face="Tahoma" size="4" color="#CC0000">๔.
สังคายนาครั้งที่ ๓ (The third Buddhist Synod)
พ.ศ.๒๘๗
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช
จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์
ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อชำพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์เข้าปลอมบวช
ในวันที่ ๗ พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน
ภายใน ๗ วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้น ๆ
นั่งรวมกันเป็นนิกาย ๆ แล้วตรัสถามให้พระอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์
ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตน
ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด
ซึ่งเป็นจำนวนหกหมื่นรูป ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่
๓ ขึ้นที่อโศการามเมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่
|
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธานสังคายนาครั้งที่
๓ ที่อโศการาม นครปาฏลีบุตร |
ในการทำสังคายนาครั้งนี้
มีพระภิกษุเข้าร่วม ๑,๐๐๐ รูป ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก
ได้อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิปทา ๔ สังคายนาครั้งนี้ได้ทำเช่นเดียวกับสังคายนาครั้งที่
๑ ได้มีการปุจฉาวิสัชนาพระวินัยปิฎกก่อน เริ่มตั้งแต่ปฐมปาราชิก
สังคายนาวัตถุ นิทาน บุคคลบัญญัติ อนุบัญญัติ
อาบัติ และอนาบัติ แล้วสังคายนาในทุติยปาราชิกไปตามลำดับ
จนครบ ปาราชิกทั้ง ๔ แล้วยกปาราชิกทั้ง ๔ ขึ้นตั้งไว้เป็น
ปาราชิกกัณฑ์ ยกสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบทเป็นเตรสกัณฑ์
เป็นต้น เมื่อสังคายนาพระวินัยปิฎก เสร็จแล้วได้สังคายนาพระสุดตันตปิฎกต่อไป
เริ่มตั้งแต่ทีฆนิกายจนถึงขุททกนิกายในการทำสังคายนาครั้งนี้ได้จัดทำสังคายนาพระอภิธรรมปิฎกอีก
คือ ในสังคายนาพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์เริ่มต้งแต่ธรรมสังคณีจนถึงมหาปัฎฐาน
เรื่องที่สำคัญในการทำสังคายนาครั้งนี้ ก็คือพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ร้อยกรองคัมภีร์กถาวัตถุขึ้น
เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ยังคลุมเครือให้แจ่มแจ้ง
โดยได้ตั้งคำถาม และคำตอบไปในตัวกถาวัตถุ (เรื่อง)กล่าวถึงธรรมหมวดใด
ก็เรีกตามชื่อของธรรมหมวดนั้น เช่น กล่าวถึงบุคคลก็เรียกชื่อว่าบุคคลากถา
กล่าวถึงความเสื่อมก็เรียกว่า ปริหานิยกถา รวมทั้งหมดมี
๒๑๙ กถา และกถาวัตถุ เป็นคัมภีร์หนึ่งในอภิธรรม
๗ คัมภีร์ คือ ๑. ธรรมสังคณี ๒.วิภังคะ ๓.ธาตุกถา
๔.บุคคลบัญญัติ ๕. กถาวัตถุ ๖ยมกะ ๗.ปัฏฐานะนักปราชญ์หลายท่านให้ความเห็นว่า
กถาวัตถุมิใช่หนังสือที่บรรจุไว้ซึ่งพระพุทธน์อันดั้งเดิม
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระพึ่งจะรจนาขึ้นเมื่อคราวทำสังคายนาครั้งที่
๓ ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
๒๓๖ ปี
เรื่องที่สำคัญที่สุดในการทำสังคายนาครั้งที่
๓ นี้ก็คือ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งสมณทูตไปประกาศพุทธศาสนาในแคว้นและประเทศต่าง
ๆ รวมทั้งหมดมี ๙ สายด้วยกันคือ
๑.
พระมัชณันติกเถระ ไปแคว้นกัศมีร์และคันธาระ
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งได้แก่แคว้น
แคชเมียร์ในปัจจุบันนี้
๒.
พระมหาเทวะเถระ ไปมหิสสกมณฑล อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำโคธาวารี
ซึ่งได้แก่ไมซอร์ ในปัจจุบัน (อยู่ ทางทิศใต้ของอินเดียติดกับเมืองมัทราส)
๓.
พระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศ อยู่ในเขตกนราเหนือ
ภาคตะวันตกเฉียงใต้
๔.
พระโยนกธัมมรักขิตเถระ ไปปรันตชนบทอยู่ริมฝั่งทะเลอาระเบียนทิศเหนือของบอมเบย์
๕.
พระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปที่แคว้นมหาราษฎร์
ภาคตะวันตกไม่ห่างจากบอมเบย์ในปัจจุบัน
๖.
พระมหารักขิตเถระ ไปโยนกประเทศได้แก่
เขตแดนบากเตรียในเปอร์เซียปัจจุบัน
๗.
พระมัชฌิมเถระ ไปหิมวันประเทศได้แก่เนปาล
ซึ่งอยู่ตอนเหนือของอินเดีย
๘.
พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภูมิ
ได้แก่ ไทย พม่า และมอญทุกวันนี้
๙. พระมหินทเถระ
ไปประเทศเกาะสิงหล หรือประเทศศรีลังกา
|
|
เมื่อเห็นการเผยแผ่ไปของพุทธศาสนาทั้ง
๙ สายนี้แล้ว ก็พอจะทราบได้ว่า ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชนี้
พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองแพร่หลายไปไกลที่สุดยิ่งกว่าสมัยใด
ๆ นับตั้งแต่พุทธศาสนาอุบัติขึ้นมา ในสมัยเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนมายุอยู่นั้น
พุทธศาสนาได้เจริญอยู่ในแคว้น มคธ โกศล วัชชี
อังคะ วังสะ กาสี และอุชเชนี คือได้เจริญอยู่ทางทิศเหนือทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตอนกลางบางส่วน
พระพุทธองค์ได้เสร็จไปประกาศพุทธศาสนาใน ๗ รัฐเท่านั้น
ส่วนทางทิศใต้สุด ตะวันออกสุด และตะวันตกสุด
พุทธศาสนายังไปไม่ถึงศาสนาพราหมณ์ ยังมั่นคงแข็งแรงอยู่แม้แต่ในที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
ก็ยังมีศาสนาพราหมณ์ และศาสนาเชนแทรกซึมอยู่ทุกแห่ง
ในยุคของพระองค์ได้ติดต่อกับราชอาณาจักรของกษัตริย์ที่อยู่ห่างไกล
เช่น
กษัตริย์โยนะ
นามว่า อันติโยคะ คือ พระเจ้าอันติโอโคส (Antiochos)
แห่งซีเรีย
พระเจ้าตุระมายะ
คือพระเจ้าปโตเลมี (Ptolemy) แห่งอีหยิปต์
พระเจ้าอันเตกินะ
คือพระเจ้าอันติโคโนส (Antgonos) แห่งมาเซโดเนีย
พระเจ้ามคะ หรือพระเจ้ามคัส(Magas)
อาณาจักรไกรีนถัดจากอียิปต์
พระเจ้าอลิกกสุนทระหรือ
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexander) แห่งเอปิรุสหรือประเทศกรีก
จากหลักฐานที่เราได้พบและได้รู้จากหลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช
ซึ่งปักไว้ตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศอินเดียนั้นแสดงให้เห็นว่า
พระองค์ทรงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างมาก
พวกเรารุ่นหลังจึงได้อาศัยสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์
ไม่อย่างนั้นเราอาจไม่รู้ว่า สถานที่สำคัญของพุทธศาสนาในสมัยนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง
color="#CC0000">สรุปการทำสังคายนาครั้งที่
๓
๑.
ทำที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร แคว้นมคธ
๒. พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน
๓. พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์อุปถัมภ์
๔. พระอรหันต์
๑,๐๐๐ องค์ เข้าร่วมประชุม
๕. พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้รจนากถาวัตถุขึ้น
๖. ส่งสมณทูตไปประกาศพุทธสาสนารวม
๙ สาย
๗. การทำสังคายนาครั้งนี้เพื่อกำจัดภิกษุอลัชชีหกหมื่นที่ปลอมบวช
๘. ทำอยู่ ๙
เดือนจึงสำเร็จ พุทธศาสนาแผ่ไพศาลมากยิ่งขึ้น
๙. พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นผู้ถาม
๑๐. พระมัชฌันติกเถระ
และพระมหาเทวเถระเป็นผู้วิสัชนา
๑๑. เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว
๒๓๖ ปี
ผลดีของการสังคายนา
สังคายนาครั้งนี้
ในตำราพุทธศาสนาฝ่ายมหายานของฝ่ายจีน หรือธิเบต
และท่านเฮี้ยนจังก็มิได้กล่าวไว้ในรายงานของท่านแต่อย่างใด
หลังสิ้นสุดสังคายนาแล้วได้มีผลดีเกิดขึ้นหลายอย่างคือ
๑. กำจัดภิกษุผู้ปลอมบวชได้
ทำให้สังฆมณฑลบริสุทธิ์ขึ้น
๒. รวบรวมพระไตรปิฎกเป็น
๓ หมวดอย่างสมบูรณ์ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก
และพระอริธรรมปิฎก
๓. พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระแต่งกถาวัตถุ
ไว้ในพระอภิธรรมปิฏกด้วย สังคายนาครั้งที่ ๓
นี้ได้มีพระเถระที่มีบทบาทสำคัญที่ควรจะได้กล่าวถึงหลายท่านคือ
|