแลได้เห็นกองดินที่พระมหาสัตว์ทรงขนมากองไว้ ก็ถึงกับปากอ้าตาค้างจนพูดไม่ออก ด้วยคิดไม่ถึงว่ามันจักมีขนาดใหญ่โตราวกับภูเขาเลากาถึงเพียงนี้ กองดินเบื้องหน้าหากให้คนทั่วไปขนกัน ก็ต้องใช้เป็นจำนวนอย่างน้อย ๑๐ ถึง ๒๐ คนถึงจักได้กองใหญ่ปานนี้ แต่นี่เกิดจากแรงงานของคนเพียงคนเดียว มันช่างอัศจรรย์จริงๆ!

หลังมีดินสำหรับปั้นหม้ออยู่ได้นานนับปี รุ่งขึ้นราชากุสราชได้ตรัสกับช่างปั้นหม้อว่าพระองค์อยากจักทรงแสดงฝีมือปั้นให้เขาดูเพื่อเขาจะได้ชี้แนะ ช่างปั้นหม้อพอฟังก็ไม่ขัดข้อง ดังนั้นจอมราชันจึงทรงลงมือปั้นทันที พระองค์ทรงปั้นภาชนะต่างๆขึ้นมามากมายหลายชนิด เล็กบ้างใหญ่บ้าง พอทรงปั้นเสร็จก็ทรงวาดลวดลายลงบนภาชนะเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อพระนางประภาวดี เมื่อทรงวาดเสร็จก็ทรงอธิษฐานจิตให้มีแต่พระนางประภาวดีผู้เดียวที่มองเห็นลวดลายนี้ จากนั้นก็ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปผึ่งแดดก่อนจักทรงนำเข้าเตาเผา เมื่อเผาเสร็จพระองค์ได้ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปให้นายช่างดู

ช่างปั้นหม้อพอเห็นภาชนะดินเผาของพระมหาสัตว์ก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก ด้วยตั้งแต่เขาทำงานด้านนี้มา ยังไม่เคยเห็นภาชนะใดจักมีความงดงามเท่านี้มาก่อนดังนั้นรุ่งขึ้นยังมิทันที่พระอาทิตย์จักโผล่พ้นขอบฟ้าเขาก็รีบขนเอาถ้วยโถโอชามที่พระมหาสัตว์ทรงปั้นขึ้นเกวียนขับไปให้พระเจ้ามัททราชทรงทอดพระเนตรดู ราชามัททะครั้นทรงทอดพระเนตรเครื่องปั้นดินเผาที่หมดจดงดงามอย่างที่ไม่เคยทรงเห็นจากไหนมาก่อนก็ทรงรู้สึกอัศจรรย์ ไม่แพ้กัน จึงตรัสถามช่างปั้นหม้อ

“ นี่ท่านนายช่าง ภาชนะเหล่านี้ใครเป็นคนปั้นฤา? ไฉนจึงงามปานนี้ ” ช่างปั้นหม้อคิดจะเอาความดีเข้าตน จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะ! ข้าพระบาทเป็นผู้ปั้นเองพระเจ้าข้า ” สมเด็จพระราชาธิบดีพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าช่างปั้นหม้อผู้นี้กล่าวความเท็จ จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนคนปั้นหม้อ! ภาชนะที่เจ้าปั้นมีหรือเราจะจำฝีมือไม่ได้ จงตอบเรามาตามสัตย์ ว่าเป็นฝีมือใคร? ”

ช่างปั้นหม้อพอฟังก็ถึงกับเหงื่อกาฬตก รีบก้มลงกราบแทบเบื้องพระบาท พร้อมกันนั้นก็ตะกุกตะกักตอบจอมราชาไปอย่างปากคอสั่นว่า “ ขอ เดชะ พระ อาญามิพ้นเกล้า ภาชนะเหล่านี้ ลูกศิษย์คนใหม่ ของข้าพระบาท เป็นคนปั้นขึ้น พระเจ้าข้า! ” จอมกษัตริย์เมื่อทรงสดับจึงตรัส “ ฝีมือเยี่ยงนี้เขาไม่น่าจักเป็นลูกศิษย์เจ้า เจ้านั่นแหละควรจะเป็นลูกศิษย์เขา ไป! จงกลับไปบอกให้เขาปั้นภาชนะต่างๆเพิ่มขึ้นอีก เราจักนำไปให้ลูกเราทั้งแปดเก็บไว้เชยชม แลนี่! ทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ! จงนำไปมอบให้เขา แลจงบอกเขาด้วยนี่เป็นรางวัลที่เราประทานให้ ส่วนถ้วยโถโอชามเหล่านี้เจ้าจงนำไปมอบให้กับธิดาของเราทุกนาง ไป! ไสหัวไปได้ ” ช่างปั้นเมื่อเห็นจอมกษัตริย์มิได้ทรงติดพระทัยเอาความเรื่องที่ตนโกหกก็ให้โล่งใจเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากอก รีบนำภาชนะของพระมหาสัตว์ไปยังตำหนักพระธิดาทั้งแปดทันที!

กล่าวถึงพระนางประภาวดี ตั้งแต่ทรงทราบว่าราชากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละแล้วพระนางก็ทรงวิตกกังวลไม่เป็นอันกินอันนอน พอทรงเห็นช่างปั้นหม้อนำภาชนะดินเผามาถวายก็ให้ทรงดีพระทัย ทรงหยิบภาชนะเหล่านั้นขึ้นมาหวังจักเชยชมเล่น แต่พอทรงเห็นลวดลายบนภาชนะเท่านั้น ความดีพระทัยเมื่อครู่ก็พลันหายไปจนสิ้น ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังทรงเกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก ทรงถามช่างปั้นหม้อทันทีว่าผู้ใดเป็นคนปั้นภาชนะเหล่านี้ ช่างปั้นหม้อซึ่งเพิ่งจักได้บทเรียนจากองค์เหนือหัวมาหมาดๆ พอฟังจึงมิกล้าแอบอ้างอีก รีบทูลว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ตน พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จึงทรงขว้างภาชนะที่ทรงถืออยู่ลงบนพื้นจนแตกกระจาย พร้อมกันนั้นก็ตรัสกับนายช่างด้วยพระสุรเสียงอันดังว่าพระนางไม่ทรงต้องการของเหล่านี้ ขอเขาจงนำไปให้กับผู้ที่ปรารถนาเถิด

เหล่าพระภคินีทั้งเจ็ดพอทรงสดับเสียงภาชนะแตกแลเสียงเอะอะโวยวาย ต่างก็พากันประหลาดใจจึงพากันเสด็จออกจากตำหนักตนมายังตำหนักพระพี่นาง พอทรงมาเห็นเศษกระเบื้องแตกอยู่เกลื่อนพื้น ก็ทรงแย้มยิ้มให้กัน พระขนิษฐานางหนึ่งทรงคิดจักปลอบพระทัยพระพี่นางจึงตรัส “ โถ.. เสด็จพี่ประภาวดีเพคะ ไฉนจึงทรงขว้างปาภาชนะเหล่านี้เล่า? หรือทรงเข้าพระทัยว่าถ้วยโถโอชามเหล่านี้พระสวามีกุสราชทรงปั้นขึ้น? ขออย่าทรงหวาดระแวงไปเลยเพคะ ภาชนะเหล่านี้ท่านนายช่างเป็นผู้ปั้นขึ้นต่างหาก ขอพระพี่นางโปรดทรงรับไว้เถิด ” องค์เทวีมิทรงต้องการให้บรรดาพระภคินีรู้เรื่องจึงทรงนิ่งเฉยเสีย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ พอช่างปั้นหม้อกลับมาพร้อมกับยื่นกหาปณะหนึ่งพันให้ แถมยังบอกว่าราชามัททะมีรับสั่งให้พระองค์ทรงทำภาชนะเพิ่มขึ้นอีก ก็ทรงดำริ “ ถึงเราอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าพระชายาเช่นกัน อย่ากระนั้นเลย ควรไปยังที่อื่นดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับช่างปั้นหม้อให้เขาเก็บเงินนี้ไว้เถิด พระองค์นั้นทรงมีความปรารถนาอยากจักเรียนรู้ศิลปะแขนงใหม่ ดังนั้นจึงทรงลาเขาเสด็จออกจากโรงปั้นไปยังสำนักช่างสานหลวงเป็นลำดับต่อไป

ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงมาฝึกงานอยู่ที่โรงสานหลวงก็ทรงมีหน้าที่ช่วยช่างสานวาดลวดลายลงบนพัดใบตาล พระองค์ทรงวาดรูปต่างๆมากมายหลายอย่าง เช่นรูปเศวตฉัตร รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงเสวย รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงยืนเลือกผ้าเป็นต้น ช่างสานพอเห็นฝีพระหัตถ์ก็ถึงกับอัศจรรย์ใจ รีบนำพัดที่พระมหาสัตว์ทรงวาดไปให้ราชามัททะทรงทอดพระเนตรทันที พระเจ้ามัททราชพอทรงเห็นผลงานอันหมดจดงดงามก็ทรงอัศจรรย์พระทัยไม่แพ้กันจึงตรัสถามนายช่างว่าผู้ใดเป็นคนวาดพัดเหล่านี้ ช่างสานพอฟังก็คิดจะเอาดีเข้าตัวเหมือนช่างปั้นหม้อจึงตอบว่าตนเป็นคนวาด ซึ่งราชามัททะก็หาได้ทรงเชื่อไม่ จึงทรงคาดคั้นจนได้ความจริง เหตุการณ์ลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นกับช่างร้อยมาลัยอีก ดังนั้นราชาพเนจรผู้ทรงตามหารักแท้ จึงต้องทรงย้ายที่อยู่เรื่อยไป จนสุดท้ายทรงมาสมัครเป็นลูกมือของสำนักห้องเครื่องต้นหลวง (ห้องครัว)

วันหนึ่งหลังจากเจ้าพนักงานเครื่องต้นปรุงอาหารเสร็จ เขาก็นำอาหารใส่กระเช้าเตรียมจะหาบไปให้พระราชาแลเหล่าพระราชธิดาเสวย ก่อนไปเขาได้ให้เนื้อติดกระดูกมีมันปนชิ้นหนึ่งแก่ลูกมือคนใหม่พร้อมกับบอกให้ไปย่างกินเอง จากนั้นเขาก็หาบกระเช้าเข้าวังไป ด้านลูกมือคนใหม่ซึ่งก็คือพระมหาสัตว์เมื่อทรงได้เนื้อติดกระดูกมาก็ทรงนำขึ้นย่างบนเตาทันที เนื้อย่างพอถูกเปลวไฟไขมันที่เห็นแข็งอยู่ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำมันหยดลงบนถ่านเพลิงเสียงดังฉี่ ๆ ๆ ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วพระราชวังอีก ราชามัททะขณะกำลังจักทรงเปิดฝาครอบพระกายาหารที่พนักงานเครื่องต้นนำถวาย พอทรงได้กลิ่นเนื้อย่างก็ถึงกับทรงกลืนพระเขฬะ (น้ำลาย) เสียงดังเอื๊อก! รีบตรัสถามพนักงานเครื่องต้น “ นี่ท่านพ่อครัว ท่านกำลังย่างอะไรอยู่รึไฉนจึงหอมเพียงนี้? ”

พนักงานเครื่องต้นพอฟังก็ประหลาดใจ แต่พอได้กลิ่นเนื้อย่างลอยเข้าจมูกก็รู้ทันทีว่าองค์เหนือหัวทรงหมายถึงเรื่องใด จึงทูลว่า “ หามิได้พระเจ้าข้า ข้าพระบาทมิได้ย่างอันใด กลิ่นที่หอมอยู่นี้เห็นทีคงจักเป็นเนื้อติดกระดูกที่ข้าพระบาทให้ลูกมือคนใหม่ย่างบริโภคกินเองพระเจ้าข้า ” ราชามัททะพอทรงสดับก็รับสั่งให้เขารีบไปนำเนื้อชิ้นนั้นมาให้พระองค์ทรงลองชิมดู พนักงาน เครื่องต้นพอรับบัญชาจึงวิ่งไปยังห้องครัวทันที พอถึงก็ฉวยเอาเนื้อย่างบนเตาที่พระมหาสัตว์กำลังทรงย่างอยู่ไปทันใด โดยมิได้บอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น พอได้เนื้อแล้วก็หันหลังห้อแน่บกลับมายื่นให้องค์เหนือหัว ราชามัททะพอทรงรับชิ้นเนื้อจากพ่อครัวได้ก็ทรงค่อยๆยกขึ้นแตะที่พระชิวหา พอพระชิวหาสัมผัสกับความหอมมันของเนื้อเท่านั้น บัดนั้นรสชาติอันแสนเอร็ดอร่อยก็แผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย จนถึงกับทำให้พระองค์มิอาจที่จักทรงหยุดเสวยได้ กระทั่งเหลือแต่กระดูกขาวโพลนนั่นแลจึงทรงยอมวางลง

หลังเสวยเนื้อย่างที่มีรสชาติอร่อยที่สุดในชีวิตสมเด็จพระราชาธิบดีก็ตรัสให้มหาดเล็กนำทรัพย์มาหนึ่งพันกหาปณะฝากไปกับพนักงานเครื่องต้น ให้นำไปมอบให้กับลูกมือ คนใหม่ จากนั้นก็ตรัสกับพนักงานเครื่องต้น ว่านับแต่นี้ไปเขาไม่ต้องปรุงพระกายาหารให้พระองค์เสวยอีก แต่ให้เจ้าลูกมือคนใหม่เป็นคนทำแทน เมื่อกลับถึงห้องเครื่องต้น พนักงานเครื่องต้นจึงแจ้งพระดำรัสราชามัททะให้พระมหาสัตว์ทรงทราบ พร้อมกับยื่นทรัพย์ ๑ พันกหาปณะให้ ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงสดับก็ให้ทรงลิงโลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรู้ว่าบัดนี้ความปรารถนาของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว อีกไม่นานพระองค์จักทรงเห็นหน้าพระนางประภาวดีแล้ว ดังนั้นจึงทรงยกทรัพย์ทั้งหมดให้พนักงานเครื่องต้นไป

รุ่งขึ้นหลังทรงได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว พระมหาสัตว์ก็ทรงตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อทรงลุกขึ้นมาปรุงพระกายาหารให้กับราชามัททะแลพระธิดาทั้งแปด พอทำเสร็จก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปส่งตามตำหนักต่างๆ เริ่มจากตำหนักขององค์ราชาก่อน จากนั้นจึงเสด็จไปยังตำหนักของพระนางประภาวดีแลพระธิดาทั้งเจ็ด

ขณะกำลังทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยมายังตำหนักพระนางประภาวดีเวลานั้นองค์เทวีทรงยืนรับลมอยู่หน้าห้องพอดี จึงทรงมองเห็นจอมราชันเข้าก่อน พอทรงเห็นพระเจ้ากุสราชทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้น องค์เทวีก็ทรงดำริ “ ราชากุสราชผู้นี้เหตุใดจึงแสร้งมาทำงานเยี่ยงทาสกรรมกร ไฉนจึงมิได้คำนึงถึงเกียรติแลศักดิ์ศรีเลย หากเราทำนิ่งเฉยเธอก็จักสำคัญว่าเราปรารถนาในตัวเธอ แลก็คงไม่ไปไหน คงจักเฝ้ามองเราอยู่แต่ในที่นี้อย่างเดียว อย่ากระนั้นเลย ควรที่เราจักต้องขับไล่ไปพระองค์ไปเสีย อย่าให้ทรงได้อยู่แม้ชั่วครู่ชั่วยาม! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงรีบเสด็จเข้าห้องพร้อมกับทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับบานทวารไว้ รอจนพระมหาสัตว์เสด็จมาถึงจึงทรงชะโงกพระพักตร์ออกไปตรัสกับพระสวามีซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานเครื่องต้น

“ ดูก่อนราชากุสราช พระองค์ทรงหาบกระเช้ามาด้วยพระทัยไม่ซื่อตรง คงต้องเสวยทุกข์ทั้งกลางวันแลกลางคืนเป็นแน่ ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับกรุงกุสาวดีไปเถิด หม่อมฉันไม่ปรารถนาเห็นพระองค์ผู้มีผิวพรรณต่ำทรามอยู่ในพระราชวังหม่อมฉัน! ” พระโพธิสัตว์เมื่อทรงสดับวาจาเสียดสีของพระชายาก็หาได้ทรงโกรธไม่ ซ้ำยังกลับทรงดีพระทัยไปเสียยังงั้น ด้วยทรงดำริว่าองค์เทวีทรงกล่าววาจาด้วย จึงตรัสไปว่า “ ประภาวดีเอ๋ย! พี่หลงใหลในเจ้าจึงยอมจากกรุงกุสาวดีมา เพื่อจักได้เห็นเจ้าพี่จึงยอมทิ้งบ้านทิ้งเมืองหวังจักได้อภิรมย์เคียงคู่เจ้าในพระราชนิเวศน์แห่งนี้ ดูก่อนแม่ยอดดวงใจ พี่หลงเจ้าเสียจนไม่รู้ว่าพี่นั้นมาจากทิศไหน แลจักไปต่อยังทิศไหน พี่ลุ่มหลงในดวงเนตรอันแจ่มจรัสดุจตามฤค (กวาง) ของเจ้าผู้ทรงภูษาทอง แลห้อยสังวาลทอง โปรดเถิดเจ้าผู้มีเรือนกายอันงดงาม พี่ไม่ปรารถนาราชสมบัติใดๆเลยนอกจากเจ้าเท่านั้น! ”

โฉมงามแห่งแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพูดเกี้ยวพาราสีของจอมราชันก็ทรงดำริ “ ขนาดเรากล่าววาจาขับไล่หวังจักให้ท้าวเธอเจ็บแสบ แต่จอมกษัตริย์พระองค์นี้กลับยังมาพูดจาเกี้ยวพาราสีเราได้ ช่างเป็นผู้ที่ดื้อด้านเสียจริง! หากท้าวเธอจักอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพระสวามีแล้วเข้ามาจับมือถือแขนเรา ใครเล่าจะห้ามเธอได้? แลหากมีใครผ่านมาแล้วได้ยินคำโต้ตอบของเราเล่า เห็นทีความลับที่พระเจ้ากุสราชเสด็จมายังกรุงสาคละก็คงจักต้องรับรู้ถึงพระกรรณของเสด็จพ่อเป็นแน่! ” พอทรงดำริดังนี้เทวีแห่งแคว้นมัททะก็ทรงรู้สึกประหวั่นพระทัยทันที จึงทรงปิดบานทวารดังโครมใส่พระพักตร์พระเจ้ากุสราช พร้อมกันนั้นก็ทรงลั่นดาลประตูอย่างแน่นหนา

ฝ่ายราชาตกอับเมื่อทรงเห็นพระชายาปิดบานทวารใส่ก็ทรงยิ้มอยู่ในสีพระพักตร์ ทรงยกถาดเครื่องเสวยขององค์เทวีวางไว้ที่หน้าห้องนาง จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าไปยังห้องพระธิดาองค์อื่นต่อ พอคล้อยหลังพระมหาสัตว์ไปไม่ถึงอึดใจองค์เทวีก็ตรัสให้พี่เลี้ยงค่อมไปนำพระกายาหารหน้าห้องเข้ามา แล้วก็ทรงยกอาหารเหล่านั้นให้นางค่อมไป ส่วนตนเองกลับตรัสให้นางค่อมเอาอาหารของนางมาให้พระองค์เสวย ซ้ำยังทรงกำชับห้ามนางบอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด นับแต่นั้นนางค่อมผู้โชคดีก็เลยได้ลาภปากเป็นเครื่องเสวยอันโอชะอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ส่วนอาหารชั้นเลวของตนก็น้อมถวายให้พระนางประภาวดีเสวยไป!

ที่มา : .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ..

12,241






จีรัง กรุ๊ป    

 ธรรมะไทย