face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๓.
ความวิบัติแห่งสีลสามัญญตา
พ.ศ. ๑๐๐ หรือพุทธปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุเมืองเวสาลี
(สันสกฤตเรียกว่า ไวศาลี หรือ ไพศาลี Vishali)
ได้แตกเป็น ๒ ฝ่าย ด้วยความเห็นขัดแย้งกันในวัตถุ
๑๐ ประการ และเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
วัตถุ ๑๐ ประการนี้ พระพุทธองค์เคยห้ามไว้ แต่พระวัชชีบุตรกล่าวว่าสมควรทำได้
วัตถุ ๑๐ ประการเหล่านี้คือ
๑. สิงคโลณกัปปะ
พระภิกษุสั่งสมเกลือในกลักเขาเป็นต้น แล้วนำไปผสมอาหารอื่น
ฉันได้ไม่เป็นอาบัติ ซึ่งผิดพุทธบัญญัติว่า
ภิกษุสั่งสมของเคี้ยวของฉัน เป็นอาบัติปาจิตตีย์
๒. ทวังคุลกัปปะ
ภิกษุฉันอาหารเวลาตะวันบ่ายล่วงไปแล้ว ๒ องคุลีได้ไม่เป็นอาบัติ
ซึ่งขัดกับพระบัญญัติที่ห้ามภิกษุฉันอาหารในยามวิกาล
ถ้าฉันเป็นอาบัติปาจิตตีย์
๓. คามันตรกัปปะ
ภิกษุฉันจากวัด แล้วเข้าไปในบ้าน เขาถวายอาหารก็ฉันได้อีกในเวลาเดียวกัน
แม้ไม่ได้ทำวินัยกรรมมาก่อนซึ่งขัดกับพระบัญญัติที่ห้ามภิกษุฉันอดิเรก
ถ้าฉันต้องอาบัติปาจิตตีย์
๔. อาวาสกัปปะ
อาวาสใหญ่มีสีมาใหญ่ ทำอุโบสถแยกกันได้ ในพระวินัยห้ามการทำอุโบสถแยกกัน
ถ้าแยกกันเป็นอาบัติปาจิตตีย์
๕. อนุมติกัปปะ
ถ้ามีภิกษุที่ควรนำฉันทะมามีอยู่ แต่มิได้นำมาจะทำอุโบสถก่อนก็ได้
แต่พระวินัยห้ามไม่ให้กระทำเช่นนั้น
๖. อาจิณกัปปะ
ข้อปฏิบัติอันใดที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครูบาอาจารย์
แม้ประพฤติผิดก็ควร
๗.
อมัตถิกกัปปะ ภิกษุฉันอาหารแล้วไม่ได้ทำวินัยกรรมก่อน
ฉันนมสดที่ไม่ได้แปลเป็นนมส้มไม่ควร แต่วัช
ชีบุตรว่าควร
๘. ชโลคิง
ปาตุง เหล้าอ่อนที่ไม่ได้เป็นสุราน้ำเมาฉันได้
ซึ่งขัดพระวินัยที่ห้ามดื่มน้ำเมา
๙. อทศกัง
นิสีทนัง ภิกษุใช้ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชายก็ควร
๑๐. ชาตรูปรชตัง
ภิกษุรับเงินและทองก็ได้
แต่คัมภีร์พุทธศาสนามหายานจารึกด้วยภาษาสันสกฤต
ที่มีชื่อว่า เภทธรรมติจักรศาสตร์ กล่าวว่าสังคายนาครั้งนี้ไม่ใช่สาเหตุมาจากวัตถุ
๑๐ ประการ แต่มาจากมติ ๕ ข้อของพระมหาเวะ สาเหตุที่แท้จริงมาจากมติเหล่านี้คือ
๑. พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนได้ด้วยความฝัน
๒. บุคคลเป็นพระอรหันต์ได้โดยไม่รู้ตัวต้องให้ผู้อื่นพยากรณ์
๓. พระอรหันต์ยังมีความสงสัยของพระพุทธเจ้า
๔. บุคคลจะบรรลุพระอรหันต์ได้โดยไม่มีพระพุทธเจ้าไม่ได้
๕. บุคคลจะบรรลุพระอรหันต์ได้ด้วยการเปล่งว่า
ทุกข์หนอ ๆ
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๔.
ประวัติพระมหาเทวะ (Mahadeva)
สำหรับพระมหาเทวะ
ผู้มีมติ ๕ ประการนั้น เดิมเป็นบุตรนายพาณิชย์แห่งแคว้นมถุรา
ปรากฏว่าเป็นผู้มีรูปงาม เป็นที่ต้องใจของเพศตรงกันข้าม
เมื่อบิดาได้ไปขายสินค้าต่างแดน ได้ลักลอบเป็นชู้กับแม่ของตนเอง
เมื่อบิดากลับจากค้าขายก็กลัวความลับแตกจึงลอบฆ่าบิดาเสีย
แล้วพามารดาไปเมืองปาฏลีบุตรอยู่กินกันที่นั้น
ต่อมาได้รู้จักพระเถระที่เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ตนสนิทคุ้นเคย
เพราะกลัวความลับจะแตกจึงได้ลอบฆ่าท่านเสีย
เมื่อมารดาแอบไปมีชู้จึงฆ่ามารดาตัวเองเสีย
เกิดความกระวนการะวายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำอนันตริยกรรมทั้งฆ่าพระอรหันต์
ฆ่าบิดา ฆ่ามารดาตัวเอง แล้วไปขออุปสมบที่กุกกฏาราม
คณะสงฆ์ไม่ทราบเรื่องที่ได้ก่อ จึงให้อุปสมบทเป็นภิกษุ
เมื่อบวชแล้วกลับเป็นผู้มีความจำดี
มีเสียงไพเราะ มีรูปร่างดีจึงมีชื่อเสียงทั่วกรุงปาฏลีบุตร
ต่อมาคืนหนึ่งได้ฝันถึงกามวิตกทำให้อสุจิเคลื่อน
เมื่อให้ศิษย์ไปซักให้ตอนเช้า เมื่อศิษย์เห็นจึงกล่าวว่า
ผู้เป็นอรหันต์ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่หรือ ท่านกล่าวว่า
พระอรหันต์อาจถูกมารกวนในความฝันได้ ต่อมาพระมหาเทวะต้องการยกย่องลูกศิษย์
จึงกล่าวว่าคนนี้เป็นโสดาบัน คนนี้เป็นพระอรหันต์
เมื่อศิษย์ถามว่าคนที่เป็นพระอรหันต์ย่อมมีความรอบรู้ในทุกสิ่งมิใช่หรือ
เหตุใดตนจึงไม่ทราบอะไร จึงตอบว่า พระอรหันต์อาจจะไม่รู้ได้บางเรื่องต้องให้คนอื่นพยากรณ์จึงจะทราบ
เมื่อศิษย์ถามต่อว่า ธรรมดาพระอรหันต์ย่อมไม่กังขาในธรรม
แต่เหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่แจ่มแจ้งในธรรม ท่านตอบว่า
ธรรมดาพระอรหันต์ย่อมมีความกังขาได้ ต่อมาศิษย์ถามต่อว่า
ธรรมดาพระอรหันต์ทั้งหลายย่อมรู้แจ้งด้วยตนเองว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่ครบแล้ว แต่เหตุใดข้าพเจ้าต้องให้อาจารย์พยากรณ์ให้
ท่านตอบว่า พระอรหันต์ต้องให้คนอื่นพยากรณ์
เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็อาศัยพระพุทธองค์พยากรณ์
และต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เมื่อท่านทำกรรมมาก
ๆ เข้าจึงเกิดความทุกข์ร้อนรนในใจจึงเปล่งอุทานว่า
ทุกข์หนอ ๆ เมื่อศิษย์ได้ยินและถามว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์เหตุใดจึงมีทุกข์
ท่านตอบว่า ผู้จะบรรลุธรรมได้ต้องอุทานว่าทุกข์หนอ
ๆ เป็นเพราะท่านเป็นพระธรรมกถึกมีลูกศิษย์มากจึงรวบรวมพรรคพวกได้มาก
และนี้คือสาเหตุการทำสังคายนา ครั้งที่ ๒ ตามนัยคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์
ของพระวสุมิตร แต่หลักฐานยังไม่เป็นที่เชื่อถือมากนัก
ส่วนมากยังถือว่าเหตุสังคายนามาจากวัตถุ ๑๐
ประการของภิกษุวัชชีบุตรซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
ต่อมาพระยสเถระ
ซึ่งเป็นบุตรของกากัณฑพราหมณ์ ได้เดินทางมาจากเมืองโกสัมพีมายังเมืองเวสาลี
และเมื่อทราบเหตุเหล่านี้จึงเข้าไปห้ามปราม
แต่ภิกษุเหล่านั้นหาเชื่อฟังไม่ นอกจากนั้นพวกภิกษุ
ได้นำถาดทองสัมฤทธิ์ใส่น้ำเต็มเปี่ยมไปตั้งไว้ในโรงอุโบสถ
ให้ทายกทายิกาใส่เงินลงไปในถาดนั้น เพื่อถวายภิกษุแล้วนำไปแจกและได้แบ่งส่วนให้พระยสะด้วย
แต่พระยสะไม่ยอมรับทั้งได้กล่าวติเตียนภิกษุชาววัชชี
ว่าการกระทำนี้ขัดต่อพุทธบัญญัติ เป็นความผิดทั้งผู้รับ
ทั้งผู้ถวายพวกภิกษุวัชชีบุตรไม่พอใจ จึงประกาศลงปฏิสาราณิยกรรมแก่พระยสะ
โดยให้ท่านไปขอขมาโทษทายกเสีย แทนที่จะไปขอขมาโทษตามคำแนะนำของภิกษุชาววัชชี
แต่พระยสะกลับชี้แจงแก่ทายก จนทายกเข้าใจและเป็นพวกกับพระเถระ
ทายกส่วนมากเข้าใจดีกว่าการที่ท่านทำไปเช่นนั้นเป็นการชอบด้วยธรรมวินัยแล้ว
และการกระทำของภิกษุชาววัชชีเป็นการผิด
เมื่อพระยสะ
ปรับความเข้าใจแก่ทายกเช่นนี้แล้ว ก็มีคนเลื่อมใสในพระยสะเป็นอันมาก
ภิกษุชาววัชชีเมื่อได้รับข่าวทราบนั้นก็พากันแสดงความโกรธ
ให้ลงโทษพระยสะ คือประกาศจะทำอุกเขปนียกรรม
ถึงกับได้พากันห้อมล้อมกุฏิของพระยสะ แต่ท่านทราบเสียก่อน
จึงได้หลบหนีไปยังเมืองโกสัมพี เมื่อไปถึงเมืองโกสัมพีแล้ว
พระยสะได้ส่งข่าวไปให้ภิกษุชาวเมืองปาวาและภิกษุชาวเมืองอวันตีทราบ
นิมนต์เหล่านั้นมาประชุมเพื่อตัดสินปัญหาธรรมวินัยและเพื่อป้องกันรักษาพระวินัย
จากนั้นพระยสะได้เดินทางไปหาพระสัมภูเถระ ที่อโหคังคบรรพต
เพื่อชี้แจงพฤติการณ์ของภิกษุชาววัชชีทั้งหลายให้ท่านทราบ
ต่อมามีภิกษุเดินทางมาจากเมืองปาวา
๖๐ องค์ และจากเมืองอวันตี ๘๐ องค์ มาร่วมประชุมที่อโหคังคบรรพต
ทุกท่านล้วนเป็นพระขีณาสพ ภิกษุ ทั้งหลายที่ได้เดินทางมาร่วมกัน
ณ สถานที่แห่งนั้นได้จัดการประชุมกันขึ้น ที่ประชุมได้มีมติว่าควรนิมนต์ท่านเรวตเถระเข้าร่วมประชุมด้วย
เพราะท่านเป็นขีณาสพ เป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์
เป็นผู้มีพรรษายุกาลมาก ทั้งยังแตกฉานในพระธรรมวินัย
เป็นที่เลื่อมใสของภิกษุหมู่ใหญ่ จึงได้จัดส่งพระภิกษุไปนิมนต์ท่าน
ที่เมืองโสเรยยะ ใกล้เมืองตักสิลา แต่ไม่พบท่าน
ทราบว่าท่านเดินทางไปยังสหชาตินครในแคว้นเจตี
พระภิกษุเหล่านั้นได้ติดตามท่านไปยังเมืองสหชาตินคร
ฝ่ายภิกษุชาวเมืองวัชชี
เมื่อได้ทราบข่าวว่าภิกษุที่เป็นฝักฝ่ายของพระยสะที่เดินทางมาจากปาวาและอวันตี
กำลังร่วมชุมนุมกันเพื่อตัดสินอธิกรณ์ของพวกตนจึงได้จัดพระภิกษุไปนิมนต์ท่านเรวตเถระ
ที่สหชาตินครเพื่อมาเป็นฝักฝ่ายของตน ได้ส่งสมณบริขาร
เป็นต้นว่าบาตร จีวร กล่องเข็มผ้านิสีทนะและผ้ากรองน้ำไปถวายพระเรวตเถระ
ภิกษุชาววัชชีเหล่านั้นได้ลงเรือจากเมืองเวสาลีไปยังเมืองสหชาตินคร
เมื่อไปถึงแล้วได้ให้พระอุตตระซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระเรวตเถระ
นำเข้าถวายบริขารและกราบเรียนพฤติการณ์ทั้งหลายให้ท่านทราบตลอดทั้งได้ขอร้องให้ท่านเข้ามาเป็นฝักฝ่ายของตนด้วย
พระเรวตเถระไม่เห็นดีด้วย
เพราะท่านเห็นว่าวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนั้นไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย
จึงทำให้พระภิกษุชาววัชชีผิดหวัง เสียใจมากเพราะได้ขาดแรงสนับสนุนที่สำคัญไปจึงเดินทางกลับไปยังเมืองเวสาลี
ได้ขอความช่วยเหลือจากบ้านเมือง ฝ่ายพระเจ้ากาลาโศกได้ถวายความอุปถัมภ์และคุ้มครอง
ป้องกันภิกษุชาววัชชี มิให้ภิกษุสงฆ์ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาเบียดเบียนได้
ครั้งต่อมา
มีนางภิกษุณีองค์หนึ่งชื่อว่า นันทาเถรี ซึ่งได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว
เป็นพระญาติองค์หนึ่งของพระเจ้ากาลาโศกทราบข่าวการแตกสามัคคีของพระสงฆ์
จึงได้เข้าไปห้ามมิให้พระเจ้ากาลาโศกหลงเชื่อคำของภิกษุของชาววัชชี
ซึ่งพระเจ้ากาลาโศกได้ทรงนิมนต์พระสงฆ์ทั้งสองฝ่ายมาร่วมประชุม
และเมื่อทรงทราบความเป็นไปโดยละเอียดของสงฆ์ทั้งสองฝ่ายแล้ว
พระองค์ทรงกลับพระทัยมาบำรุงอุปถัมภ์ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายของพระยสะหรือภิกษุฝ่ายวินัยวาที
ฝ่ายภิกษุฝ่ายวินัยวาที
ครั้งแรกก็ได้ตั้งใจว่าจะพิจารณาหาทางระงับอธิกรณ์ีเสียที่สหชาตินครนั้น
แต่พระเรวตเถระไม่เห็นด้วยที่จะทำกันในที่นั้น
โดยให้เหตุผลว่าควรไปทำที่เมืองเวสาลี เพราะเหตุเกิดที่เมืองไหนควรไประงับที่เมืองนั้น
ที่ประชุมเห็นด้วย จึงได้เดินทางไปเมืองเวสาลีเพื่อประชุมสังคายนา
|