|  
      
      
      
      
      
      
      
    
    
    
      
     | 
     
      
         
           
              
              หนังสือ "ตัวสอนตน"   
           | 
         
       
       
      
         
            
            ตัวอยู่กับตัว แต่ไม่รู้จักตัว | 
         
       
      
         
          |  
                 คนเราเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์มีชีวิตแล้ว 
              จิตกับกายจะอยู่ด้วยกันทำให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ถ้าร่างกายไม่มีจิตคอยควบคุมแล้ว 
              ก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ ร่างกายก็อยู่นิ่ง นั่นคือตายแล้วนั่นเอง 
                 จิตเปรียบเสมือนคนขับรถ ส่วนร่างกายเปรียบเสมือนรถยนต์ 
              ถ้ารถไม่มีคนขับ รถก็เคลื่อนไปไหนไม่ได้ เช่นเดียวกันกับจิตกับร่างกาย 
              รถยนต์บางคันก็สามารถให้คนอื่นมาขับได้ ร่างกายของคนบางคนก็สามารถให้จิตญาณอื่นเข้ามาใช้ร่างได้ 
              เช่นการเข้าทรง 
                 เมื่อตัวเราเป็นของเรา เราอยู่กับตัวเราแล้วเรารู้จักตัวเราดีแค่ไหน? 
              เรารู้จักจิตเราไหม? ทำอย่างไรจึงจะรู้จักตัวเราจิตเรา? 
                 เมื่อจิตเราใฝ่ต่ำ อยากลักขโมย อยากดื่มสุรา เราก็ต้องรู้สภาวะของจิตเรา 
              แต่เราอย่าปล่อยให้จิตใฝ่ต่ำนั้นใช้ร่างกายเราเพื่อการทำสิ่งที่เป็นบาป 
              เราควรใช้จิตเราขัดขวางไว้ ไม่ไปทำตามจิตใฝ่ต่ำที่คอยยั่วยุ และหลอกเรา 
                 เมื่อจิตเราใฝ่สูง มีความตั้งใจ ปารถนาที่จะทำบุญ 
              ทำกุศล ก็รู้สภาวะจิตของเราว่า ตอนนี้จิตเราเป็นจิตดีงาม ทำสิ่งที่ดีให้กับตนเองและผู้อื่น 
                 เมื่อเรารู้สภาวะของจิตเราเมื่อมีการใฝ่ดีงาม หรือ 
              ใฝ่ต่ำแล้ว เรารู้จักที่จะจัดการกับจิตเหล่านั้นอย่างไร เมื่อนั้นเราถึงจะขึ้นชื่อว่ารู้จักตัวเอง 
                 เมื่อใดที่เราทำสิ่งชั่วช้าเลวทรามเป็นปกติวิสัย 
              วิญญาณร้าย ๆ วิญญาณที่ไม่ดีก็จะมาร่วมใช้ร่างกายเราในการทำสิ่งไม่ดีนั้น 
              เมื่อเราทำบ่อย ๆ วิญญาณนั้นอาจจะบอกว่า ไม่ไปไหนแล้ว ขอร่วมทางไปกับเราด้วยเลย 
              อาศัยรถที่เราขับอยู่ อาศัยร่างที่เราใช้อยู่ทำบาปหยาบช้าไปด้วยกัน 
              อีกหน่อยวิญญาณเลวร้ายนั้น อาจจะไปชวนเพื่อน ๆ ที่ชั่วร้ายมาร่วมทางกับร่างกายเราเยอะ 
              ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนรถของเรามีแต่วิญญาณชั่วร้ายเต็มทั้งคันรถเลยก็เป็นได้ 
                 ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราทำแต่สิ่งที่ดีงาม วิญญาณที่อยากทำบุญ 
              ทำกุศลก็จะมาร่วมทางไปกับเรา เมื่อวิญญาณเหล่านั้นได้บุญกุศลจากที่เราทำ 
              ด้วยจิตที่เป็นกุศลก็จะรู้จักการกตัญญูกตเวที ก็จะตอบแทนคุณเราโดยการคอยดูแล 
              ปกป้องคุ้มครองเรา และช่วยดลบันดาลให้เรามีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ 
              ขึ้นไป 
                 ถ้าเรารู้ว่าในร่างกายเรามีจิตที่เป็นอกุศลอยากจะไปทำในสิ่งที่ไม่ดี 
              แต่เราไม่ให้ความร่วมมือ เราไม่ลงมือทำสิ่งชั่วบาปนั้น วิญญาณเลวร้ายก็ไม่สามารถใช้ร่างกายเราได้ 
              ก็ไปหาร่างกายอื่นที่ทำสิ่งเลวทราม ชั่วร้ายที่อื่น 
                 สมมุติว่าเราเป็นนักฟุตบอลเล่นอยู่ในสนามฟุตบอล 
              เราจะมองไม่เห็นว่าทีมเราเล่นอย่างไร แต่ถ้าเราเป็นคนดูอยู่บนอัฒฑจันทร์เราจะเห็นและรู้ว่านักฟุตบอลเล่นอันอย่างไร 
              การมองตัวเราก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เคยหยุดมองตัว เราก็จะไม่รู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร 
              มีลุ่มหลง รัก โลภ โกรธ เกลียด ลำเอียง ยินดี เมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 
              มากแค่ไหน เพราะว่าในชีวิตแต่ละวันของเรา เราไม่เคยได้รู้จักตัวเอง 
              ไม่รู้อารมณ์ตนเองเลย ดังนั้นเมื่อมีอารมณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นเราจึงไม่รู้เท่าทันพอที่จะดับหรือละได้เลย 
              สุดท้ายเราก็อยู่กับตัวเองโดยที่ไม่รู้จักตัวเองอยู่นั่นเอง 
               
           | 
         
       
     |