face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๒.
พระเจ้าอชาตศัตรูย้ายเมือง (New city)
เมื่อพระพุทธองค์ได้ปรินิพพานได้
๑๗ ปี พระเจ้าอชาตศัตรูได้ย้ายราชธานี จากภายในหุบเขาเมืองราชคฤห์
ออกมาข้างนอก และย้ายต่อไปอยู่ฝั่งแม่น้ำคงคา
เรียกเมืองใหม่ว่า ปาฏลีบุตร (Patariputra)
(ปัจจุบันเรียกว่า ปัฏนะ Patna เมืองหลวงของรัฐพิหารปัจจุบัน)
สาเหตุที่ย้ายนครเพราะเหตุผลทางด้านการเมือง
เพราะพระองค์กำลังเตรียมพร้อมทำสงครามกับรัฐอื่นอยู่
ในสมัยพุทธกาลนี้มคธกลายเป็นมหาอำนาจที่เข้มแข็งที่สุดกว่าทุกอาณาจักร
และไม่เคยล่มสลายเหมือนเมืองอื่น จนกระทั้งถึงราชวงศ์ปาละ
พ.ศ.๑๖๐๐ ปี แม้ว่าเมืองเวสาลี (Vishali) จะได้ถูกพระองค์ยึดมาอยู่ในพระราชอาณาจักรแล้วก็ตาม
แต่เพราะเมืองราชคฤห์อยู่ในหุบเขายากต่อการขายเมือง
อีกทั้งเมืองใหม่อยู่ข้างแม่น้ำคงคาสะดวกต่อการคมนาคม
พระเจ้าอชาตศัตรูพระองค์มีพระมเหสีที่สำคัญคือ
พระนางปัทมาวดี (Patmavati) มีพระโอรสที่สำคัญคือ
เจ้าชายอุทัยภัทร หรือในตำราเชนเรียกว่า อะทายีภัททะ
(Udayibadda) ปกครองปาฏลีบุตรนครใหม่ของพระองค์จนถึง
พ.ศ. ๒๔ ก็ถูกพระราชโอรสยึดอำนาจ ปลงพระองค์เสียจากชีวิต
รวมปกครองนครราชคฤห์และปาฏลีบุตรได้ ๓๒ ปี
พ.ศ.
๒๔ พระเจ้าอุทัยภัทร (Udayabdhra) พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู
ยึดอำนาจโดยการปรงพระชนม์พระบิดา แล้วขึ้นครองราชสมบัติต่อ
ณ นครปาฏลีบุตร ต่อมาทรงสร้างเมืองใหม่ไม่ไกลจากปาฏลับุตรมากนัก
นั่นคือ กุสุมานคร หรือปุปผาบุรี เป็นเมืองคู่แฝดของปาฏลีบุตร
พระอุบาลีมหาเถระ ผู้เป็นองค์วิสัชนาพระวินัยในคราวสังคายนาครั้งที่
๑ ได้นิพพานในสมัยพระเจ้าอุทัยภัทรนี้ นำความโศกเศร้ามายังพุทธศาสนิกชนชาวมคธและใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง
พระองค์ได้จัดให้ทำฌาปนกิจพระมหาเถระอย่างสมเกียรติ
ส่วนพระมหากัสสปเถระและพระอานนท์ยังมีชีวิตอยู่
พระอานนท์เถระเจ้ามีพรรษา ๑๐๔ ปีแล้วนับว่าชรามาก
แต่ก็สามารถทำศาสนกิจ โปรดพุทธศาสนิกชนเป็นตัวแทน
พระศาสดาโดยอัตโนมัติ เพราะเมื่อความพระบรมศาสดามีพระชนม์อยู่เมื่อเห็นพระศาสดาโดยอัตโนมัติ
เพราะเมื่อคราวพระบรมศาสดามีพระชนม์อยู่ เมื่อเห็นพระศาสดาที่ใด
ย่อมได้เห็นพระอานนท์ที่นั้นดุจเงาตามตัว แม้มาถึงสมัยนี้จะไม่ได้เห็นพระศาสดาแล้ว
แต่พุทธศาสนิกชนก็ยังอุ่นใจเพราะยังได้เห็นพระอานนท์เป็นตัวแทนอยู่บางตำรากล่าวว่าทุกที่ที่ย่างไป
พระอานนท์ยังได้นำบาตรของพระพุทธองค์ไปด้วยเสมอ
พระเจ้าอุทัยภัทร มีพระโอรสที่ปรากฏพระนาม ๑
พระองค์ คือ เจ้ายชายอนุรุทธะพระองค์สวรรคตเมื่อ
พ.ศ.๔๐ รวมครองราชย์ ๑๖ ปี
พ.ศ.
๔๐ เจ้าชายอนุรุทธะ (Anuruddha) ตัดสินใจเป็นกบฏยึดอำนาจจากพระบิดา
จับพระเจ้าอุทัยภัทรสำเร็จโทษแล้ว พระองค์ก็ครองนครปาฏลีบุตรต่อมา
พระอานนท์มหาเถระก็ได้นิพพานในสมัยนี้ สร้างความเศร้าสลดให้กับพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่าคราวที่พระบรมศาสดาปรินิพพาน เพราะพระอานนท์เปรียบเหมือนตัวแทนของพระศาสดา
จาริกโปรดพุทธบริษัทไปทุกหนแห่ง แม้ไม่เห็นพระศาสดาก็ยังได้เห็นพระอานนท์ซึ่งเป็นดุจเงาของพระบรมศาสดา
เมื่อมานิพพานเสียแล้วจึงยังความโศกเศร้าให้กับพุทธบริษัทเป็นยิ่งนัก
แม้กระทั่งพระราชาเอง พระเจ้าอนุรุทธะมีราชโอรสที่ปรากฏพระนาม
๑ จน พระองค์คือ เจ้าชายมุณฑกะ พระองค์ครองราชสมบัติได้ไม่นานแค่
๔ ปี จนถึง พ.ศ.๔๔ ก็สวรรคตเพราะถูกพระโอรสยึดอำนาจรวมครองราชสมบัติ
๔ ปี
พ.ศ.
๔๔ เจ้าชายมุณฑกะ (Mundaka) หลังยึดอำนาจพระบิดาได้แล้ว
ทรงปลงพระชนม์พระบิดาเช่นกัน นับเป็นราชวงศ์ปิตุฆาตโดยแท้
นับจากพระเจ้าอชาตศัตรูยึดอำนาจจากพระเจ้าพิมพิสารมา
พระเจ้ามุณฑกะมีพระโอรส ๑ พระองค์คือเจ้าชายนาคทาสกะ
ครองราชย์อยู่ไม่นานเช่นกันเพียง ๔ ปีที่ครองราชย์ก็ถูกยึดอำนาจ
รวมครองราชสมบัติ ๔ ปี
ต่อมา
พ.ศ. ๔๘ เจ้าชายนาคทาสกะ (Nagadasaka)
โดยการสนับสนุนของอำนาตย์ ราชบริพารบางคนยึดอำนาจจากพระบิดาสำเร็จ
แล้วปกครองนครปาฏลีบุตรสืบมา ในช่วงปลายราชการบ้านเมืองเกิดจลาจล
หลายฝ่ายมองว่าราชวงศ์นี้เป็นวงศ์ปิตุฆาตมาโดยตลอด
ปกครองไปจะนำความอับจนความเป็นเสนียดมาสู่ราชอาณาจักรจึงสนับสนุนอำมาตย์สุสูนาคเป็นกบฏและยึดอำนาจสำเร็จ
พระเจ้านาคทาสกะครองราชบัลลังก์มาได้ ๒๔ ปี
จนถึง พ.ศ. ๗๒ ก็สวรรคต
ในด้านสังฆมณฑล
กษัตริย์ราชวงศ์พระเจ้าพิมพิสารทั้ง ๖ พระองค์ด่างสนับสนุนอุปถัมภ์ค้ำชูพุทธศาสนาเป็นอย่างดี
จนกระจายไปสู่หลายแคว้น ที่พุทธศาสนาไปไม่ถึง
สังฆมณฑลโดยทั่วไปก็ยังไม่เรียบร้อยนักเพราะมีความเห็นผิดหลายประการ
โดยเฉพาะมติของพระปุราณะ จนทำให้สังฆมณฑลแยกออกเป็น
๒ ฝ่ายอย่างกลาย ๆ แต่เหตุการณ์ยังไม่รุนแรง
เพราะในยุคนั้นพระอรหันตสาวกมีมากจึงยังไม่มีปัญหามากนัก
พ.ศ. ๗๒ อำมาตย์สุสูนาคเป็นกบฏและยึดอำนาจจากพระเจ้านาคทาสกะสำเร็จ
ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตรย์ ปกครองราชบัลลังก์ปาฏลีบุตรสืบมา
พระเจ้าสุสูนาคไม่ใช่ราชวงศ์พระเจ้าพิมพิสาร
แต่เป็นสายเจ้าลิจฉวี แห่งเมืองเวสาลี มีพระมารดาเป็นหญิงงามเมืองที่เมืองเวสาลี
สมัยนั้นเมืองเวลาลี เป็นที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับความสวยของสตรี
และปรากฏว่า มีโสเภณีหลายคน รวมทั้งพระมารดาของพระเจ้าสุสูนาคด้วย
ที่มีชื่อเสียงในสมัยพุทกาล คือ นางสาลวดีเป็นผู้มีความสวยงามเป็นเลิศ
จึงถูกแต่งตั้งให้เป็นโสเภณี พระเจ้าสุสูนาคมีพระโอรส
(เท่าที่ปรากฏ) ๑ พระองค์คือเจ้าชายกาฬาโศก
พระองค์ปกครองแคว้นมคธจนถึง พ.ศ. ๙๐ ก็สวรรคต
พ.ศ.
๙๐ หลังจากพระบิดาสวรรคตแล้วเจ้าชายกาฬาโศกก็ขึ้นครองราชสมบัติต่อมา
ตำราบางเล่มโยงพระเจ้ากาฬาโศกกับพระเจ้าอโศกเป็นองค์เดียวกัน
สร้างความสับสนให้ประวัติศาสตร์ยุคนี้พอสมควร
แต่ส่วนมากยังเชื่อว่าเป็นคนละองค์เพราะมีหลักฐานยืนยันหลายเล่ม
และระยะเวลาก็ห่างไกลกันมาก ในสมัยนี้สังฆมณฑลเริ่มเกิดความยุ่งยาก
เพราะมีคณะภิกษุกลุ่มหนึ่งละเมิดพระธรรมวินัยที่เมืองเวสาลี
ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิมคธ จึงเป็นที่มาของการสังคายนาครั้งที่
๒
|