Warning: file(../../ad468-2.txt): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/randomad468-2.php on line 4
 
 
พระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย พุทธศาสนายุคหลังพุทธปรินิพพาน-พ.ศ.๒๐๐
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย
The History of Buddhism in India

face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๕. สังคายนาครั้งที่ ๒ (The Second Buddhist Synod)

     แล้วคณะสงฆ์โดยการนำของพระสัพพกามีจึงจัดให้มีการประชุมสังคายนาครั้งที่ ๒ กันขึ้น ที่ว่าลุการาม (อารามดินทราย) เมืองเวสาลีในการประชุมครั้งนี้ มีพระอรหันต์เข้าร่วมประชุมถึง ๗๐๐ รูป ทำให้การประชุมไม่ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เพราะเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมมากไป ต้องใช้เวลาถกเถียงกันเป็นเวลานาน ที่ประชุมจึงได้ตกลงเลือกเอาพระขีณาสพที่มาจากประเทศตะวันออก ๔ รูป คือ
     ๑. พระสัพพกามี ๒. พระสาฬหะ ๓. พระกุชชโสภิตะ ๔. พระวาสภคามิกะ
ทำหน้าที่วินิจฉัยอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น

และจากประเทศ ตะวันตก (เมืองปาวา) อีก๔ รูป คือ
     ๑. พระเรวตะ ๒. พระสาณสัมภูตะ ๓. พระยศกากัณฑบุตร ๔. พระสุมนะ
มีหน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายสงฆ์ธรรมวาที มีหน้าที่เสนออธิกรณ์ต่อสงฆ์

     รวมทั้งหมด ๘ รูป เป็นผู้ทำการสาธยาย พระธรรมวินัยและนำอธิกรณ์เข้าสู่สงฆ์เพื่อระงับ และในจำนวน ๘ รูปนี้ ๖ รูป เป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์คือ พระสัพพกามี, พระเรวตะ, พระกุชชโสภิตะ, พระสาณสัมภูตะและพระยศกากัณฑบุตร อีก ๒ รูป คือ พระวาสคามิกะ และพระสุมนะ เป็นลูกศิษย์ของพระอนุรุทธะ ที่ประชุมได้ตกลงแต่งตั้งให้ ๑. พระอชิตะ เป็นผู้จัดสถานที่ ประชุมสังคายนา ๒.พระสัพพกามี เป็นประธานในที่ประชุม

พระอรหันต์ทั้ง ๗๐๐ องค์ เริ่มทำสังคายนา ครั้งที่ ๒ ที่เวลุการาม นครไวศาลี

     สาเหตุที่คณะสงฆ์เลือกเอาพระสัพพกามีเป็นประธานในที่ประชุมนั้นเพราะท่านเป็นผู้มีพรรษายุกาลมาก คือ มีพรรษา ๑๒๐ ปี แก่กว่าพระภิกษุทั้งหลายในที่ประชุม ทั้งเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ตั้งอยู่ในฐานะควรเคารพสักการะของภิกษุและประชาชนทั่วไป การประชุมครั้งสุดท้ายนี้ มีพระขีณาสพเข้าร่วมเพียง ๘ รูปเท่านั้น และได้ตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า การ ปฏิบัติของภิกษุชาววัชชีไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัยได้ประชุมกันที่วาฬุการามนอกเมืองเวสาลี พระเจ้ากาฬาโศกอุปถัมภ์ ๘ เดือน จึงสำเร็จ

     ฝ่ายพระวัชชีบุตรเมื่อไม่ได้การอุปถัมภ์จึงเสียใจ แล้วพร้อมใจกันไปทำสังคายนา ต่างหากที่เมืองปาฏลีบุตรมีผู้เข้าร่วมถึง ๑๐,๐๐๐ รูป เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ เพราะมีพวกมาก เป็นอันว่าพุทธศาสนามหายานเริ่มมีเค้าเกิดขึ้นในสมัยนี้เองเพราะเหตุแห่งความขัดแย้งนี้


สรุปสังคายนาครั้งที่ ๒

     ๑. ทำที่วาลิการาม (หรือวาลุการาม) เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี
     ๒. พระสัพพกามีมหาเถระเป็นประธาน
     ๓. พระอชิตะเป็นผู้จัดสถานที่การประชุม
     ๔. พระเจ้ากาฬาโศกเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
     ๕. พระอรหันต์ ๗๐๐ รูปเข้าร่วมประชุม
     ๖. ได้ยกวัตถุ ๑๐ ประการมาเป็นเหตุสังคายนา
     ๗. ใช้เวลาทำ ๘ เดือนจึงสำเร็จ
     ๘. ทำเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี

สรุปว่า การแตกนิกายในสังคายนาครั้งนี้มีเพียง ๒ นิกายเท่านั้น คือ ฝ่ายพระสัพพกามีเถระ และภิกษุชาววัชชีที่เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ กาลต่อมา จึงแตกออกเป็น ๑๘ นิกายคือแยกออกจากเถรวาทดั่งเดิม ๑๑ นิกาย แยกออกจากมหาสังฆิกะ (มหายาน) ๗ นิกาย และ ๗ นิกายที่แตกจากมหาสังฆิกะ เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๐๐ ส่วน ๑๑ นิกายที่แตกจากเถรวาท เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐ เป็นต้นมา

     พ.ศ. ๑๑๘ พระเจ้ากาฬาโศก ผู้อุปถัมภ์สังคายนาครั้งที่ ๒ ก็ เสด็จสวรรคต รวมครองราชสมบัติ ณ กรุงปาฏลีบุตรได้ ๒๘ ปี ในหนังสือชินกาลมาลินีกล่าวว่า พระองค์มีพระโอรส ๑๐ ประองค์คือ ๑. เจ้าชายภัทรเสน ๒. เจ้าชายโกรัณฑวรรณ ๓. เจ้าชายมังกร ๔. เจ้าชายสัพพัญชหะ ๕. เจ้าชายชาลิกะ ๖. เจ้าชายสัญชัย ๗. เจ้าชายอุภคะ ๘. เจ้าชาโกรพยะ ๙. เจ้าชายนันทิวัฒนะ ๑๐ เจ้าชายปัญจมตะ ต่อมาเจ้าชายภัทรเสนและพระอนุชาช่วยกันปกครองปาฏลีบุตรแบบคณะ จนมาถึง พ.ศ. ๑๔๐ ปีก็ถูกโจรนันทะยึดอำนาจสำเร็จ ราชวงศ์สุสูนาคจึงสิ้นสุดลงแค่นี้ รวมเวลาที่พระเจ้าภัทรเสนปกครอง ๒๒ ปี

     ต่อมา พ.ศ. ๑๔๐ มหาโจรนันทะ ซ่องสุมผู้คนได้เป็นจำนวนมากแล้วเข้ายึดปาฏลีบุตรจากพระเจ้าภัทรเสนสำเร็จ ตั้งราชวงศ์นันทะขึ้นปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์ ปกครองแคว้นมคธต่อมา พระเจ้านันทะ มีพระโอรส ๙ พระองค์คือ ๑. เจ้าชายอุคคเสนนันทะ ๒. เจ้าชายยกนกนันทะ ๓. เจ้าชายจันคุติกนันทะ ๔. เจ้าชายภูติปาละนันทะ ๕. เจ้าชายรัฐปาลนันทะ ๖. เจ้าชายโควิสาณกนันทะ ๗. เจ้าชายทศสิทธิกนันทะ ๘. เจ้าชายเกวัฏฏนันทะ ๙. เจ้าชายธนนันทะ

     พระเจ้านันทะปกครองปาฏลีบุตรนานพอสมควรก็สวรรคต เจ้าชายธนนันทะปกครองต่อมา ในยุคนี้ ที่ชายแดนด้านตะวันตก อาณาจักรมาเซโดเนียของกรีก เริ่มเรืองอำนาจ สามารถยึดอาณาจักรหลายแห่งให้อยู่ในอำนาจได้ ต่อมาพระเจ้าธนนันทะก็ถูกจันทรคุปตะซ่องสุมผู้คนเป็นกบฏ ครั้งแรกพระองค์ปราบปรามสำเร็จ แต่ครั้งที่สองก็พ่ายแพ้ต้องสิ้นประชนม์ในสนามรบ รวมราชวงศ์นันทะปกครองมคธ ๒๒ ปี


face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๖. พุทธศาสนา ๑๘ นิกาย (The eighteen sects)

     ร่องรอยแห่งการแบ่งแยกในวงการพุทธศาสนา ได้มีมาตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพาน กล่าวคือพระปุราณะไม่ยอมรับการสังคายนาที่จัดโดยพระมหากัสสปะ ณ เมืองราชคฤห์ จึงได้นำคณะสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งไปทำสังคายนาต่างหาก เรียกคณะตัวเองว่ามหาสังคีติ จึงเป็นเหตุให้คณะสงฆ์เริ่มแตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย แต่ที่ชัดเจนเริ่มเมื่อ พ.ศ.๑๐๐ เป็นต้นมา หลักฐานที่เขียนเหตุการณ์แตกแยกเป็น ๑๘ นิกายมีปรากฏในคัมภีร์มหาวงส์ และทีปวงส์ของลังกากถาวัตถุ ในอินเดีย จดหมายเหตุพระถังซัมจังก็กล่าวถึงเช่นกัน และการสังคายนาครั้งที่ ๔ ที่กัศมีร์หรือ ชาลันธร ได้จัดขึ้นก็เพื่อขจัดความขัดแย้งของ ๑๘ นิกายเป็นสำคัญ นิกายทั้ง ๑๘ นั้นยังแบ่งออกไปอีก ๔ รวมเป็น ๒๒ นิกายมีโครงสร้างดังนี้

     นิกายเหล่านี้ยังแตกออกเป็น ๕ นิกาย คือ ๑๙. อปรเสลิยะ ๒๐. นิกายอุตตรเสลิยะ ๒๑. นิกายอุตตรปถะ ๒๒. นิกายวิภัชชวาทิน ๒๓. นิกายเวตุลลวาท โดยฝ่ายเถรวาทได้แบ่งออกเป็น ๑๒ นิกายหลังจากพุทธปรินิพพานราว ๒๐๐ ปี ส่วนมหาสังฆิกะนั้นได้เริ่มแบ่งแยกออกเป็นนิกายย่อยราวพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ปี

ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ
[ จำนวนคนอ่าน คน ]
หน้าแรก พระพุทธศาสนา ประวัติพระพุทธสาวก หัวข้อธรรม ธรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี วันสำคัญทางศาสนา ทศชาติชาดก วิทยุธรรมะไทย
พุทธศาสนสุภาษิต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ทำเนียบวัดไทย คลังแสงแห่งธรรม พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ข่าวธรรมะ กิจกรรมธรรมะ สมุดเยี่ยม
ธรรมะไทย - dhammathai.org Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter03_4.php on line 440 Warning: include(../../useronline.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter03_4.php on line 440 Warning: include(): Failed opening '../../useronline.php' for inclusion (include_path='.:/usr/local/lib/php') in /home/dhammathai/domains/dhammathai.org/public_html/buddhism/india/chapter03_4.php on line 440