face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๕.
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ (Mokkalliputratissathera)
ท่านเป็นชาวเมืองปาฏลีบุตร
เป็นบุตรของพราหมณ์ผู้คงแก่เรียน เมื่อสมัยเด็กได้ศึกษาไตรเพทอย่างช่ำชอง
ต่อมาพระสิคควะได้มาเยี่ยมพราหมณ์ผู้เป็นบิดาที่บ้าน
และเมื่อกุมารได้ถามคำถามเกี่ยวกับพระเวท พระเถระได้ตอบปัญหาในพระเวทได้อย่างแจ่มแจ้ง
แต่เมื่อถูกถามเรื่องพุทธศาสนา โมคคัลลีบุตร
ติสสกุมารไม่อาจให้คำตอบได้ เพราะความอยากรู้ในพุทธศาสนา
พระเถระจึงจัดการบรรพชาให้ศึกษากัมมัฏฐานอย่างจริงจังก็บรรลุโสดาปัตติผล
แล้วไปศึกษาต่อกับพระจันทวัชชี ต่อมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วเจริญวิปัสสนาญาณจนบรระลุพระอรหันต์
เมื่อพระเจ้าอโศก มหาราชหันมานับถือพุทธศาสนา
ท่านได้รับการเคารพอย่างสูงจากพระเจ้าอโศก เจ้าชายมหินทะและเจ้าหญิงฆมิตตา
พระโอรสและพระธิดาก็ได้รับการอุปสมบทจากท่าน
ต่อมาท่านได้รับการไว้วางใจให้เป็นประธานทำสังคายนาครั้งที่
๓
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๖.
พระอุปคุตต์เถระ (Upaguptathera)
ท่านเกิดในตระกูลพ่อค้าเครื่องหอมชาวเมืองมถุรา
นครนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำยมุนา (ใกล้เมืองหลวงเดลลีปัจจุบัน)
มีพี่น้อง ๓ คน ท่านเป็นคนหนึ่งในบุตร ๓ คน
บิดาได้สัญญากับพระญาณวาสีว่าถ้าได้บุตรชายจะให้บวชแต่เมื่อได้มา
๓ คน ก็ยังไม่ได้ถวายพระเถระแต่อย่างใด โดยอ้างว่าจะให้เป็นผู้ค้าขายของที่ร้านแทน
เมื่อหนุ่มพระเถระจึงไปแสดงตัว ขณะที่อุปคุตต์หนุ่มกำลังสาละวนอยู่กับการขายของที่ร้าน
ด้วยเทศนาของพระเถระจึงได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วขออนุญาตอุปสมบทในพุทธศาสนา
ช่วงแรกบิดายังอิดออด
พระเถระจึงต้องทวงสัญญาบิดาจึงอนุญาต เมื่อได้อุปสมบทแล้วเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานจนได้บรรลุพระอรหัต
ต่อมาท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ที่ชำนาญ กล่าวกันว่าท่านมีศิษย์ศึกษากัมมัฏฐานด้วยถึง
๑๘,๐๐๐ องค์ ทุกองค์ล้วนเป็นพระอรหันต์ ท่านจำพรรษาที่วัดนัตภัตการาม
ภูเขาอุรุมนท์ ต่อมาพระเจ้าอโศกได้อาราธนามาจำพรรษาที่วัดอโศการาม
เมืองปาฏลีบุตร ท่านเป็นผู้พาพระเจ้าอโศกเสด็จกราบสังเวชนียสถานทั่วอินเดีย
และสร้างเสาหินปักไว้เป็นหลักฐาน
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๗.
พระวีตโศกหรือพระติสสเถระ (Vitashokathera)
ท่านเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอโศกมหาราช
มีพระมารดาคนเดียวกับพระเจ้าอโศก จึงรอดชีวิตขณะที่พี่น้องหลายคนสิ้นพระชนม์
เพราะพระเจ้าอโศกสั่งประหารคราวยึดราชปัลลังก์ปาฏลีบุตร
เกิดในพระราชวังเมืองปาฏลีบุตร มีพระบิดาคือพระเจ้าพินทุสาร
เจ้าชายวีตโศกหรือติสสะ ทรงกังขาที่พระสงฆ์ได้รับการอุปถัมภ์อย่างดีจะเลิกกิเลสได้อย่างไร
ความทราบถึงพระเจ้าอโศกจึงมีอุบายสั่งให้ครองราชย์
๗ วันแล้วจะนำไปประหารเมื่อ ครบ ๗ วันแล้วจึงได้ตรัสถาม
เจ้าชายตรัสว่า ๗ วันมีแต่ความทุกข์ เพราะกลัวความตายที่จะมาถึง
พระองค์จึงตรัสว่า พระสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน ต่างกลัวในชาติ
ชรา ทุกข์และมรณภัย จำต้องเร่งขวนขวายเพื่อให้บรรลุ
เมื่อได้ทราบดังนั้นเจ้าชายก็เลื่อมใสในพระศาสนา
แล้วประทานขออนุญาตอุปสมบท ฝ่ายสันสกฤตกล่าวว่า
ท่านอุปสมบทกับพระยสะ ส่วนฝ่ายบาลีกล่าวว่า
อุปสมบทกับพระมหาธรรมรักขิตเถระ เมื่อได้รับการอนุญาตจึงอุปสมบทแล้วปลีกวิเวกที่แคว้นวิเทหะจนได้บรรลุพระอรหัต
ท่านเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พุทธศาสนา เมื่ออายุ
๘๐ พรรษาก็เข้าสู่นิพพาน
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๘.
พระมหินทเถระ (Mahindrathera)
ท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช
ประสูติที่เมืองอุชเชนี คราวที่พระบิดาเป็นเจ้าชายไปเป็นผู้สำเร็จราชการที่เมืองนั้น
ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี ต่อมาจึงย้ายมาที่เมืองปาฏลีบุตร
ท่านและเจ้าหญิงสังฆมิตตา ได้รับการอุปสมบท
เพราะพระบิดาต้องการเป็นญาติกับพระศาสนา โดยมีพระโมคคัลลีบุตรดิสสเถระเป็นพระอุปัชฌาย์
พระมหาเทวะเป็นผู้ให้บรรพชา ส่วนเจ้าหญิงสังฆมิตตามีพระมหาเถรีธรรปาลีเป็นอุปัชฌายินี
พระเถรีอายุปาลีเป็นพระกรรมวาจา ท่านทั้งสองได้รับการอุปสมบทในรัชสมัยที่พระบิดาครองราชย์ได้
๖ ปี ท่านเจริญวิปัสสนาอย่างเอกอุ ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหนต์
คราวที่พระเจ้าอโศกดำริส่งพระธรรมทูตเพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาสู่ต่างแดน
ท่านและพระสังฆมิตตาเถรีได้รับอาสาไปเผยแพร่พุทธศาสนาสู่ต่างแดน
ท่านและพระสังฆมิตตาเถรีได้รับอาสาไปเผยแพร่พุทธศาสนาที่เกาะสิงหล
ท่านทั้งสองนำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาไปด้วยและปลูกที่นั้นจนเจริญเติบโตยืนยาวจนถึงปัจจุบัน
ท่านได้รับการต้อนรับจากพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะพระมหากษัตริย์ของสิงหลเป็นอย่างดี
ทำให้พุทธศาสนาหยั่งรากลึกในเกาะลังกาตั้งแต่นั้นมา
พระเจ้าอโศกมหาราชนับเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระองค์เป็นนักประชาสัมพันธ์ที่หาได้ยาก งานสำคัญที่สุดคือการจารึกเรื่องราวของพระองค์ไว้ในเสาหินในที่ต่าง
ๆ หลังจากรพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วยังไม่มีมหากษัตริย์องค์ใดทำได้เช่นนี้
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตแล้ว
ผู้สืบราชบัลลังก์ปาฏลีบุตรไม่มีเดชานุภาพเท่า
ทำให้หลายเมืองแยกตัวออกไปเป็นอิสระ ตอนนี้จักรวรรดิมคธที่กว้างใหญ่ไพศาลได้พูกแบ่งออกเป็น
๒ ส่วน ในคัมภีร์ปุราณะกล่าวว่า ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าอโศก
คือ
๑. เจ้าชายสัมปทิหรือสัมประติ
(Samprati) พระนัดดาของพระเจ้าอโศก พระราชโอรสของเจ้าชายกุณาละ
ปกครองอาณาจักรมคธ ด้านทิศปัจจิม (ตะวันตก)
ทรงเลื่อมใสในศาสนาเชน ทรงอุปถัมภ์นิครนถ์อาชีวกชีเปลือยอย่างจริงจัง
พระองค์เป็นลูกศิษย์ของสุหัสตินผู้เป็นลูกศิษย์ของภัทรพาหุอาจารย์เชนที่สำคัญในยุคนั้น
นอกนั้นยังส่งธรรมทูตของเชนออกเผยแผ่ทั่วชมพูทวีปเลียนแบบการส่งพระธรรมทูตของพระเจ้าอโศกอีกด้วย
และต่อมาได้เบียดเบียนพุทธศาสนา ๆ ก็เริ่มอ่อนแรงลงอย่างมาก
๒.
เจ้าชายทศรถ (Dasaratha) ปกครองอาณาจักรมคธ
ด้านทิศบูรพา ไม่ทรงโปรดพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
บางตำรากล่าวว่าพระเจ้าทศรถทรงนับถือศาสนาเชน
จารึกที่ภูเขานาครชุน แคว้นพิหาร บอกเราว่า
พระเจ้าทศรถหลังการครองราชสมบัติได้ถวายถ้ำแห่งหนึ่งให้อาชีวก
แม้จะเป็นศาสนิกของเชน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทำลายพุทธศาสนาแต่อย่างใด
ราชวงศ์เมารยะจึงเป็นราชวงศ์ที่นับถือทุกศาสนาในยุคนั้นคือ
เชน พุทธ พราหมณ์
ดังนั้นอาณาจักรมคธอันกว้างใหญ่ก็เริ่มแตกแยกและสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว
ถึงรัชสมัยพระเจ้าพฤหัสรถ ราชวงศ์เมารยะองค์สุดท้ายที่ถูกพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ
สุงคะ ล้มราชวงศ์เสียและสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์นามว่าปุษยมิตร
(Pushyamitra)
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๙.
พระเจ้าปุษยมิตร (Pushyamitra)
ราว
พ.ศ.๓๕๘ พระเจ้าปุษยมิตรได้อำนาจจากการกบฏล้มราชบัลลังก์ของพระเจ้าพฤหัสรถ
กษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์เมารยะ เพราะเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน
ได้รอจังหวะที่มีอำนาจเพื่อหวังทำลายพุทธศาสนา
เพราะพระเจ้าอโศกทรงห้ามการล่าสัตว์ และฆ่าสัตว์บูชายัญ
จึงสร้างความไม่พอใจให้กับพวกพราหมณ์เป็นอย่างมาก
แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ เมื่อได้เป็นกษัตริย์สมใจ
ได้เรียกราชวงศ์ที่ตนเองตั้งขึ้นว่า สุงคะ จึงได้รื้อฟื้นประกอบพิธีอัศวเมธ
ฆ่าม้าบูชายัญ
ดังนั้นศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูจึงฟื้นชีพขึ้นมาอีก
ทรงทำลายวัดพุทธศาสนาอย่างมากมาย ตลอดตั้งค่าหัวพระสงฆ์
๑๐๐ ทินาร์ ถ้าใครตัดหัวพระสงฆ์หรือพุทธศาสนิกชนได้
ยุคนี้พุทธศาสนา ถูกทำลายอย่างหนัก ในบันทึกของท่านตารนาถนักประวัติศาสตร์ชาวธิเบตชื่อดังได้
กล่าวว่า "พระเจ้าปุษยมิตร กษัตริย์ฮินดูองค์นี้ได้ทำลายอารามกุกกุฏาราม
เมืองเวสาลี และวัดพุทธศาสนาที่สาคละที่ปัญจาปตะวันออก
และพระราชทานรางวัลจำนวน ๑๐๐ ทีนาร์สำหรับผู้ตัดศีรษะชาวพุทธได้"
นี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการทำลายล้างพุทธศาสนา
เป็นครั้งแรกจากกษัตริย์ต่างศาสนาหลังพุทธกาลมา
ปุษยมิตรปกครองมคธนานถึง
๓๖ ปี เมื่อสวรรคตแล้ว พระเจ้าอัคนิมิตร (Agnimitra)
พระโอรสได้ปกครองมคธต่อมา พระองค์ไม่ได้ทำลายพุทธศาสนาแต่ก็ไม่สนับสนุน
พระเจ้าอัคนิมิตรปกครองมคธ แค่ ๘ ปี ยุคนี้จึงเป็นยุคมืดของพุทธศาสนาในแคว้นมคธ
แม้ว่าจะถูกทำลายล้างแต่พุทธศาสนาในส่วนอื่นของอินเดียยังเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายกว้างไกลแม้กระทั่งภาคใต้ของอินเดีย
จนเริ่มมีการสร้างวัดถ้ำขึ้นหลาย ๆ แห่ง โดยเฉพาะที่ถ้ำอชันตา
รัฐมหาราษฎร์
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๑๐.
เริ่มสร้างถ้ำอชันตา (Ajanta Cave)
เมื่อราว
พ.ศ.๓๕๐ เป็นต้นมา เมื่อพุทธศาสนาได้แผ่กระจายครอบคลุมอินเดียทั้งเหนือและใต้
คณะสงฆ์อินเดียภาคตะวันตกเฉียงใต้ก็เริ่มสร้างวัดคูหาขึ้น
เรียกว่า ถ้ำอชันตา โดยการเจาะภูเขาไปสร้างเป็นวัดและวิหารเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและปฏิบัติอาศัยและปฏิบัติธรรม
หลีกเว้นจากชุมชน งานเจาะหินนับว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสที่ต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้า
หากปราศจากซึ่งศรัทธาที่มั่นคงในศาสนาแล้ว ผู้เจาะคงไม่อาจทำสำเร็จอย่างแน่นอน
อชันตาเป็นชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองออรังคบาต
รัฐมหาราษฎร์อินเดียภาคตะวันตก
 |
ถ้ำอชันตา
ถ้ำพระพุทธศาสนาล้วนๆ
|
อชันตาเป็นถ้ำพุทธศาสนาล้วน
ๆ ไม่มีศาสนาอื่นมาปนเหมือนถ้ำเอลโลร่า มีประมาณ
๓๐ ถ้ำ โดยแบ่งเป็นถ้ำหินยาน ๖ ถ้ำ อีก ๒๔ ถ้ำเป็นฝ่ายมหายาน
การก่อสร้างกินเวลายาวนานตั้งแต่ พ.ศ. ๓๕๐ ถึง
พ.ศ.๑๒๐๐ เศษ รวมเวลาการก่อสร้าง ๘๕๐ ปีโดยประมาณ
ถ้ำอชันตาห่างจากตัวเมืองออรังคบาดราว ๑๐๒ กิโลเมตร
ความจริงการเจาะภูเขาสร้างเป็นวัดนั้น มิใช่มีเฉพาะอชันตาหรือเอลโลร่าเท่านั้น
แต่มีมากมายในอินเดียตะวันตก เช่นถ้ำออรังคบาด
ถ้ำที่เมืองนาสิก ถ้ำที่ใกล้สาญจี เมืองโภปาล
ถ้ำที่ใกล้เมืองบอมเบย์ ถ้ำที่เมืองบังกาลอร์
และปูเน่ เป็นต้นที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นถ้ำทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น
แต่ปัจจุบันหลายถ้ำได้ถูกยึดครองโดยชาวฮินดูไปแล้ว
ถ้ำอชันตาถูกทิ้งร้างกลายเป็นป่ารกชัฏปกคลุมถึง
๘๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๒ นายทหารอังกฤษได้เข้าไปล่าสัตว์
ได้ยิงกวางที่บาดเจ็บหลบเข้าไป จึงออกค้นหาจึงเจอถ้ำโดยบังเอิญ
ถ้ำอชันตาจึงเป็นที่รู้จักของชาวอินเดียและต่างชาติตั้งแต่นั้นมา
face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">สรุปราชวงศ์ต่าง
ๆ แคว้นมคธ
๑. ราชวงศ์เมารยะ
พ.ศ.๑๖๐ (Maurya Dynasty)
๑. พระเจ้าจันทรคุปต์
(Chandra gupta) พ.ศ.๒๒๒-๒๔๘ รวม ๒๖ ปี
๒. พระเจ้าพินทุสาร
(Bindusara) พ.ศ.๒๔๘-๒๗๖ รวม ๒๘ ปี
๓. พระเจ้าอโศกมหาราช
(Ashoka) พ.ศ.๒๗๖-๓๑๒ รวม ๓๖ ปี
๔. พระเจ้าสัมปทิ
(Sampadhi) พ.ศ.๓๑๒- (ไม่สามารถระบุได้)
๕. พระเจ้าทศรถ
(Dhasaratha) พ.ศ.๓๑๒- (ไม่สามารถระบุได้)
๖. พระพฤหัสรถ
(Vrihashartha) ปกครองจนถึงพ.ศ.๓๕๘
(หลังจากพระเจ้าสัมปทิและพระเจ้าทศรถแล้ว ราชวงศ์เมารยะยังมีปกครองต่อมาอีกหลายพระองค์จนถึงพระเจ้าพฤหัสรถ)
๒.ราชวงศ์สุงคะ
พ.ศ. ๓๖๐ (Sungha Dynasty)
๑. พระเจ้าปุษยมิตร
(Pushyamitra) พ.ศ.๓๕๖-พ.ศ.๓๙๒ รวม ๓๖ ปี
๒. พระเจ้าอัคนิมิตร
(Agnimitra) ราวพ.ศ. ๓๙๒-พ.ศ.๔๐๐ รวม ๘ ปี
๓. พระเจ้าสุชเยษฐา
(Sujyeshtha) ราวพ.ศ. ๔๐๐-ไม่สามารถระบุ
๔. พระเจ้าสชวสุมิตร
(Vasumitra) ราวพ.ศ. ๔๐๖
๕. พระเจ้าอรทรากะ
(Ardraka) ราวพ.ศ. ๔๑๐
๖. พระเจ้าปุรินทกะ
(Pulindaka) ราวพ.ศ. ๔๑๗
๗. พระเจ้าโฆษวสุ
(Ghosavasu) (ไม่อาจระบุเวลา)
๘. พระเจ้าวัชรมิตร
(Vajramitra) (ไม่อาจระบุเวลา)
๙. พระเจ้าภควตะ
(Bhagavata) ราวพ.ศ.๔๒๙-พ.ศ.๔๖๑ รวม ๓๒ ปี
๑๐. พระเจ้าเทวติ
(Devabhuti) จากพ.ศ.๔๑๖-พ.ศ. ๔๗๑ รวม ๑๐ ปี
(ราชวงศ์นี่มีกษัตริย์ ๑๐ พระองค์ ปกครองราว
๑๐๒ ปี )
๓.ราชวงศ์กานวะพ.ศ.
๔๖๘ (Kanva Dynasty)
๑.พระเจ้าวาสุเทวะ
(Vasudeva) เริ่มจากพ.ศ. ๔๖๘
๒.พระเจ้าภูมิมิตร
(Bhumimitra) ปกครองต่อจนถึงพ.ศ. ๕๑๓
ราชวงศ์นี้มี ๔ พระองค์ คือ
๑. พระเจ้าวาสุเทวะ
๒. พระเจ้าภูมิมิตร
๓. พระเจ้านารายนะ
๔. พระเจ้าสุลารมัน
(ราชวงศ์นี้ปกครองมารวม ๔๕ ปี)
๔.ราชวงศ์อันธระพ.ศ.
๕๐๕ (Andhara Dynasty)
๑.พระเจ้าศรีมุขะ
(Shrimukha) ยึดมคธได้ เมื่อ พ.ศ.๕๑๖ อาณาจักรมคธจึงสลาย
กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอันธระ ในอินเดียภาคใต้
อันมีเมืองหลวงชื่อว่า อมราวดี (Amaravati)
|