face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๕.
สังคายนาครั้งที่ ๒ (The Second Buddhist Synod)
แล้วคณะสงฆ์โดยการนำของพระสัพพกามีจึงจัดให้มีการประชุมสังคายนาครั้งที่
๒ กันขึ้น ที่ว่าลุการาม (อารามดินทราย) เมืองเวสาลีในการประชุมครั้งนี้
มีพระอรหันต์เข้าร่วมประชุมถึง ๗๐๐ รูป ทำให้การประชุมไม่ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
เพราะเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมมากไป ต้องใช้เวลาถกเถียงกันเป็นเวลานาน
ที่ประชุมจึงได้ตกลงเลือกเอาพระขีณาสพที่มาจากประเทศตะวันออก
๔ รูป คือ
๑. พระสัพพกามี
๒. พระสาฬหะ ๓. พระกุชชโสภิตะ ๔. พระวาสภคามิกะ
ทำหน้าที่วินิจฉัยอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น
และจากประเทศ
ตะวันตก (เมืองปาวา) อีก๔ รูป คือ
๑. พระเรวตะ
๒. พระสาณสัมภูตะ ๓. พระยศกากัณฑบุตร ๔. พระสุมนะ
มีหน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายสงฆ์ธรรมวาที
มีหน้าที่เสนออธิกรณ์ต่อสงฆ์
รวมทั้งหมด
๘ รูป เป็นผู้ทำการสาธยาย พระธรรมวินัยและนำอธิกรณ์เข้าสู่สงฆ์เพื่อระงับ
และในจำนวน ๘ รูปนี้ ๖ รูป เป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์คือ
พระสัพพกามี, พระเรวตะ, พระกุชชโสภิตะ, พระสาณสัมภูตะและพระยศกากัณฑบุตร
อีก ๒ รูป คือ พระวาสคามิกะ และพระสุมนะ เป็นลูกศิษย์ของพระอนุรุทธะ
ที่ประชุมได้ตกลงแต่งตั้งให้ ๑. พระอชิตะ เป็นผู้จัดสถานที่
ประชุมสังคายนา ๒.พระสัพพกามี เป็นประธานในที่ประชุม
|
พระอรหันต์ทั้ง
๗๐๐ องค์ เริ่มทำสังคายนา ครั้งที่ ๒ ที่เวลุการาม
นครไวศาลี |
สาเหตุที่คณะสงฆ์เลือกเอาพระสัพพกามีเป็นประธานในที่ประชุมนั้นเพราะท่านเป็นผู้มีพรรษายุกาลมาก
คือ มีพรรษา ๑๒๐ ปี แก่กว่าพระภิกษุทั้งหลายในที่ประชุม
ทั้งเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ตั้งอยู่ในฐานะควรเคารพสักการะของภิกษุและประชาชนทั่วไป
การประชุมครั้งสุดท้ายนี้ มีพระขีณาสพเข้าร่วมเพียง
๘ รูปเท่านั้น และได้ตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า
การ ปฏิบัติของภิกษุชาววัชชีไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัยได้ประชุมกันที่วาฬุการามนอกเมืองเวสาลี
พระเจ้ากาฬาโศกอุปถัมภ์ ๘ เดือน จึงสำเร็จ
ฝ่ายพระวัชชีบุตรเมื่อไม่ได้การอุปถัมภ์จึงเสียใจ
แล้วพร้อมใจกันไปทำสังคายนา ต่างหากที่เมืองปาฏลีบุตรมีผู้เข้าร่วมถึง
๑๐,๐๐๐ รูป เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ เพราะมีพวกมาก
เป็นอันว่าพุทธศาสนามหายานเริ่มมีเค้าเกิดขึ้นในสมัยนี้เองเพราะเหตุแห่งความขัดแย้งนี้
สรุปสังคายนาครั้งที่
๒
๑.
ทำที่วาลิการาม (หรือวาลุการาม) เมืองเวสาลี
แคว้นวัชชี
๒. พระสัพพกามีมหาเถระเป็นประธาน
๓. พระอชิตะเป็นผู้จัดสถานที่การประชุม
๔. พระเจ้ากาฬาโศกเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
๕. พระอรหันต์
๗๐๐ รูปเข้าร่วมประชุม
๖. ได้ยกวัตถุ
๑๐ ประการมาเป็นเหตุสังคายนา
๗. ใช้เวลาทำ
๘ เดือนจึงสำเร็จ
๘. ทำเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานได้
๑๐๐ ปี
สรุปว่า การแตกนิกายในสังคายนาครั้งนี้มีเพียง
๒ นิกายเท่านั้น คือ ฝ่ายพระสัพพกามีเถระ และภิกษุชาววัชชีที่เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ
กาลต่อมา จึงแตกออกเป็น ๑๘ นิกายคือแยกออกจากเถรวาทดั่งเดิม
๑๑ นิกาย แยกออกจากมหาสังฆิกะ (มหายาน) ๗ นิกาย
และ ๗ นิกายที่แตกจากมหาสังฆิกะ เกิดเมื่อ พ.ศ.
๑๐๐ ส่วน ๑๑ นิกายที่แตกจากเถรวาท เกิดเมื่อ
พ.ศ. ๒๐๐ เป็นต้นมา
พ.ศ.
๑๑๘ พระเจ้ากาฬาโศก ผู้อุปถัมภ์สังคายนาครั้งที่
๒ ก็ เสด็จสวรรคต รวมครองราชสมบัติ ณ กรุงปาฏลีบุตรได้
๒๘ ปี ในหนังสือชินกาลมาลินีกล่าวว่า พระองค์มีพระโอรส
๑๐ ประองค์คือ ๑. เจ้าชายภัทรเสน ๒. เจ้าชายโกรัณฑวรรณ
๓. เจ้าชายมังกร ๔. เจ้าชายสัพพัญชหะ ๕. เจ้าชายชาลิกะ
๖. เจ้าชายสัญชัย ๗. เจ้าชายอุภคะ ๘. เจ้าชาโกรพยะ
๙. เจ้าชายนันทิวัฒนะ ๑๐ เจ้าชายปัญจมตะ ต่อมาเจ้าชายภัทรเสนและพระอนุชาช่วยกันปกครองปาฏลีบุตรแบบคณะ
จนมาถึง พ.ศ. ๑๔๐ ปีก็ถูกโจรนันทะยึดอำนาจสำเร็จ
ราชวงศ์สุสูนาคจึงสิ้นสุดลงแค่นี้ รวมเวลาที่พระเจ้าภัทรเสนปกครอง
๒๒ ปี
ต่อมา
พ.ศ. ๑๔๐ มหาโจรนันทะ ซ่องสุมผู้คนได้เป็นจำนวนมากแล้วเข้ายึดปาฏลีบุตรจากพระเจ้าภัทรเสนสำเร็จ
ตั้งราชวงศ์นันทะขึ้นปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์
ปกครองแคว้นมคธต่อมา พระเจ้านันทะ มีพระโอรส
๙ พระองค์คือ ๑. เจ้าชายอุคคเสนนันทะ ๒. เจ้าชายยกนกนันทะ
๓. เจ้าชายจันคุติกนันทะ ๔. เจ้าชายภูติปาละนันทะ
๕. เจ้าชายรัฐปาลนันทะ ๖. เจ้าชายโควิสาณกนันทะ
๗. เจ้าชายทศสิทธิกนันทะ ๘. เจ้าชายเกวัฏฏนันทะ
๙. เจ้าชายธนนันทะ
พระเจ้านันทะปกครองปาฏลีบุตรนานพอสมควรก็สวรรคต
เจ้าชายธนนันทะปกครองต่อมา ในยุคนี้ ที่ชายแดนด้านตะวันตก
อาณาจักรมาเซโดเนียของกรีก เริ่มเรืองอำนาจ
สามารถยึดอาณาจักรหลายแห่งให้อยู่ในอำนาจได้
ต่อมาพระเจ้าธนนันทะก็ถูกจันทรคุปตะซ่องสุมผู้คนเป็นกบฏ
ครั้งแรกพระองค์ปราบปรามสำเร็จ แต่ครั้งที่สองก็พ่ายแพ้ต้องสิ้นประชนม์ในสนามรบ
รวมราชวงศ์นันทะปกครองมคธ ๒๒ ปี
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๖.
พุทธศาสนา ๑๘ นิกาย (The eighteen sects)
ร่องรอยแห่งการแบ่งแยกในวงการพุทธศาสนา
ได้มีมาตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพาน กล่าวคือพระปุราณะไม่ยอมรับการสังคายนาที่จัดโดยพระมหากัสสปะ
ณ เมืองราชคฤห์ จึงได้นำคณะสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งไปทำสังคายนาต่างหาก
เรียกคณะตัวเองว่ามหาสังคีติ จึงเป็นเหตุให้คณะสงฆ์เริ่มแตกแยกออกเป็น
๒ ฝ่าย แต่ที่ชัดเจนเริ่มเมื่อ พ.ศ.๑๐๐ เป็นต้นมา
หลักฐานที่เขียนเหตุการณ์แตกแยกเป็น ๑๘ นิกายมีปรากฏในคัมภีร์มหาวงส์
และทีปวงส์ของลังกากถาวัตถุ ในอินเดีย จดหมายเหตุพระถังซัมจังก็กล่าวถึงเช่นกัน
และการสังคายนาครั้งที่ ๔ ที่กัศมีร์หรือ ชาลันธร
ได้จัดขึ้นก็เพื่อขจัดความขัดแย้งของ ๑๘ นิกายเป็นสำคัญ
นิกายทั้ง
๑๘ นั้นยังแบ่งออกไปอีก ๔ รวมเป็น ๒๒ นิกายมีโครงสร้างดังนี้
นิกายเหล่านี้ยังแตกออกเป็น
๕ นิกาย คือ ๑๙. อปรเสลิยะ ๒๐. นิกายอุตตรเสลิยะ
๒๑. นิกายอุตตรปถะ ๒๒. นิกายวิภัชชวาทิน ๒๓.
นิกายเวตุลลวาท โดยฝ่ายเถรวาทได้แบ่งออกเป็น
๑๒ นิกายหลังจากพุทธปรินิพพานราว ๒๐๐ ปี ส่วนมหาสังฆิกะนั้นได้เริ่มแบ่งแยกออกเป็นนิกายย่อยราวพุทธปรินิพพาน
๑๐๐ปี
|